หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 30 ได้เห็นดีกัน
ตอนที่ 30 ได้เห็นดีกัน
ต้นไม้สีเขียวขจีตั้งตระหง่านรกทึบทั่วเขตแดนป่า สายลมพัดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของธรรมชาติโชยมาปะทะกับจมูกของพวกเขา ยิ่งเดินลึกเข้าไปหมู่แมกไม้ก็เริ่มหนาตามากขึ้น ใบไม้สีเขียวสดแผ่ปกคลุมบดบังแสงของดวงอาทิตย์ ให้ความรู้สึกราวกับมีกลุ่มเมฆสีเขียวเข้าปกคลุมผืนป่า ผืนดินที่เหยียบย่ำก็ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เปียกชื้นและเน่าเสีย บางบริเวณที่เดินผ่านมีเถาวัลย์ขึ้นรกจนต้องอ้อมเลี้ยวไป บางทีก็มีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางทางจนต้องปีนข้ามไปอย่างทุลักทุเล ยิ่งเข้าไปในป่าลึกเท่าไรก็ยิ่งเดินได้ยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น
บัดนี้พวกเขาเดินเข้าป่าได้ 1 ชั่วยามแล้ว ทว่าก็ยังไม่พบสัตว์ป่าเลยสักตัว เวลานี้เริ่มมีคนทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นว่า “นี่ ! พวกเราเดินมานานแล้ว เป็นไปได้หรือว่าจะไม่เห็นแม้แต่ไก่ป่าสักตัว เจ้ามิได้นำทางพวกเรามั่ว ๆ ใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองเขาอย่างดูแคลนแล้วกล่าวว่า “พวกท่านทำเสียงดังเอะอะมาตลอดทาง คิดว่าสัตว์ป่าจะโง่จนเป็นฝ่ายวิ่งมาให้พวกท่านจับหรือ ? ถ้าอยากล่าสัตว์ก็หุบปากแล้วผ่อนฝีเท้าเดินเบา ๆ เสีย ! ”
แม้เป็นชายชาตรีที่มีจำนวนมากกว่าสิบคน กระนั้นหลังจากที่นางตำหนิ พวกเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดีและเป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด หลังเดินไปได้มินานพวกเขาก็พบว่าในพื้นที่โล่งกลางป่ามีฝูงกวางดาวกำลังก้มหน้าก้มตาแทะเล็มยอดหญ้าอยู่
บรรดาชายชาตรีเมื่อได้เห็นก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที พวกเขากระโดดส่งเสียงร้องเฮพลางวิ่งเข้าไปหมายจับกวาง แต่กวางเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประสาทสัมผัสไวมาก มันจะยอมยืนนิ่งให้พวกเขาจับได้เช่นไร ?
เมื่อมันสัมผัสได้ว่ามีมนุษย์บุกเข้ามาจับก็วิ่งกระโดดข้ามผืนป่าไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีลูกกวางตัวหนึ่งที่หันมาส่งสายตาดุร้ายคล้ายกำลังดูแคลนพวกเขาว่าช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาเสียจริง
บรรดาชายชาตรีวิ่งตามฝูงกวางไปตลอดทาง พวกเขาเหนื่อยจนหอบหายใจหนัก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถจับได้แม้กระทั่งลูกกวางตัวเล็ก ด้วยความโมโห หลิวว่ายจื่อจึงตำหนิหลินเว่ยเว่ยด้วยความไม่พอใจ “โอกาสดีเช่นนี้เหตุใดเจ้าไม่ลงมือ ? หรือเจ้าจงใจปล่อยกวางพวกนั้นหนีไปเพื่อมิให้พวกข้าล่าสัตว์ได้สักตัว ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงชักสีหน้าทันทีที่ได้ยิน “ในหนังสือสัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าข้ามีหน้าที่นำทางพวกท่านขึ้นมาบนภูเขาเท่านั้น แต่จะสามารถล่าสัตว์ได้หรือไม่ต้องดูที่ฝีมือของพวกท่านเอง ก็เล่นวิ่งเตลิดออกไปเช่นนั้นย่อมทำให้ฝูงกวางตกใจจนวิ่งหนีไป ยังมาตำหนิว่าข้าไม่ช่วยพวกท่านอีกหรือ ? เหตุใดท่านไม่บอกให้ข้าไปล่าสัตว์แล้วเอาไปส่งให้ถึงที่บ้านเลยล่ะ ? พวกท่านรู้หรือไม่ว่าการได้สิ่งใดมาโดยบังคับผู้อื่นทำแทนมันทั้งอันตรายและน่าละอายมากเพียงใด ! ! ”
“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธสิ ความหมายของว่ายจื่อคือเมื่อครู่นี้โอกาสดีมาก หากเจ้าลงมือก็อาจทำให้กวางฝูงนั้นหนีไปมิได้ ! ” บิดาเจ้าอ้วนซานรีบพูดหว่านล้อมทันที
หลินเว่ยเว่ยเบื่อจะสนใจพวกเขาแล้ว นางจึงสะบัดหน้าหนีไปอีกด้านแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องขอบคุณทุกท่านมากที่อุตส่าห์ชื่นชมยกย่องข้า แต่ข้าเป็นเพียงสตรีที่มีพละกำลังมากเท่านั้น มิได้วิ่งเร็วเหมือนกวาง หากพวกมันจะหนีแล้วข้ายังทำอันใดได้ ? ”
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ดังนั้นในกลุ่มของพวกเขาจึงมีคนพูดต่อรองกับหลินเว่ยเว่ย “บริเวณที่เจ้าล้มหมูป่าเมื่อครั้งที่แล้วอยู่ตรงไหน ? พวกข้าไม่ขอสิ่งใดมาก ขอแค่ได้ล้มหมูป่าสักตัวสองตัวก็พอแล้ว”
ล้มหมูป่าสักตัวสองตัว ? ก็เพียงพอแล้ว ? คิดว่าการล้มหมูป่าเป็นเรื่องง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ ? พวกท่านคิดว่ามันจะยอมยืนนิ่งให้เอาก้อนหินทุบศีรษะมันหรือ ? หลินเว่ยเว่ยหมดคำที่จะพูดกับพวกเขาแล้ว นางจึงก้มหน้ามองพื้นดินในขณะที่เดินหน้าต่อไป แต่หลังจากเดินไปได้มินานก็พบกองมูลสัตว์ที่คุ้นเคย ตรงนี้มีหมีควายด้วยหรือ ?
แม้นางรู้สึกรำคาญคนโลภมากเช่นพวกเขา กระนั้นนางก็ยังเอ่ยเตือนด้วยความปรารถนาดี “ระวังด้วย บริเวณนี้มีหมีควาย ! ”
กลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังได้ยินเช่นนั้นก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “ว่าอย่างไรนะ ? มีหมีควายหรือ ? เจ้าพูดเรื่องจริงหรือไม่ เจ้าคงมิได้คิดทำให้พวกข้าตกใจกลัวใช่หรือไม่ ?”
หลินเว่ยเว่ยถูกพวกเขาคาดคั้นจนปวดหัวเข้าแล้ว นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมพร้อมปั้นหน้านิ่ง “หากไม่อยากให้หมีควายออกมา พวกท่านก็รีบหุบปาก ! ”
“มีหมีควายจริงหรือ ? ข้า…ข้าไม่เอาด้วยแล้ว ! ข้ามีลูกตั้ง 6 คนที่กำลังรอให้กลับไปเลี้ยงดู หากมีอันใดเกิดขึ้นกับข้า แล้วครอบครัวจะอยู่ต่อไปเช่นไร ! ”
“ข้าก็ไม่เอาด้วยแล้ว ! ข้าไม่อยากเป็นอาหารของหมีควาย ! ”
…
“เอาล่ะ เลิกโวยวายกันได้แล้ว ! ! บางทีหมีควายอาจแค่ผ่านมาทางนี้ก็ได้ ป่านนี้มันคงเดินออกไปไกลแล้ว อย่าสร้างความกลัวให้ตนเองสิ ! ” บิดาเจ้าอ้วนซานก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อย แต่เขาเหลือบไปเห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของหลินเว่ยเว่ยจึงสะกดกลั้นความกลัวในใจเอาไว้ ตอนนี้เขาขึ้นมาบนภูเขาแล้ว จะไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่า !
“เด็กน้อย เจ้าพอบอกได้หรือไม่ว่าหมีควายอยู่ที่ใด ? เราพอจะหลบเลี่ยงมันได้หรือไม่ ? ” บิดาของเจ้าอ้วนซานถาม
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความสัตย์จริง “เมื่อวานข้าเพิ่งเรียนทักษะการล่าสัตว์มาจากลุงหวัง รวมถึงทักษะการดูสถานที่อยู่ของสัตว์ผ่านมูลของพวกมัน มองจากรูปร่างของมูลกองนี้แล้วหมีควายน่าจะเพิ่งผ่านทางนี้ไปได้มินาน ส่วนเรื่องที่ว่ามันเดินไปไกลแล้วหรือไม่ ข้าเองก็มิอาจรู้ได้”
หลิวว่ายจื่อได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวกับบิดาของเจ้าอ้วนซาน “พวกเรากลับไปยังบริเวณที่พบฝูงกวางดีหรือไม่ บริเวณนั้นเป็นที่เปิดโล่ง หากพบเข้ากับหมีควายก็อาจหนีได้ทัน”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบ ทันใดนั้นพุ่มไม้สูงเท่าตัวคนที่อยู่มิไกลออกไปก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและมีร่างสีดำซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวถึงโผล่หัวขนาดใหญ่ของมันออกมา
มิรู้ว่าผู้ใดที่ร้อง ‘อ๊าก’ ส่งเสียงดังลั่นป่า “หมี ! หมีควาย ! ! พวกเรารีบหนีเร็ว…”
เจ้าหมีดำตัวใหญ่กำลังถือรังผึ้งป่าและเตรียมเพลิดเพลินไปกับรสชาติของน้ำผึ้ง แต่ทันใดนั้นมันก็ถูกเสียงของมนุษย์รบกวนจนทำให้เกิดความไม่พอใจ ด้วยความโมโหมันจึงออกมาจากพุ่มไม้แล้วเตรียมกระโจนเข้าใส่คนที่ร้องเอะอะโวยวายเมื่อครู่
เมื่อวานมันก็ถูกสัตว์สองเท้าทุบตีจนต้องวิ่งหนีไปอย่างอัปยศ ภายในใจของมันยังคับแค้นมิหาย วันนี้ก็มีกลุ่มสัตว์สองเท้ามาหาถึงที่ หลังจากเห็นว่าสัตว์สองเท้าพวกนั้นหวาดกลัวมันจนปัสสาวะแทบราดเป็นแถว มันก็ได้แต่สบถในใจว่าเหตุใดพ่อแม่ของพวกเจ้าให้ขามาเพียงสองข้างและดูจากขาที่ลีบเล็กพวกนั้นแล้วคงไม่แข็งแกร่งเหมือนสัตว์สองเท้าตัวเมียเมื่อวานแน่
สัญชาตญาณสัตว์ป่าทุกชนิดล้วนเป็นเช่นนี้ ยิ่งเราวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวมากเท่าไร มันก็จะยิ่งไล่ตามอย่างดุร้ายมากขึ้นเท่านั้น หากพวกเขาเหล่านี้กล้าใช้จอบต่อสู้กับมันอย่างห้าวหาญ รับรองได้เลยว่าหมีควายที่เคยโดนมนุษย์ทุบตีมาแล้วครั้งหนึ่งต้องไม่กล้าแสดงท่าทีเผด็จการเช่นนี้แน่นอน !
เจ้าหมีควายใช้เท้าข้างเดียวจับรังผึ้งไว้แน่น ส่วนอีกสามข้างที่เหลือได้สาวเท้าวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ! ในกลุ่มคนเหล่านี้ผู้ที่เตี้ยและขาสั้นที่สุดก็คือหลิวว่ายจื่อ เขาจึงโดนทิ้งไว้ท้ายแถว หมีควายวิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังอยู่ใกล้เขามากขึ้นทุกที มันได้กระโจนเข้าใส่หมายตะปบเข็มขัดของเขา
หลิวว่ายจื่อถูกพละกำลังของหมีควายตะปบจนขาอ่อนล้มทรุดลงกับพื้น พอหันมามองก็พบกับดวงตาสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังจับจ้องมาทางตนคล้ายหมายเอาชีวิต ไหนจะลมหายใจของเจ้าหมีควายที่กำลังรินรดหน้าเขาอยู่…ด้วยความหวาดกลัวจึงทำให้หลิวว่ายจื่อร้องเสียงหลงแล้วเป็นหมดสติไป
เจ้าหมีควายเห็นเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสัยทันที เจ้าสัตว์สองเท้าตัวนี้เอาแต่ร้องโวยวายอยู่เนิ่นนาน เหตุใดตอนนี้ไม่ขยับเขยื้อนและไม่ร้องโวยวายแล้ว ? ดังนั้นมันจึงก้มหน้าลงดมฟุตฟิตบนใบหน้าของหลิวว่ายจื่อพร้อมใช้อุ้งเท้าเขี่ยไปมาสักพัก แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ยอมขยับเขยื้อน
นี่มิใช่สัตว์สองเท้าตัวเมื่อวาน มันจะกัดสักทีสองทีดีหรือไม่ ? แต่เวลานี้มันก็ยังไม่หิวนี่นา เรียกได้ว่าหลิวว่ายจื่อมิได้มีแรงดึงดูดใจต่อมันเท่ารังผึ้งในเท้าเลย !
กระนั้นภายในใจของมันก็ยังมีไฟโกรธปะทุอยู่ มันไม่อยากปล่อยสัตว์สองเท้าที่แอบบุกรุกเข้ามาในอาณาเขตให้รอดไปได้อย่างง่ายดาย มันจึงอยากสั่งสอนพวกเขาเสียหน่อย เจ้าหมีควายจึงขยับก้นแสนอุ้ยอ้ายของมันพร้อมตั้งท่าเหมือนจะนั่งไปบนแผงอกของหลิวว่ายจื่อ…
มันมีน้ำหนักตัวมากถึงห้าร้อยหกร้อยชั่ง หากมันหย่อนก้นนั่งลงไปเช่นนั้นรับรองได้เลยว่าหลิวว่ายจื่อต้องกระดูกหักทั้งตัวแน่ พอถึงตอนนั้นคิดหรือว่าเขาจะมีชีวิตรอด !
หลินเว่ยเว่ยที่หลบอยู่ด้านข้างจึงทนไม่ไหว จริงอยู่ที่นางอยากแกล้งขู่พวกที่คิดเอาเปรียบผู้อื่นตลอดเวลา ดังนั้นนางจึงได้ร่างข้อตกลงที่ระบุไว้ว่า ‘ให้รับผิดชอบความเป็นความตายของตนเอง’ เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องมีปัญหาจุกจิกน่ารำคาญมาคอยกวนใจ กระนั้นนางก็ไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาตายบนเขาลูกนี้ !
ดังนั้นหลินเว่ยเว่ยจึงกระโดดถีบเจ้าหมีควายตัวนั้น…
1 กวางดาว เป็นกวางที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกและถูกนำไปเป็นสัตว์เลี้ยงในหลายพื้นที่บนโลก ปัจจุบันเกือบจะสูญพันธุ์แล้วในทุกพื้นที่ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่น กวางดาวเป็นกวางขนาดกลาง มีขนตามลำตัวสีน้ำตาลส้ม มีจุดสีขาวกระจายอยู่ทั่วไป หางสั้นมีสีน้ำตาลอ่อน ก้นมีสีขาว