หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 307 แบกคู่หมั้นกลับมาให้ตัวเอง
ตอนที่ 307 แบกคู่หมั้นกลับมาให้ตัวเอง
“เจ้าน่ะสิขนแหว่ง! เจ้าคือลาขนแหว่ง!” เห็นได้ชัดว่านกแก้วโดนบ่าวรับใช้ตามใจจนเสียนิสัยเพราะแค่ไม่พอใจก็ด่ากราดออกมาแล้ว
วังตงเฉียงต่อปากต่อคำกับมัน “เจ้าน่ะสิลาขนแหว่ง เจ้าดูตัวเองก่อนเถิด บนตัวไม่มีขนสักเส้น ! น่าเกลียดอย่างกับอะไรดี นกขนแหว่ง ! ”
นกแก้วโมโหจนกระพือปีกแล้วร่อนลงบนศีรษะของเขา จากนั้นก็ทำให้ผมของเขากลายเป็นรังนก “ทำให้เจ้าผมแหว่ง ทำให้เจ้าผมแหว่ง ! ”
เจ้าหนูน้อยรีบจับมันออกจากศีรษะของวังตงเฉียง นกแก้วรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชายของนายหญิงคนปัจจุบันจึงไม่กล้าก่อเรื่อง เพียงตะโกนไปทางวังตงเฉียงด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคนชั่ว รังแกนก จิกเจ้าให้ตาย ! ”
พวกสหายคนอื่นของเจ้าหนูน้อยล้วนชี้มาที่วังตงเฉียงแล้วเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น วังตงเฉียงจัดผมของตนให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะพูดกับนกแก้วขนแหว่งว่า “พวกเรามาคืนดีกันได้หรือไม่ ? ”
“ให้เมล็ดสน ! ” นกแก้วขนแหว่งทำท่าทางเย่อหยิ่งราวกับถ้าไม่มีเมล็ดสนมันก็จะไม่ให้อภัย
เจ้าหนูน้อยจึงรีบอธิบายให้เหล่าสหายฟัง “มันชอบกินเมล็ดสน พวกเจ้าคนใดพกมาด้วยหรือไม่ ? ”
วังตงเฉียงรีบหยิบเมล็ดสนออกมา “ข้ามี ข้ามี ! ”
นกแก้วขนแหว่งบินไปเกาะมือเขาอย่างลดตัว จากนั้นก็ก้มหน้าจิกกินเมล็ดสน ‘แหวะ’ “ไม่อร่อย ! ไม่อร่อย ! หลอกนก ต้องจิก ! ”
ทันใดนั้นผมที่เพิ่งเข้าที่เข้าทางของวังตงเฉียงก็กลับมายุ่งเหยิงอีกครั้ง !
วังเอ้อร์จู้บิดาวังตงเฉียงคว้าตัวนกเอาไว้แล้วถามว่า “เอ้อร์ฮว๋า เจ้าไปเอานกดุร้ายนี้มาจากที่ใด ? เนื้อของมันมีน้อยยิ่งกว่านกพิราบ คงต้มทำแกงได้ไม่กี่ถ้วย…”
พอนกแก้วได้ยินว่าเขาจะกิน มันก็ตาขาวขึ้นมาทันใด มันตัวสั่นขณะอยู่ในมือวังเอ้อร์จู้พร้อมหันไปมองนายหญิงคนปัจจุบันด้วยแววตาน่าสงสาร “ช่วยด้วย ฆ่านกแล้ว…”
เจ้าหนูน้อยนำตัวเจ้าดำใส่มือเสี่ยวร่าง จากนั้นก็รีบไปแย่งตัวนกแก้วมาจากอีกฝ่าย “กินไม่ได้ ! นี่เป็นนกที่องค์ชายเจ็ดประทานเป็นรางวัลแก่พี่รอง ! ”
“รางวัล ? ” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินราวกับจับหางเปียของหลินเว่ยเว่ยได้ “เหตุใดองค์ชายเจ็ดต้องประทานรางวัลแก่เจ้า ? เจ้าไปทำความดีความชอบอันใดไว้ ? ” นางจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘ความดีความชอบ’ มากเป็นพิเศษ
หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวอย่างใจเย็น “องค์ชายเจ็ดอยากประทานรางวัลแด่ใครจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ ? บางทีอาจเพราะพระองค์ไม่โปรดเจ้านกแก้วขนแหว่งตัวนี้แล้วจึงยกให้ข้าไงเล่า”
เจ้าหนูน้อยรู้ว่าตนชอบเผลอพูดความจริงออกมา ดังนั้นพอแย่งนกแก้วมาจากวังเอ้อร์จู้ได้แล้วก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียนบรรทุกข้าว และนำเมล็ดสนที่ขอมาจากพี่รองอุดปากนกแก้วปากมากทันที
ตามความเข้าใจที่นางหวงมีต่อบุตรสาวคนรองคือองค์ชายเจ็ดโดนนักฆ่าลอบปลงพระชนม์ต่อหน้าต่อตา นางย่อมไม่มีทางยืนมองเฉย ๆ แน่นอน แต่โชคดีที่คนก็ปลอดภัย นางหวงจึงไม่เอ่ยสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
เมื่อกลับถึงหมู่บ้านฉือหลี่โกว แต่ละครอบครัวก็ขนข้าวสารของตนกลับบ้าน ครอบครัวไม่กี่หลังคาที่เข้าเมืองไปซื้อข้าวก็ได้มาเกือบ 200 ชั่ง ชาวบ้านคนอื่นจึงถามว่า “ไม่ได้บอกว่าหนึ่งคนซื้อได้แค่ 20 ชั่งหรอกหรือ ? เหตุใดจึงได้มาเยอะเช่นนี้ ? ”
ชาวบ้านคนนั้นคลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พ่อค้าขายข้าวเป็นคนรู้จักของนางหนูรอง พวกเราจึงสามารถซื้อข้าวโดยไม่ถูกจำกัดปริมาณและยังไม่ต้องต่อแถวอีกด้วย ราคาก็ถูกมากเลย ธัญพืชหยาบแค่ 12 อีแปะเท่านั้น ถูกยิ่งกว่าราคาในอำเภอจิงหยุนเสียอีก ! ได้ยินบ่าวรับใช้ของคุณชายลู่บอกว่าถ้าเรือบรรทุกสินค้าไม่ได้เป็นของตระกูลลู่เอง การค้าครั้งนี้ก็จะไม่ได้คืนแม้แต่ต้นทุนด้วยซ้ำ ! ”
“เช่นนั้นเขาคิดสิ่งใดอยู่ ? ”
“คิดสิ่งใดเล่า ? คุณชายลู่เป็นคนดีน่ะสิ ! คราวก่อนตอนที่คุณชายลู่ผ่านเขตเริ่นอันของพวกเราก็ได้เห็นผู้ประสบภัยใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก จึงทำตามคำสั่งราชสำนักคือขนข้าวสารมาจากทางใต้ ที่จริงคราวนี้ก็ไม่ได้ขาดทุนหรอก เพราะนี่ถือว่าได้สร้างความดีความชอบให้ฮ่องเต้เห็น หากฮ่องเต้ตรัสชมสักประโยคก็ถือว่าเป็นผลดีต่อตระกูลลู่ ! ”
“จริงสิ ! ที่อำเภอกับเขตอื่นก็มีพ่อค้าจากทางใต้หรือเมืองหลวงมาขายข้าวในราคาถูกเช่นกัน แต่ที่คุณชายลู่เลือกเขตเริ่นอันของพวกเราก็เพราะเห็นแก่หน้านางหนูรอง ! เขาบอกว่า…นางหนูรองเคยช่วยชีวิตเอาไว้ ! ”
“นางหนูรองเป็นคนดี ไม่รู้ว่าช่วยคนไว้เท่าไรแล้ว ? เจ้ายังจำได้หรือไม่ ? ตอนที่บัณฑิตเจียงโดนตีศีรษะครานั้นก็เป็นนางหนูรองช่วยแบกเขากลับมา ! พอแบกแล้วกลายเป็นแบกคู่หมั้นกลับมาให้ตัวเอง…ฮ่าฮ่าฮ่า…”
“นี่จึงเรียกว่าทำดีได้ดี ! คราวก่อนตอนที่โจรบุกปล้นหมู่บ้านเรา ทหารรักษาการณ์มาช่วยได้เร็วเช่นนั้นก็เพราะเห็นแก่บุญคุณที่นางเคยช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อเอาไว้ ! คุณชายลู่ท่านนี้ก็เช่นกัน ! นางหนูรองเป็นดาวนำโชคของพวกเราอย่างแท้จริง ! ”
“ใช่แล้ว ! พรุ่งนี้เจ้ายังจะเข้าเขตเริ่นอันอีกหรือไม่ ? ข้าว่าจะตุนข้าวสารราคาถูกไว้กินในฤดูหนาวเสียหน่อย ! ”
“ข้าวสารของบ้านข้าก็ไม่พอกินหรอก ! พรุ่งนี้พวกเราไปด้วยกันเถิด ครอบครัวหนึ่งไปหลายคนหน่อยแล้วก็อย่าใช้ชื่อของนางหนูรองอีกเลย จะให้พวกเราได้ประโยชน์ แล้วให้นางหนูรองติดค้างน้ำใจของผู้อื่นไม่ได้ ! ”
“ใช่ เจ้าพูดมีเหตุผล ! ครอบครัวหนึ่งเข้าเมืองได้ 2 คน พวกเราเข้าเมืองหลายครั้งหน่อยก็ได้แล้ว ช่วงนี้ในนาก็ไม่ได้มีสิ่งใดให้ทำ…”
วันรุ่งขึ้น ลู่เหวินจวินก็มาเยือนตามนัดหมาย เขามาพร้อมของขวัญเต็มลำเกวียน ของกินเอย เสื้อผ้าเอย ของใช้เอย…ล้วนคิดได้รอบคอบยิ่งนัก
บ้านตระกูลหลินก็ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น พี่น้องตระกูลหลินร่วมแรงกันทำอาหารโต๊ะใหญ่เพื่อต้อนรับแขกจากแดนไกล ลู่เหวินจวินกินจนหยุดปากไม่ได้ กระทั่งท้องโตและอิ่มไปได้ครึ่งกระเพาะแล้วถึงได้ลดความเร็วลง
หลินเว่ยเว่ยจึงพูดหยอกล้อ “คุณชายลู่ ท่านไม่ได้กินอะไรมากี่วันแล้ว ? ถ้าไม่รู้ข้าคงคิดว่าเผลอเก็บชาวบ้านผู้ประสบภัยกลับมาเสียอีก ! ”
นางหวงกลัวว่าคุณชายลู่จะโกรธจึงตำหนิบุตรสาวคนรองทันที “เจ้ารอง เหตุใดจึงพูดไม่รู้จักคิด ? ”
แต่คุณชายลู่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ารู้ว่าหลินกู่เหนียงล้อเล่น ! นางไม่เห็นข้าเป็นคนนอกจึงพูดเช่นนี้ ขอเอ่ยตามตรงว่าตั้งแต่ได้กินฝีมือหลินกู่เหนียงตอนมาเยือนคราวก่อน ข้ายังเก็บไปฝันอยู่บ่อยครั้ง แม้จะตามหาทั่วเมืองหลวงก็ยังหารสชาติเช่นนี้ไม่ได้ ! หลินกู่เหนียง หากท่านเปิดร้านอาหารที่เมืองหลวง กิจการจะต้องเจริญรุ่งเรืองจนแซงหน้าร้านชื่อดังแน่นอน ! ”
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ข้าได้ยินมาว่าแค่ทำตัวโดดเด่นในเมืองหลวงก็แตะโดนผู้มีอำนาจถึงสองคนแล้ว ร้านชื่อดังเหล่านั้นเป็นร้านอาหารที่มีอำนาจ เบื้องหลังจะต้องมีขุนนางระดับสูงหนุนหลังแน่นอน ข้าเป็นเพียงสตรีบ้านนอกไร้ฐานอำนาจผู้หนึ่งแล้วจะไม่โดนกลืนกินทั้งเป็นหรอกหรือ ! รอให้บัณฑิตเจียงกลายเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนักเมื่อใด ข้าค่อยคิดเรื่องเปิดร้านอาหารดีกว่า ! ”
พอเจียงโม่หานได้ยินเช่นนั้นก็คีบซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานให้นางหนึ่งชิ้นอย่างพึงพอใจ…ถือว่าเด็กน้อยเชื่อมั่นในตัวว่าที่สามี ใช้ได้ !
หลินเว่ยเว่ยแกะหัวกระต่ายให้เขาแล้วคีบสมองสดใหม่ด้านในให้ด้วย “มา มากินของบำรุงหน่อย ! กินเยอะ ๆ แล้วจงนำผลสอบหนึ่งในสามอันดับแรกมาให้ทุกคนได้เห็น ให้ทุกคนได้ตกตะลึงกันหน่อย ! ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนาง พอจิ้มสมองกระต่ายลงในซอสบาร์บิคิวแล้ว นางก็ส่งเข้าปากของเขา…เผ็ดชาและหอมสดชื่น ใช้ได้ !
ลู่เหวินจวินก็คีบหัวกระต่ายให้ตนและกินจนปากแดง หน้าผากมีเหงื่อไหลแต่ก็ยังพูดไม่หยุด “ยังเป็นหัวกระต่ายผัดหม่าล่าของหลินกู่เหนียงที่มีรสดั้งเดิม ‘หอเต๋อเยว่’ แห่งเมืองหลวงจ้างพ่อครัวชาวเสฉวนชื่อดังมาหนึ่งคน แต่หัวกระต่ายที่ทำออกมารสชาติธรรมดามาก ทว่าก็ยังมีพวกไม่รู้เรื่องรู้ราวตามไปกิน ! ฝีมือของหลินกู่เหนียงจะต้องทำให้พ่อครัวชาวเสฉวนคนนั้นกลายเป็นขยะในชั่วพริบตา ! ”
“จริงสิ หลินกู่เหนียง คราวก่อนตอนที่โจรบุกปล้น บ้านพวกท่านคงเสียหายกันไม่น้อยกระมัง ? ” ทันใดนั้นลู่เหวินจวินก็นึกถึงเป้าหมายแท้จริงในการมาเยือนครั้งนี้ได้เสียที