หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 319 หลงใหลเข้าแล้ว
ตอนที่ 319 หลงใหลเข้าแล้ว
“เจ้าหมายความว่า…ภาพที่ทำให้เจ้าชมไม่ขาดปากนั้นเป็นฝีมือของปราชญ์ชนบทหรือ ? ” ติงหยูเจินค่อนข้างตกใจขณะถาม
ติงหยูเฉิงส่ายหน้า แต่แล้วก็พยักหน้าอีกรอบ “ไม่ใช่แค่นี้ ! ข้าเห็นตรงมุมภาพซึ่งไม่โดดเด่นนัก พบว่ามีตราประทับของผู้วาดเอาไว้…มันเป็นตัวอักษรคำว่า ‘หาน’ ! ”
“หาน ? เจ้าหมายความว่า…” ติงหยูเจินรีบหันไปมองเจียงโม่หานที่ใส่เสื้อคลุมตัวหลอมและกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์วาดภาพอยู่ในศาลา จากนั้นสายตาแห่งความสงสัยก็เบนกลับมาที่น้องรองของตนอีกรอบ
สายตาที่ติงหยูเฉิงมองไปยังเจียงโม่หานแฝงไปด้วยความหลงใหลราวกับแฟนผลงานตัวยงที่ไม่ได้เห็นศิลปินที่ตนรักมานาน เขารีบพยักหน้าทันที “ใช่ ! ข้าถามน้องหลินแล้ว เขาบอกว่าภาพวาดนี้บัณฑิตเจียงมอบให้เขา ! แต่ข้าถามเขาว่ารู้จักปราชญ์ชนบทหรือไม่ เขากลับบอกว่าไม่รู้ ! ”
“นั่นก็เพราะฉายาของข้า ไม่เคยพูดให้คนในบ้านฟังมาก่อน ! ” เจียงโม่หานมีประสาทการรับเสียงที่ดี แล้วจะไม่ได้ยินบทสนทนาของพี่น้องคู่นี้ได้อย่างไร ?
ติงหยูเฉิงลุกขึ้นยืนทันใด จนแทบทำให้เก้าอี้ใต้ก้นพลิกคว่ำ “จะ…เจ้าคือปราชญ์ชนบทจริงหรือ ? ถะ…ถึงว่าตอนเข้าหมู่บ้านมา ข้าก็มีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่าง เพราะบรรดาภาพวาดของปราชญ์ชนบทพวกนั้น คงใช้หมู่บ้านฉือหลี่โกวเป็นต้นแบบไม่มากก็น้อย…”
“คุณชายรองติงสายตาเฉียบคม ! ” เจียงโม่หานเชิญทั้งสองมานั่งที่ศาลา หลินเว่ยเว่ยกลัวบุรุษผู้อ่อนแอทั้งสามจะตัวแข็ง นางจึงเผาถ่านสามเตาแล้วนำไปวางข้าง ๆ เท้าของพวกเขา นอกจากนี้ยังกำชับให้พวกเขาใส่เสื้อผ้าให้หนาขึ้นอีก…ไม่เข้าใจปัญญาชนพวกนี้จริง ๆ เหตุใดถึงยอมตากลมอยู่ข้างนอกแทนที่จะเข้าไปคุยกันในบ้าน ?
เพราะเสียเวลาสอนติงหลิงเอ๋อร์ทำขนม หลินเว่ยเว่ยจึงตัดสินใจทำมื้อเที่ยงเป็นหม้อไฟซึ่งหม้อไฟในวันนี้ไม่ธรรมดาเหมือนหม้อไฟคราวก่อน นางใช้เงินมากเป็นพิเศษเพื่อสั่งทำหม้อสองช่องและฐานด้านใต้ยังสามารถใส่ถ่านเข้าไปได้เหมือนหม้อไฟโบราณของปักกิ่ง ตรงกลางมีรูระบายควัน ด้านนอกมีวงแหวนล้อมรอบเพื่อเอาไว้ลวกผักและเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
น้ำซุปที่ใช้คือซุปกระดูกหมูที่เคี่ยวมาทั้งคืน ตอนสั่งทำหม้อใบนี้ นางนึกถึงเด็กสองคนในบ้านที่กินเผ็ดไม่เก่งแล้วก็ยังมีมารดากับนางเฝิงที่กระเพาะไม่ดีจึงกินเผ็ดไม่ค่อยได้ นางจึงให้ช่างทำช่องตรงกลางเป็นสองช่องเพื่อครึ่งหนึ่งจะได้ใส่ซุปกระดูกหมูและอีกครึ่งเป็นน้ำซุปหม่าล่า
จานเนื้อได้แก่เนื้อแกะแล่บาง ๆ เนื้อกวางแล่แล้วก็ยังมีลูกชิ้นหมูป่า เกี๊ยวไข่ ผ้าขี้ริ้ว หลอดเลือด ลิ้นหมู กระเพาะหมู สมองหมูและอื่น ๆ อีกมากมาย ! ฤดูกาลนี้มีผักสดน้อยมาก จึงมีมันฝรั่งที่ฝานเป็นแผ่น ผักกาดขาว หัวไชเท้า มันเทศแผ่น ผักโขม ใบหัวไชเท้า เห็ดหอม เห็ดหูหนู ถั่วงอกแล้วก็ยังมีเต้าหู้ ฟองเต้าหู้ เป็นต้น !
ผู้ชายหนึ่งโต๊ะ ผู้หญิงหนึ่งโต๊ะ เนื้อแกะและเนื้อกวางที่ต้มออกมาแล้วเมื่อกินคู่กับน้ำจิ้มน้ำมันงาหรือน้ำจิ้มงาใส่พริกสด…ไม่มีอะไรที่หม้อไฟจัดการไม่ได้ ถ้ามี เช่นนั้นก็สองมื้อ ! แน่นอนว่ามื้ออาหารนี้ทำให้เจ้าบ้านและแขกที่มาเยือนมีความสุขกันถ้วนหน้า !
ตอนกลางวัน หลังจากพักผ่อนกันได้ครู่หนึ่ง ติงหลิงเอ๋อร์ก็เริ่มออดอ้อนหลินเว่ยเว่ยอีกครั้ง “พี่หลิน เอ้อร์ฮว๋าบอกว่าท่านดักไก่ป่าและกระต่ายเก่งมาก ! ข้ายังไม่เคยขึ้นเขาเลย ท่านพาข้าไปเดินเล่นแถวนี้ได้หรือไม่ ? ถือโอกาสดักไก่ป่ากลับมาสักตัว ท่านคิดว่าอย่างไร ? ”
ไม่อย่างไรทั้งสิ้น ? หลินเว่ยเว่ยที่กินอิ่มแล้วเพียงอยากนอนกลางวันบนเตียงแสนอบอุ่นของตนเท่านั้น ใครจะอยากขึ้นเขาไปตากลมหนาวบ้างล่ะ ? แต่ว่าเด็กน้อยเดินทางมาไกล อย่างไรก็จะให้นางกลับไปพร้อมความผิดหวังไม่ได้ หลินเว่ยเว่ยเถียงตนเองในใจสองอึดใจ แล้วลุกขึ้นมาอย่างยอมรับชะตาชีวิต
เมื่อพี่น้องตระกูลติงที่กำลัง ‘สนทนาอย่างสนุกสนาน’ อยู่กับเจียงโม่หาน ได้ยินว่าน้องสาวอยากขึ้นเขา ทั้งสองก็ชั่งใจระหว่างการได้พูดคุยกับบุคคลผู้มีทักษะการวาดภาพลึกล้ำที่แอบชื่นชมมานานกับความปลอดภัยของน้องสาว พวกพี่น้องตระกูลติงจึงสับสนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็เลือกที่จะปกป้องน้องสาว…ในเมื่อรู้ฐานะแท้จริงของปราชญ์ชนบทแล้ว วันหน้าก็ยังมีโอกาสได้มาคารวะใหม่
ขึ้นเขาในฤดูกาลนี้ วัชพืชแห้งเหี่ยว บรรยากาศค่อนข้างอ้างว้าง แต่ในสายตาของปัญญาชนแล้วกลับเป็นทิวทัศน์อีกอย่าง เนื่องจากเห็นใบไม้ร่วงพวกเขาก็ยังสามารถท่องบทกวี ‘พรรณไม้เหี่ยวเฉาดอกใบร่วงโรยไม่รู้จบ’ ออกมาได้
หลินเว่ยเว่ยพาติงหลิงเอ๋อร์เดินตามถนนที่ขรุขระบนภูเขาและยังช่วยดึงนางเป็นระยะ ไฉนเลยเด็กสาวจะเคยเดินบนทางที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน ฝ่าเท้านางถูกหินดันจนเจ็บหมดแล้ว นางเหนื่อยจนต้องหอบหายใจ แต่ก็ยังกัดฟันและไม่บ่นว่าเหนื่อยหรือลำบาก เพราะทางที่เลือกเองแม้จะต้องกลิ้งไปก็ต้องไปต่อ !
หลินเว่ยเว่ยเอ็นดูในความอดทนและความพยายามของเด็กน้อยจึงช่วยพยุงแขนนางตลอดทาง เมื่อถึงทางที่เดินยากก็ยื่นมือเข้าช่วย พอเดินไปได้เกือบหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงป่าผืนหนึ่ง ในฤดูหนาวมีคนขึ้นเขาน้อย ป่าผืนนี้จึงกลายเป็นสวรรค์ของสัตว์ตัวเล็ก
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่ร่องรอยในพุ่มหญ้าแล้วบอกกับติงหลิงเอ๋อร์ว่าตรงนั้นมีไก่ป่าเดินผ่าน ส่วนตรงนี้เป็นรอยที่กระต่ายป่าทิ้งไว้ แล้วยังตัดสินจากมูลว่ามีกวางเคยเดินผ่านตรงโน้น…
ติงหลิงเอ๋อร์ลืมความเหนื่อยล้าและความลำบากไปจนสิ้น นางตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้น ส่วนพี่ชายทั้งสองก็ไม่มีใครคอยช่วยประคอง พวกเขาเหนื่อยจนแทบจะล้มตัวลงกับก้อนหิน แต่ละคนหอบหายใจกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ติงหยูเฉิงมองน้องสาวที่กระโดดโลดเต้นด้วยความประหลาดใจ…นางเข้มแข็งถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? เดินขึ้นเขามาไกลเช่นนี้ก็ไม่บ่นว่าเหนื่อยสักคำ
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็วางกับดักลงในพุ่มหญ้าที่ลับตาประมาณสองสามอัน หลังเดินไปยังหินที่อยู่ห่างออกไปแล้ว นางก็เรียกติงหลิงเอ๋อร์ให้มานั่งพลางชี้ไปยังหุบเขาลูกใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผ่านเขาลูกนั้นไปจะมีหุบเขาซ้อนอยู่ลูกหนึ่ง ในนั้นมีฝูงหมูป่าอยู่ เมื่อก่อนมีประมาณ 50-60 ตัว แต่โดนข้าวางหลุมกับดักจับไปไม่น้อย เหลือทิ้งไว้แค่ลูกหมูป่าไม่กี่ตัว ตอนนี้พวกมันน่าจะโตจนหนัก 200 ชั่งได้แล้วกระมัง ? หมูป่าออกลูกเก่งมาก รอให้ถึงฤดูนี้ในปีหน้า พวกมันก็น่าจะมีเพิ่มอีกหลายสิบตัว ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความตกใจ “ว้าว ! หมูป่าเยอะถึงเพียงนั้น พี่หลินไม่กลัวบ้างหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แน่นอนว่าจะเข้าไปปะทะตรง ๆ ไม่ได้อยู่แล้ว เราต้องคอยสังเกตวิถีชีวิตพวกมันแล้วขุดหลุมทำกับดักแทน เช่นนี้ถึงจะปลอดภัยกว่า ! ”
จากนั้นนางก็ชี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง “ทางนั้นมีป่าสนแดงอยู่ เมล็ดสนทั้งใหญ่ทั้งอวบ เมล็ดสนปากอ้าที่ขายในเขตเริ่นอันมีคุณภาพไม่เลวใช่หรือไม่ ? นั่นก็เป็นของพวกเราที่ผลิตจากที่นี่ ! แต่ว่าป่าสนแดงเป็นถิ่นของหมาป่าฝูงหนึ่ง ตอนนี้อย่างน้อยในฝูงน่าจะมีประมาณ 50-60 ตัวแล้วกระมัง”
ติงหลิงเอ๋อร์อ้าปากด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย “มีหมาป่าเยอะถึงเพียงนั้น…แล้วพวกท่านเข้าไปเก็บเมล็ดสนได้อย่างไร ? มันจะไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรือ ? เดิมทีคิดว่าเมล็ดสนปากอ้าราคาแพงใช้ได้ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าราคาสูงหน่อยก็สมเหตุสมผลแล้ว ! ” เนื่องจากมันแลกมาด้วยชีวิตของชาวบ้านฉือหลี่โกว !
“ฝูงหมาป่ามีลักษณะพิเศษคือออกหาอาหารตอนกลางวันแล้วจะกลับป่าสนแดงตอนกลางคืน ตอนที่พวกเราไปเก็บเมล็ดสนจึงไม่เจอฝูงหมาป่า ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของนางกับจ่าฝูงหมาป่า เพราะตอนนี้ตัวนางเองก็มีชื่อเสียงมากพอแล้ว
“โชคดีเหลือเกิน ! ” ติงหลิงเอ๋อร์ทุบหน้าอกตนเองแล้วกล่าวด้วยความดีใจ
หลินเว่ยเว่ยยังชี้ไปอีกด้านหนึ่ง “ทางนั้นมีแม่ลูกหมีควายคู่หนึ่ง ! ตอนนี้น่าจะจำศีลแล้ว ! แม่หมีนั้นใจเสาะ เมื่อลูกหายตัวก็รอให้ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะออกมาตามหา ! ส่วนเจ้าหมีน้อยนั้นติดคน ชอบกอดขา ชอบขอของกิน ! ”
ทันใดนั้นดวงตาของติงหลิงเอ๋อร์ก็เป็นประกาย “ว้าว ! พอพี่หลินพูดเช่นนี้ สัตว์ในภูเขาก็เหมือนสัตว์ประหลาดในตำราที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ! ข้าอยากเห็นลูกหมีที่ชอบกอดขาคนตัวนั้นจริง ๆ ! ”