หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 318 ถอนฟันเจ้า
ตอนที่ 318 ถอนฟันเจ้า
ติงหยูเจินสองพี่น้องทำหน้าปฏิเสธ ติงหลิงเอ๋อร์จึงรีบประท้วงขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่ พี่รอง เหตุใดพวกท่านจึงทำหน้าเช่นนี้ ? ยังไม่ทันได้กินก็ทำหน้าราวกับโดนประหารชีวิตแล้วหรือ ? ตัดสินง่ายเกินไปแล้วกระมัง ! ข้าจะบอกพวกท่านว่านี่เป็นขนมที่พี่หลินสอนด้วยตนเอง พี่หลินยังชมว่าข้ามีพรสวรรค์ในการทำขนมที่สุดเลย ! ”
ติงหยูเฉิงจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ส่วนใหญ่…ฝีมือการทำอาหารในอดีตของเจ้าทำให้พวกเราต้องหวาดกลัว ทุกครั้งที่กินอาหารฝีมือเจ้า พวกเราจะปวดท้องเสมอ…มันทรมานมากเชียวล่ะ ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์ทั้งอายและโมโห นางรีบเหลือบมองหลินจื่อเหยียนที่มีรอยยิ้มตรงมุมปากแล้วกระทืบเท้าทันที “พี่รอง ! นั่นคืออดีตที่มืดมนของข้าตอนอายุหกขวบ ท่านยังเอามาพูดอีก ! ข้า…ข้าจะกลับไปฟ้องท่านแม่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นเด็กสาวอายจนหน้าแดงจึงรีบหาทางลงให้โดยการนำซูเฟลครึ่งชิ้นที่ติงหลิงเอ๋อร์ทำไปยัดใส่ปากหลินจื่อเหยียน ก่อนจะนำส่วนที่เหลือใส่ปากตนเอง ภายใต้สายตาตั้งตาคอยของติงหลิงเอ๋อร์ นางก็ชูนิ้วโป้งให้ “ไม่เลว ถ้าคะแนนเต็มร้อยก็น่าจะได้ประมาณ 90 คะแนน ! ”
หลินจื่อเหยียนก็ให้กำลังใจอย่างเอาใจ “ทำครั้งแรกก็ออกมาดีถึงเพียงนี้ พี่รองเอ่ยชมไม่ผิด ท่านมีพรสวรรค์มาก ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์เผยท่าทางดีใจ ส่วนหลินเว่ยเว่ยยังพูดเสริมสั้น ๆ “สิ่งสำคัญคือการตีไข่ขาวให้ออกมาได้ดี ! ” ติงหลิงเอ๋อร์ก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลินจื่อเหยียนจึงกล่าวด้วยความเขินอาย “อย่างข้าเรียกว่าฝึกฝนจนชำนาญ ! โดนพี่รองบังคับมาทำทุกวัน ! ”
“ดีนัก ! ปีกกล้าขาแข็งแล้วสิ กล้าท้าทายต่อหน้าต่อตาแล้วใช่หรือไม่ ! บอกว่าข้าบังคับเจ้า…ข้าบังคับเจ้าแล้วอย่างไร ? ต่อไปขนมที่ข้าทำ เจ้าอย่าแอบขโมยกิน ไม่เช่นนั้นข้าจะถอนฟันเจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยทำท่าทางดุร้าย ส่วนติงหลิงเอ๋อร์กลับหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้าง
หลินจื่อเหยียนกางอุ้งมือออกแล้วส่ายไปมา “ข้าไม่แอบกิน แต่จะกินให้เห็นไปเลย เช่นนี้ก็รักษาฟันไว้ได้แล้วใช่หรือไม่ ? ”
“ฮ่า…” ติงหลิงเอ๋อร์ทนไม่ไหวอีกต่อไป พอเห็นหลินจื่อเหยียนมองมาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ นางก็รีบเข้าไปหลบด้านหลังของหลินเว่ยเว่ยพร้อมเผยไหล่ที่สั่นไม่หยุด แค่มองก็รู้ว่านางกำลังแอบหัวเราะอยู่
หลินจื่อเหยียนจึงเขินอายขึ้นมาทันใด “ข้า…ข้าจะยกซูเฟลไปให้ว่าที่พี่เขยใหญ่ ! ”
“รีบไปรีบกลับ ! บิสกิตรูปหมีเตานั้นใกล้จะได้ที่แล้วนะ ! เจ้าเองก็รู้ว่ามือใหม่ทำขนมอาจโดนความร้อนลวกมือได้ง่าย เจ้าคงไม่อยากเห็นมือของเด็กสาวน่ารักมีแผลหรอกกระมัง ? ” หลินเว่ยเว่ยตะโกนไล่หลังน้องชาย
เสียงของหลินจื่อเหยียนดังมาจากข้างนอกประตู “เดี๋ยวข้ากลับมา…”
ติงหยูเจินสองพี่น้องนำซูเฟลที่เหลืออีกชิ้นมาแบ่งคนละครึ่งแล้วลองชิมบ้าง ติงหลิงเอ๋อร์ตื่นเต้นจนเป็นกังวล นางรีบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ? รสชาติไม่เลวใช่หรือไม่ ? ”
ติงหยูเจินและน้องชายหันมามองหน้ากัน พวกเขาสามารถมองเห็นความตกตะลึงจากสายตาของอีกฝ่าย ติงหยูเจินพยักหน้าแล้วชมอย่างไม่ลังเล “อร่อย ! อร่อยกว่าขนมจากร้านชื่อดังในเมืองหลวงเสียอีก”
ติงหยูเฉิงพยักหน้ารัว ๆ “กลิ่นหอมอบอวล เนื้อขนมนุ่มฟู รสชาติยอดเยี่ยม…”
ติงหลิงเอ๋อร์กระดิกหางทันที “จริงหรือ ? ข้าทำได้แบบนั้นเชียวหรือ ? ของที่ข้าทำออกมายอดเยี่ยมใช่หรือไม่ ? ” รีบชมข้าอีก เร็วเข้า ! ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไม่ให้พวกท่านกินของที่ข้าทำอีก ใครใช้ให้พวกท่านดูถูกข้าเล่า !
บิสกิตรูปหมีเตาที่สองได้เวลานำออกมาแล้ว เมื่อมีหลินเว่ยเว่ยอยู่ก็เป็นธรรมดาที่จะไม่ให้อีกฝ่ายทำพัง บิสกิตรูปหมีที่เย็นแล้วมีรสชาติหอมอร่อย ด้านในยังมีเมล็ดต้นเจินช่วยเพิ่มรสสัมผัส รสชาติของมันจึงออกมาดียิ่งนัก !
ติงหลิงเอ๋อร์ภูมิใจมาก นางพูดกับหลินเว่ยเว่ยด้วยความเกรงใจ “พี่หลิน ข้าสามารถเอากลับไปให้ท่านแม่ชิมสักเล็กน้อยได้หรือไม่ ? ข้าอยากให้ท่านแม่ได้ลองชิมฝีมือของข้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ได้สิ ! บิสกิตรูปหมีพวกนี้กับบิสกิตรสนมพวกนั้น ยกให้เจ้าเอากลับบ้านหมดเลย ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์เดินวนรอบ ๆ ด้วยความดีใจ พอเห็นพี่ชายคนรองกำลังเอื้อมมือจะไปหยิบขนมขึ้นมาอีกชิ้น นางก็รีบปัดมือเขาทันที “ห้ามกิน ข้าจะเอากลับไปให้ท่านแม่ ! ”
ติงหยูเฉิงเห็นตรงนั้นยังมีบิสกิตรูปหมีอีกหลายสิบตัว เขาจึงแสดงท่าทางขี้อ้อนออกมาเล็กน้อย “แต่ว่า…ข้าเพิ่งกินไปชิ้นเดียวเอง ยังไม่รู้รสชาติเลย ! ”
เดิมทีติงหลิงเอ๋อร์คิดจะใช้กระดาษน้ำมันห่อ แต่หลินเว่ยเว่ยยกโถกระเบื้องเคลือบสีขาวให้ หลังปิดผนึกมันให้ดีแล้วจะเก็บไว้กินได้หลายวัน ติงหลิงเอ๋อร์หยิบบิสกิตรูปหมีใส่โถอย่างมีความสุข จากนั้นก็หันไปพูดกับพวกพี่ชายด้วยความเย่อหยิ่งว่า “รีบประจบข้าสิ ไม่แน่ว่าพอข้าอารมณ์ดีแล้ว อาจช่วยอบให้พวกท่านสักเตา ! ”
หลินจื่อเหยียนคิดในใจว่า ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดติงกู่เหนียงกับพี่รองจึงเข้ากันได้ดีตั้งแต่แรกพบ ทั้งสองคนมีนิสัยร่าเริงและชอบแกล้งพี่น้องเหมือนกัน ! ตอนอยู่บ้าน เด็กสาวคนนี้จะต้องเป็นที่รักของทุกคนแน่นอน ทว่าร่าเริงแต่ไม่เย่อหยิ่ง น่ารักดีจริง ๆ…
หืม เหตุใดเขาจึงคิดว่าเด็กคนนี้น่ารัก ? สะ…เสียมารยาทและอุกอาจเกินไปแล้ว ! โชคดีที่เขาแค่คิดในใจ หากเผลอพูดออกไปคงโดนพี่ชายของนางทุบจนตายใช่หรือไม่ ? หลินจื่อเหยียนมีใบหูสีแดงก่ำ “ขะ…ข้าจะไปเขียนบทความ…”
ติงหลิงเอ๋อร์มองตามแผ่นหลังของเขา นางมักรู้สึกว่าเขากำลังวิ่งหนีอยู่ น่าแปลก ใครไปทำให้เขากลัว ! นางจึงเอ่ยปากชมเขาอย่างไม่ใส่ใจ “น้องชายหลินขยันจริง ๆ เลย ! ”
ติงหยูเจินพยักหน้า “พื้นฐานของคุณชายหลินดีมาก แม้ด้านกวีจะดูขาดประสบการณ์ไปบ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ทฤษฎีเชิงกลยุทธ์ที่เขียนก็มีแบบแผน…เขาน่าจะสอบบัณฑิตถงเซิงปีหน้าได้อย่างไร้ปัญหา ถ้าโชคดีก็อาจสอบติดซิ่วไฉ ! สิ่งสำคัญคืออายุของเขาเทียบกับเจ้าเองก็ยังห่างอีกหลายเดือน ! ”
“เหตุใดต้องเอาข้าไปเทียบ ? เหตุใดไม่เทียบกับท่านแล้วก็พี่รอง ? ฮึ ! ข้าไปช่วยพี่สาวทั้งสองทำอาหารดีกว่า ! ” ติงหลิงเอ๋อร์มุ่ยปากแล้ววางโถขนมลง จากนั้นเอ่ยเตือนพี่ชายทั้งสองว่า “ข้านับไว้แล้ว ห้ามแอบขโมยกิน ! ”
ติงหยูเจินมองน้องรองด้วยความประหลาดใจ “ทั้งสองคนเกิดปีเดียวกัน จะเอามาเทียบกันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ? พวกเราอายุมากกว่าคุณชายหลินตั้งเยอะจึงไม่มีอะไรให้เทียบกัน จริงหรือไม่ ? ”
ติงหยูเฉิงแอบยื่นมืออันชั่วร้ายไปที่โถขนม “น้องเล็กคงคิดว่าที่ท่านเปรียบเทียบเช่นนั้นจะทำให้นางดูแก่กว่าไม่ใช่หรือ ? สตรีไม่ได้กลัวคนอื่นว่าแก่หรือไร ? ”
ติงหยูเจินรีบยกโถกระเบื้องเคลือบมากอดไว้แล้วถลึงตาใส่เขา “น้องเล็กตั้งใจนับไว้แล้ว หากกลับบ้านไปแล้วพบว่ามันขาด จะต้องร้องไห้ให้เจ้าดูแน่ ! ถึงเวลานั้นเจ้าจะเป็นคนปลอบนางหรือ ? ”
“ใจแคบ ! ขนมนี้ไม่ได้ทำออกมาให้คนกินหรือไร ? ” ติงหยูเฉิงหยิบซูเฟลขึ้นหนึ่งชิ้นแล้วนำมาเติมปากที่ว่างของตน “พี่ใหญ่ ท่านรู้สึกอย่างไรกับภาพนั้น ? ”
ติงหยูเจินครุ่นคิด “ไม่แพ้ฝีมือจิตรกรชื่อดังที่ท่านพ่อเก็บสะสมไว้ ! ”
“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ที่ข้ากล่าวถึงคือฝีมือลงพู่กัน ท่านไม่เห็นสิ่งใดบ้างหรือ ? ” พอกล่าวถึงภาพวาดที่ตนชอบ ติงหยูเฉิงก็มีดวงตาเป็นประกายทันที
ติงหยูเจินส่ายหน้า “ด้านการชื่นชมภาพวาด ข้าไม่สู้เจ้า เจ้าเห็นสิ่งใดหรือ ? ”
ติงหยูเฉิงกล่าวด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้สึกว่าภาพนั้นกับภาพภูผาวารีบนพัดของท่านมีความงดงามที่คล้ายกันอยู่หรือ ? ”