หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 309 บัณฑิตน้อยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ตอนที่ 309 บัณฑิตน้อยแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ขอบคุณพี่สะใภ้เผิง ดอกไม้นี้ปักออกมาได้งดงามมาก เหมือนของจริงเลยทีเดียว ! ” หลินเว่ยเว่ยอิจฉาคนที่ตัดเสื้อผ้าและเย็บปักได้ หากเปลี่ยนเป็นนางแล้ว ไม่มีทางทนนั่งเย็บผ้าได้แน่นอน คราวก่อนตอนที่มารดาบังคับให้นางปักกระเป๋าใส่เงิน นิ้วทั้งสิบของนางก็มีรูพรุนเหมือนตะแกรง มารดาเห็นแล้วสงสารจึงไม่บอกให้นางเรียนเย็บปักถักร้อยอีกเลย !
สะใภ้ใหญ่ตระกูลเผิงคลี่ยิ้ม “เจ้าชอบก็ดีแล้ว…รีบเข้ามานั่งในบ้านเร็ว ประเดี๋ยวข้าจะเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารเที่ยง…”
“ไม่รบกวนพี่สะใภ้เผิงดีกว่า พวกเรายังมีธุระต้องไปทำที่เขตเริ่นอัน กลางวันคงไม่กินข้าวที่บ้านท่านแล้ว” หลินเว่ยเว่ยรีบบอก
นางเผิงขมวดคิ้วทันที “มาถึงบ้านแล้วจะออกไปโดยยังท้องว่างได้อย่างไร ? พวกเราเคยกินอาหารบ้านเจ้าตั้งหลายมื้อ แต่พวกเจ้ายังไม่ได้กินอาหารตระกูลเผิง หรือว่าดูถูกฝีมือทำอาหารของบ้านเรา ? ”
“ป้าเผิง ฟังท่านพูดสิ ! เราสองบ้านเป็นอะไรกัน ? อาหารนี้กินเมื่อใดก็ได้ไม่ใช่หรือ ? ตอนเที่ยงนี้ข้าติดธุระจริง ๆ…บัณฑิตน้อยจะไปเยี่ยมอาจารย์ของเขา ส่วนข้าเองก็มีธุระต้องไปจัดการที่ท่าเรือ…” หลินเว่ยเว่ยชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมจนในที่สุดก็หลุดพ้นจากการต้อนรับแสนอบอุ่นของตระกูลเผิงมาได้
เมื่อกลับไปนั่งบนเกวียนอีกครั้งและออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เจียงโม่หานก็หันมามองนาง “ที่บอกว่าข้าจะไปเยี่ยมอาจารย์ เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่อง ? ”
“ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขา
เมื่อมาถึงเขตเริ่นอัน นางไม่บังคับเกวียนเข้าเมือง แต่เปลี่ยนเส้นทางไปยังหมู่บ้านในละแวกนั้นแทน พอเห็นเนินเขาที่คุ้นตาตรงหน้าหมู่บ้านและกระท่อมหลังน้อย ๆ แล้วเจียงโม่หานจะยังมีสิ่งใดสงสัยอีก เขาหันไปจิ้มหน้าผากเด็กน้อยทันที !
“มีคนอยู่หรือไม่ ? มีคนมาขอข้าวกินเจ้าค่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยหยุดเกวียน มือข้างหนึ่งแบกกระสอบข้าวแดง ส่วนอีกข้างถือแฮมจินหัว ส่วนห่อชาซีหูหลงจิ่งที่คุณชายลู่ให้มาก็ถูกยัดใส่มือบัณฑิตหนุ่ม
ตอนที่ผู้อาวุโสเซวียออกมาจากแปลงผักหลังกระท่อม เขาก็เห็นนางในสภาพหิ้วของเต็มไม้เต็มมือ…นี่มาขอข้าวกินที่ไหนกัน เป็นการเอาของขวัญมาให้มากกว่า
ผู้อาวุโสเซวียปัดมือที่เปื้อนดินของตน แล้วพูดกับหลินเว่ยเว่ยพร้อมรอยยิ้ม “ขอกินข้าวน่ะได้ เพียงแต่บ้านข้ามีแค่ข้าวหยาบ ๆ และชาจืดชืดเท่านั้น เกรงว่าพวกเจ้าจะไม่คุ้นชิน ! ”
หลินเว่ยเว่ยยกแฮมจินหัวในมือขึ้นมา “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ พวกเราเอาอาหารมาเอง ! ”
เวลานี้ผู้อาวุโสเซวียเดินมาถึงตัวนางแล้ว เขาสูดจมูกดมกลิ่น ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้าง “แฮมจินหัว ? แถมยังมีข้าวแดงด้วยหรือ ? พวกเจ้าไปเอาของดีนี้มาจากไหน ? ”
“สหายจากเมืองหลวงคนหนึ่งเอามาฝากเจ้าค่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยส่งสายตาเป็นเชิงว่า ‘ท่านก็รู้จักของดีเยอะเหมือนกัน’ ให้ชายชรา “แฮมจินหัวนี้ ผู้อาวุโสเซวียอยากกินแบบไหนเจ้าคะ ? ”
ผู้อาวุโสเซวียลูบเคราพลางหรี่ตานึกถึงความทรงจำในอดีต “ไม่ได้กินหมูอบน้ำผึ้งมานานหลายปีแล้ว…แต่ไม่มีใครในภาคเหนือทำอาหารนี้เป็น เช่นนั้นก็นึ่งกินเถิด รสชาติไม่เลวเช่นกัน…”
“หมูอบน้ำผึ้ง ! ที่บ้านผู้อาวุโสเซวียมีน้ำผึ้งกับสุราเหลืองหรือไม่เจ้าคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยถาม
ทันใดนั้นดวงตาของผู้อาวุโสเซวียก็เบิกกว้างกว่าเดิม “เจ้าทำเป็นจริงหรือ ? สุราเหลืองมีอยู่ แต่น้ำผึ้งนี้…ข้าขอไปดูก่อน ข้าไม่ชอบกินเจ้านั่นสักเท่าไรจึงไม่รู้ว่าเอาไปยัดไว้ไหนแล้ว ! ”
เขาให้ชายชุดดำ…บุตรชายของบ่าวผู้ภักดีนามว่าเซวียจื้อเฉียน…ช่วยค้นหา ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็หาสิ่งที่หลินเว่ยเว่ยต้องการจนครบ
หลินเว่ยเว่ยจึงได้เวลาแสดงฝีมือ นางไม่เพียงทำหมูอบน้ำผึ้ง แต่ยังทำหมูผัดเห็ด แกงฟักใส่หมูและอาหารจานผักอีกสองอย่าง แน่นอนว่าข้าวที่กินเป็นข้าวแดง หลังจากผู้อาวุโสเซวียตักเข้าปาก รสชาติก็ยังคั่งค้างอยู่ในปากนานแสนนาน สายตาคู่นั้นเหม่อลอยคล้ายกำลังคิดถึงเรื่องราวในอดีต
“ผู้อาวุโสลองกินหมูอบน้ำผึ้งว่ารสชาติใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยดึงเขาออกจากภวังค์ ลองนึกภาพชายชราอายุเกินหกสิบซึ่งผ่านความรุ่งโรจน์และผ่านความยากลำบากช่วงสงคราม ท้ายที่สุดมาปักหลักยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ในแดนเหนือและกลายเป็นเพียงสามัญชนทั่วไป ทำให้ทั้งชื่นชมและอดสงสารไม่ได้
ผู้อาวุโสเซวียลองชิม ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูง “เจ้าไปเรียนทำอาหารรสชาติเช่นนี้มาจากที่ใด ? หมูอบน้ำผึ้งนี้อร่อยยิ่งกว่ารสชาติที่ข้าเคยกินเสียอีก ! ไม่เลว ! สหายเจียงเอ๋ย เป็นลาภปากของเจ้าแล้ว ! ”
ผู้อาวุโสเซวียที่ช่วงนี้ไม่ค่อยเจริญอาหารสักเท่าไร สามารถกินข้าวหมดถ้วยในมื้อนี้ กับข้าวก็กินไปไม่น้อย เซวียจื้อเฉียนแอบจดจำไว้ในใจ เมื่อรอให้หลินเว่ยเว่ยออกจากกระท่อมแล้ว เขาจึงตามออกมาถามวิธีทำหมูอบน้ำผึ้งจากนาง
หลินเว่ยเว่ยบอกว่าทำน้ำผึ้งอย่างไร เติมเครื่องปรุงเท่าไหร่ ต้องอบนานเพียงใด นางค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด หลังครุ่นคิดแล้วนางก็พูดว่า “ประเดี๋ยวข้ากับบัณฑิตเจียงจะไปที่ห้องหนังสือแล้ว ข้าจะเขียนวิธีทำสั้น ๆ ให้เจ้าแล้วกัน ส่วนเจ้าก็ค่อย ๆ ลองทำให้ผู้อาวุโสกิน”
เซวียจื้อเฉียนพยักหน้า แววตาที่มองนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เจียงโม่หานรีบดึงตัวนางแล้วบอกให้ขึ้นเกวียน จากนั้นก็ขับเกวียนออกไปทันที…เขาไม่ชอบให้ชายอื่นใช้สายตาเช่นนั้นมองสตรีของตน บัณฑิตน้อยคนนี้ชอบแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้นทุกวัน !
เซวียจื้อเฉียนกลับมาที่กระท่อม ผู้อาวุโสเซวียมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ไปขอสูตรทำหมูอบน้ำผึ้งมาเช่นนั้นหรือ ? การกระทำของเจ้าไม่เหมาะสม เพราะอาหารจานนี้อาจเป็นสูตรลับของบ้านนางก็ได้ แต่เจ้าวู่วามเข้าไปถามเช่นนั้น สรุปแล้วนางบอกเจ้าหรือไม่ ? ”
เซวียจื้อเฉียนเงียบเพราะรู้ว่าการทำเช่นนี้คือขาดการยั้งคิดจริง ๆ แต่ถ้าให้เลือกใหม่ เขาก็จะทำเช่นเดิม เนื่องจากผู้อาวุโสเซวียเปรียบเสมือนปู่แท้ ๆ ของตน ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก สอนทุกสิ่งอย่าง ท่านพ่อเคยกล่าวไว้ว่าหากเป็นสมัยก่อนต้องมีคนไม่น้อยที่อิจฉาในความโชคดีของเขาแน่นอน !
ผู้อาวุโสเซวียอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงนี้การนอนหลับและการรับประทานอาหารก็ไม่ค่อยดี การที่กินข้าวหมดหนึ่งถ้วยในวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ขณะมองร่างกายที่ค่อย ๆ ซูบผอมของผู้อาวุโสเซวีย เซวียจื้อเฉียนก็วิตกกังวลขึ้นทุกวัน กว่าจะเจออาหารที่ผู้อาวุโสชอบกินไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะต้องแย่งชิงหรือขู่เข็ญก็จะต้องได้สูตรอาหารนี้มาครอบครอง
“ข้าไม่เห็นความลำบากใจจากตัวกู่เหนียงคนนั้น นางยังบอกเองว่าจะเขียนสูตรอาหารที่เหมาะกับคนชราให้ด้วยขอรับ ! นายท่าน ท่านคิดว่า…นางมีเจตนาแอบแฝงต่อตัวท่านหรือไม่ ? ” ข้าวแดงและแฮมจินหัว แม้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะขายให้ใครก็ได้ นางบอกจะให้ก็ให้ คนเสียสติเท่านั้นถึงจะเชื่อว่านางทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ !
ผู้อาวุโสเซวียกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คนแก่เดียวดายอย่างข้าจะมีสิ่งใดให้คนอื่นใช้ประโยชน์ ? เฉียนเอ๋อร์ เจ้ายังดูคนผิดไปหน่อย กู่เหนียงน้อยคนนั้นเป็นคนจิตใจดีและไร้เดียงสา นางแค่สงสารคนแก่อย่างข้าเท่านั้น ! ”
เซวียจื้อเฉียนไม่คิดเช่นนั้น “ข้าคิดว่ากู่เหนียงคนนั้นอาจจะอยากให้คู่หมั้นมากราบท่านเป็น…” หากนายท่านรับลูกศิษย์มาไว้ข้างกายก็อาจจะไม่เหงาเช่นนี้อีก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ! ” พอได้ยินเช่นนั้นผู้อาวุโสเซวียก็หัวเราะลั่น “สหายน้อยไม่ได้อยู่แต่ในสระหรอก หากข้ารับเขาเป็นศิษย์ มันจะเป็นการทำร้ายเขามากกว่า อีกอย่างตัวเขาก็ไม่มีเจตนาจะให้ข้าเป็นอาจารย์…เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ยามว่างค่อยมาถกเถียงกัน เล่นหมากล้อมสองสามกระดาน สหายต่างวัยดีกว่าอาจารย์กับศิษย์ และยังเป็นผลดีต่อการพัฒนาตนเองในอนาคตของเขาด้วย”
เซวียจื้อเฉียนมีแววตามืดมนทันใด “นายท่าน ท่านกำลังกังวลว่าจะทำผิดซ้ำสองใช่หรือไม่ ? ก็เพราะอดีตฮ่องเต้มีพระทัยคับแคบ เห็นผู้มีความสามารถไม่ได้ ท่านสร้างเสาหลักให้แก่ราชสำนักตั้งกี่ต้น…หากอดีตฮ่องเต้ไม่ลดตำแหน่งและประหารลูกศิษย์ของท่าน ราชวงศ์เก่าก็คงไม่ล่มสลายเร็วเช่นนี้…”