หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 311 คนโง่มักกระเป๋าหนัก
ตอนที่ 311 คนโง่มักกระเป๋าหนัก
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยด้วยความมั่นใจ “วันข้างหน้าน้องสี่ต้องเข้าสำนักศึกษาและเข้าร่วมการสอบบัณฑิต ข้ายังไม่ต้องเข้าสำนักศึกษาหรือสอบอันใดแล้วจะเขียนอักษรให้งดงามไปให้ผู้ใดมอง ? หรือว่าเขียนอักษรไม่งามแล้ว จะไม่คู่ควรเป็นภรรยาของเจ้า ? ”
“เจ้าพูดเล่นลิ้นให้มันน้อยหน่อย…ช่างเถิด เจ้าอยากทำอะไรก็ทำ ! ” เจียงโม่หานโดนนางดัดนิสัยจนไม่เหลือความเอาแต่ใจแล้ว เขาใช้มือจิ้มไปที่หน้าผากของนาง ก่อนจะเดินเข้าห้องหนังสือไป
ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยเป็นประกายแล้วรีบวิ่งตามไปพร้อมส่งเสียงหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นคัดอักษรสองแผ่นทุกวันก็ไม่ต้องทำแล้วใช่หรือไม่ ? ”
“ไม่ได้ ! ” ท่าทางของเจียงโม่หานเด็ดเดี่ยว ไร้วี่แววว่าสามารถต่อรองได้แม้แต่น้อย
หลินเว่ยเว่ยเบะปาก “เจ้าไม่ได้บอกว่าอยากทำอะไรก็ทำหรือ ? ข้าไม่ชอบใช้พู่กันคัดลายมือ…”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าชอบใช้อะไรเขียนอักษร ? ” เจียงโม่หานจับใจความสำคัญในคำพูดนางได้ เลยอดไม่ได้ที่ถามขึ้นมา
หลินเว่ยเว่ยรีบกลืนคำพูดที่กำลังจะออกมาจากปากลงไปทันที หลังครุ่นคิดแล้วนางก็พูดว่า “ถ้าเจ้าเอาขนห่านก้านหนา ๆ มาให้ ข้าสามารถทำเป็นพู่กันขนห่านซึ่งใช้เขียนได้เช่นกัน ! ”
“ใช้ขนห่านเขียนอักษร ? แปลกใหม่น่าสนใจดี ! ” เจียงโม่หานจ้องนางอย่างเปี่ยมความนัย
เดิมทีหลงจู๊เซวียผู้ดูแลห้องหนังสือไม่ได้แซ่เซวีย ทว่าตระกูลของเขาทำงานให้สกุลเซวียมาสามรุ่นและแสนจงรักภักดีจึงได้รับความเชื่อใจจากผู้อาวุโสเซวียจนสามารถมีแซ่เซวียตามเจ้านายของตนได้ ระหว่างความสัมพันธ์เชิงนายบ่าวนี่ถือเป็นเกียรติอย่างสูง !
หลงจู๊เซวียเห็นว่าในที่สุดเจ้าของห้องหนังสือตัวจริงซึ่งหายหน้าหายตาไปโดยตลอดก็มาที่ร้านเสียที เขาจึงรีบชี้ไปยังแท่นวางใบพัดและภาพวาดผลงานปราชญ์ชนบทที่ว่างเปล่า แล้วพูดว่า “คุณชายเจียง หากยังไม่นำพัดและภาพวาดทิวทัศน์มาวางเพิ่มอีกก็จะไม่มีสินค้าให้ขายแล้วนะขอรับ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียงดัง ชิ “คาดไม่ถึงเลยว่าคนรวยในเขตเริ่นอันของเราจะมีไม่น้อย ผ่านไปไม่นานพัดราคา 50 ตำลึงจำนวนหลายสิบแผ่นก็ขายหมดแล้ว บัณฑิตน้อย ธุรกิจห้องหนังสือของเจ้าไปได้ไม่เลวเลย ! ”
เจียงโม่หานหยิบม้วนกระดาษสองม้วนออกมาจากแขนเสื้อที่กว้าง ม้วนหนึ่งเป็นใบพัดที่มีภาพวาดหลายสิบแผ่นซึ่งเขาเพิ่งวาดเสร็จเมื่อไม่นานมานี้และยังไม่ได้ประกอบเป็นชิ้นงาน ส่วนอีกม้วนคือภาพวาดทิวทัศน์ที่เขาวาดในยามว่าง
หลินเว่ยเว่ยยังเค้นเสียงดัง ชิ อีกครั้ง จากนั้นก็ช่วยทำให้ภาพวาดของเขากลับมาเรียบดังเดิม “ของราคาหลายร้อยหลายพันตำลึง เจ้ากล้ายัดใส่แขนเสื้อง่าย ๆ เช่นนี้ ไม่กลัวทำมันขาดมันยับบ้างหรือ ? ”
“แล้วเจ้าคิดว่าควรเก็บไว้ที่ใด ? วางบูชาไว้บนศีรษะหรือ ? ” เจียงโม่หานอดไม่ได้ที่จะประชดนาง
“อย่างน้อย…ก็ควรใส่กระบอกไม้ไผ่ จะได้ช่วยป้องกันความเสียหาย ! ” หลินเว่ยเว่ยเพิ่งวางภาพวาดหน้าใบพัดลงที่ชั้นก็มีสตรีใส่ผ้าคลุมหน้าพาสาวใช้สองคนเดินเข้ามา
กู่เหนียงน้อยเพิ่งเข้ามาก็เอ่ยปากถามทันที “ไม่ทราบว่าพัดของปราชญ์ชนบทมาเพิ่มบ้างหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปต้อนรับ “มี มี ! เพิ่งส่งมาถึงเมื่อครู่เลย ดูสิ ยังไม่ทันวางขึ้นชั้นด้วยซ้ำ ! กู่เหนียงเชิญเลือกชม!”
อีกฝ่ายเอียงศีรษะมองนาง “เจ้าเป็นคนงานใหม่ของห้องหนังสือแห่งนี้หรือ? ห้องหนังสือก็รับคนงานหญิงเหมือนกันหรือ?”
“ไม่ใช่…ข้ากับหลงจู๊เป็นญาติกัน ข้าจึงมาช่วยงาน ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่คิดแม้แต่น้อย
กู่เหนียงน้อยพยักหน้า “ข้าก็สงสัยอยู่ เพราะตอนมาเยือนเมื่อสองครั้งก่อนยังไม่เห็นเจ้าเลย ! ”
นางเข้ามายืนด้านข้างหลินเว่ยเว่ยแล้วเริ่มก้มหน้าเลือกอย่างละเอียด ท้ายที่สุดก็ลังเลระหว่างใบพัดสองแผ่นตรงหน้า ภาพวาดบนใบพัดของปราชญ์ชนบทราคาแพงมาก นางต้องประหยัดเงินตั้งหลายเดือนถึงจะมีเงินพอซื้อสักแผ่น แต่องค์ประกอบของภาพและความเสมือนจริงของภาพนี้…นางคิดว่ามันคุ้มค่า !
หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะถาม “กู่เหนียงจะซื้อใบพัดนี้ไป…มอบเป็นของขวัญหรือ ? ”
อีกฝ่ายส่ายหน้า “ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านแม่แล้ว ข้าจึงคิดจะปักภาพใส่กรอบให้ท่าน แต่ลวดลายของข้าธรรมดาเกินไป คราวก่อนบังเอิญเห็นพัดของท่านพี่ ข้าจึงคิดว่าหากใช้ลายบนใบพัดนี้ไปปักแล้วใส่กรอบแทนก็น่าจะดูดีไม่น้อย ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบขยิบตาให้เจียงโม่หาน ว้าว ! คาดไม่ถึงเลยว่าใบพัดของเจ้าจะมีประโยชน์มากกว่าการนำไปทำพัด !
“มิน่าเล่า…ท่านถึงยอมจ่ายเงิน 50 ตำลึงเพื่อซื้อใบพัด ! ” อย่างไรนางก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะซื้อภาพวาดราคา 50 ตำลึงหรอก ดั่งคำกล่าวที่ว่าคนโง่มักกระเป๋าหนัก !
เจียงโม่หานถึงขั้นพูดไม่ออก
เจ้าคิดว่าภาพวาดของข้าไม่คู่ควรกับเงินหลายสิบตำลึงนี้หรือ ?
หลินเว่ยเว่ยแสร้งยิ้มเอาใจ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ! ในใจข้าเห็นว่าผลงานของเจ้าไม่สามารถใช้เงินประเมินค่าได้ต่างหาก !
กู่เหนียงน้อยใช้มือประสานที่หน้าอก หากมองผ่านผ้าคลุมหน้าแล้วสามารถเห็นดวงตากลมโตอันเปล่งประกายของนาง
มันสว่างไสวราวกับแสงแห่งความฝัน “ภาพวาดของปราชญ์ชนบทย่อมคู่ควร ! ภูเขา สายธาร กระท่อมเหล่านั้น…เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและยังมีบทกวีแสนไพเราะเกินบรรยาย พี่ชายของข้าพูดว่าภายในภาพวาดของเขายังซ่อนปรัชญาอันไร้สิ้นสุดเอาไว้…หากบ้านเมืองไม่ได้อยู่ช่วงเวลาวุ่นวายเช่นนี้ ปราชญ์ชนบทก็อาจมีชื่อเสียงเลื่องลือและกลายเป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปนานแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยหันหน้าไปอีกทางแล้วแลบลิ้นให้บัณฑิตน้อยที่กำลังยืนอยู่ด้านข้างของชั้นวางหนังสือ เจ้ายืนไกลเพียงนั้นเพราะเหตุใด ? ยินดีด้วย ได้แฟนคลับผู้โง่เขลาเพิ่มอีกคนแล้ว
หลินเว่ยเว่ยถามอีกฝ่ายว่า “ท่านคิดว่าปราชญ์ชนบทผู้นี้ควรจะเป็นคนเช่นไร ? ”
เด็กสาวเอียงศีรษะพลางครุ่นคิด “พี่ชายของข้าบอกว่าปราชญ์ชนบทผู้นี้จะต้องเป็นชายชราที่ชาญฉลาดคนหนึ่งจึงสามารถมองโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หวนคืนสู่พื้นฐาน กลับสู่ธรรมชาติ ส่วนตัวข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนมีความสามารถที่หยิ่งผยองคนหนึ่ง ดูแคลนการคบค้าสมาคมกับทางโลก ชอบดื่มด่ำกับธรรมชาติ ทว่าในใจก็ยังเต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อราษฎรจึงทำให้ภาพวาดกระท่อมกลางหุบเขาแฝงไปด้วยเนื้อความแห่งบทกวีเช่นนี้…”
เจียงโม่หานยักคิ้วให้หลินเว่ยเว่ย เห็นหรือยัง ? อ่านตำรามากเท่าใด วิสัยทัศน์ก็กว้างขึ้นเท่านั้น ผู้ไม่รู้หนังสือย่อมไร้วัฒนธรรม !
หลินเว่ยเว่ยย่นจมูกแล้วพูดกับกู่เหนียงน้อยว่า “เขาจะมีโอกาสเป็นบัณฑิตน้อยรูปงามบ้างหรือไม่ ? บัณฑิตยากจนถึงได้เป็นสหายกับสายน้ำขุนเขาในชนบท”
กู่เหนียงน้อยยกเปลือกตามองนาง ก่อนจะส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร ? เจ้าคิดว่าการวาดภาพง่ายขนาดนั้นหรือ ? จิตรกรที่มีชื่อเสียงมากมายต้องใช้เวลาสิบกว่าปีหรือหลายสิบปีถึงจะได้รับการยอมรับและการชื่นชมจากทั่วหล้า หากเป็นบัณฑิตน้อยล่ะก็ เขาต้องเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะแล้วกระมัง ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเห็นกู่เหนียงยังอายุน้อยแต่กลับเข้าใจศิลปะอย่างลึกซึ้ง น่าชื่นชมเหลือเกิน ! ”
อีกฝ่ายก้มหน้ามองใบพัดที่ตนเลือก หลังได้ยินเช่นนั้นนางก็ยิ้มด้วยความเขินหาย “ท่านพ่อกับท่านพี่เป็นผู้คลั่งไคล้ในภาพวาด หากเจ้าเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เจ้าก็อาจหมกมุ่นกับมันมากกว่าข้า…”
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เหลือบไปเห็นบัณฑิตหนุ่มโบกมือเรียก นางจึงพูดกับกู่เหนียงน้อยว่า “ขอตัวสักครู่…”
เจียงโม่หานกระซิบกับนางสองสามประโยค จากนั้นนางก็กลับมาอยู่ข้างกายกู่เหนียงน้อย ก่อนจะชี้ไปที่ภาพวาดหุบเขาซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ผลิบานแล้วพูดว่า “ในเมื่อจะนำไปปักใส่กรอบ ถ้าสีจืดไปก็จะทำให้ห้องดูจืดชืดไปด้วย ภาพนี้มีสีสันเยอะหน่อย ดอกไม้ผลิบานเต็มหุบเขา เปี่ยมไปด้วยทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิที่น่าโหยหา สีสันในความอ้างว้างเหมาะแก่การนำไปใส่กรอบมากกว่า กู่เหนียงคิดว่าอย่างไร ? ”
กู่เหนียงน้อยมองภาพนั้นอย่างละเอียด ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดมีเหตุผล ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจได้ “ตกลง เอาภาพแผ่นนี้แล้วกัน คาดไม่ถึงว่าพี่สาวก็รักในศิลปะเช่นกัน ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าบ้านของท่านอยู่ในเขตเริ่นอันหรือเปล่า ? ข้าติดตามที่บ้านมาจากเมืองหลวงเพื่อร่วมงานฉลองวันเกิดให้ผู้ใหญ่ในตระกูล ต้องรอจนถึงปีใหม่แล้วค่อยกลับบ้าน ถ้าพี่สาวไม่รังเกียจ ข้าขอไปเยี่ยมท่านที่บ้านได้หรือไม่…”