หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 321 ที่แท้ในใจของเจ้าก็เห็นข้างดงามขนาดนี้
ตอนที่ 321 ที่แท้ในใจของเจ้าก็เห็นข้างดงามขนาดนี้
เจ้าตัวน้อยที่น่าสงสารตัวนี้ดูเหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่ถึง 1 เดือน ขนสีน้ำตาลของมันเหลือบเทา ดวงตาที่เปียกชื้นมองหลินเว่ยเว่ยและคนอื่นด้วยความหวาดกลัว
บาปกรรม บาปกรรม ! ตัวเล็กแค่นี้ก็ถูกแยกจากแม่ตั้งแต่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน…ทว่าไม่มีฝูงกวางชะมดอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ จึงไม่ปลอดภัยที่จะทิ้งมันไว้ที่นี่ ! คงต้องเอากลับบ้านไปเลี้ยงไว้…
“ว้าว ! ลูกกวางน้อย ! มันตัวเล็กและน่ารักมากเลย ! ” ติงหลิงเอ๋อร์เห็นลูกกวางชะมดแล้วก็เปลี่ยนใจมารักมันทันที นางโยนไก่ป่าให้พี่ชายคนโตแล้วรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของหลินเว่ยเว่ยและสัมผัสลูกกวางชะมดอย่างระมัดระวัง…ขนนุ่มและลื่นมือมาก !
หลินเว่ยเว่ยให้ข้อมูลที่เป็นความรู้แก่อีกฝ่าย “นี่คือกวางหอมหรือที่เรียกว่ากวางชะมด ! นิยมนำถุงหอมในตัวกวางตัวผู้ออกมาทำเครื่องหอม”
ดวงตาของติงหลิงเอ๋อร์เบิกกว้าง นางเริ่มมองหาตามตัวของลูกกวางด้วยความสงสัยและถามว่า “ว่าอย่างไรนะ ? ลูกกวางมีถุงหอมด้วยหรือ ? มันอยู่ตรงไหน ? ”
ลูกกวางชะมดได้แต่มองนางตาปริบ ๆ…
หยุดนะ มนุษย์ลามก ! เจ้าไม่รู้จักมารยาทเลยหรือ ?
“ไม่ได้หมายความว่าพกถุงหอมติดตัว แต่เป็นการที่ต้องผลิตด้วยร่างกายของมันเอง ! ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยกขาหลังข้างหนึ่งของลูกกวางขึ้นมาแล้วพูดพร้อมรอยยิ้ม “นี่เป็นลูกกวางตัวผู้ รอให้มันโตขึ้นเมื่อใดก็จะสามารถผลิตกลิ่นหอมได้แล้ว ! ”
เจ้ากวางน้อยตัวสั่นสะท้าน !
ติงหยูเจินพูดด้วยความร้อนใจ “การจะเอาถุงหอมออกก็ต้องฆ่าเจ้ากวางก่อนใช่หรือไม่ ? ”
ติงหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “โหดร้ายเกินไปหน่อย พี่หลิน พวกเราไม่ฆ่าลูกกวางชะมดตัวน้อยน่ารักได้หรือไม่ ? ”
“มีวิธีเก็บถุงหอมจากตัวมันอยู่ ก็คือพอเอาออกมาแล้ว ต่อมนี้ก็จะงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นวงจรในการเก็บ ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาเจ้าเล่ห์เหลือบมองพี่น้องสกุลติง “ถ้าพวกเจ้าสงสารมันก็สามารถนำกลับไปเป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้านได้”
ติงหลิงเอ๋อร์กำลังจะตอบตกลง แต่นางโดนพี่ชายคนโตห้ามไว้เสียก่อน “น้องเล็ก เจ้าลืมแล้วหรือ เราต้องกลับเมืองหลวงในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า การพากวางชะมดตัวหนึ่งไปด้วยจะยุ่งยากขนาดไหน ? ถ้ามันล้มป่วยหรือตายขึ้นมา ถึงเวลานั้นเจ้าก็ร้องไห้อีก ! ”
“อืม…เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! ลูกกวางชะมดนี้เลี้ยงไว้ที่บ้านข้า น้องหลิงเอ๋อร์อยากมาเล่นเมื่อใดก็มาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกว ถือว่าออกมาเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจ ! ” ดวงตาคู่น้อยของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ น้ำเสียงก็ยังเหมือนคนที่กำลังจะลักพาตัวเด็กสาวซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ติงหลิงเอ๋อร์เห็นด้วยในทันใด เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังต้องอยู่ในเขตเริ่นอันอีกครึ่งปี ขอท่านแม่ออกมาเที่ยวฉือหลี่โกวสักเดือนละสองครั้งก็น่าจะได้อยู่กระมัง ? นางหันไปมองพี่ชายคนโตและคนรองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์…ลากพี่ชายสองคนนี้มาเป็นพวกด้วย จะต้องเกลี้ยกล่อมท่านแม่ได้แน่นอน !
“วางกับดักไปหกเจ็ดบ่วง ทว่ามีสัตว์มาติดแค่สองบ่วง ! ” ติงหลิงเอ๋อร์ค่อนข้างผิดหวัง
หลินเว่ยเว่ยพูดในใจ สองบ่วงนี้รดด้วยน้ำพุวิญญาณ ที่นี่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านและเดิมทีสัตว์ที่มีก็ไม่มากอยู่แล้ว พวกนางมากันไม่ถึง 1 ชั่วยาม ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นดักได้ตัวหนึ่งก็ดีใจจนตัวลอยแล้ว !
เมื่อลงจากเขา สามพี่น้องตระกูลติงก็บอกลา เพราะถ้าช้ากว่านี้พวกเขาคงกลับไม่ทันเวลาประตูเมืองจะปิดแน่นอน !
ติงหลิงเอ๋อร์นั่งอยู่บนรถม้า นางจับมือหลินเว่ยเว่ยด้วยความอาลัยอาวรณ์จากทางหน้าต่าง ก่อนจะพูดราวกับจากกันไกล 18 ลี้ “พี่หลิน อีกสองวันข้าจะมาหาท่านกับเสี่ยวเซียงเซียงใหม่ ! ”
เสี่ยวเซียงเซียงเป็นชื่อที่ติงหลิงเอ๋อร์ตั้งให้ลูกกวางชะมด ระดับในการตั้งชื่อให้สัตว์ของนางเทียบเท่าหลินเว่ยเว่ยไม่มีผิด !
เมื่อฤดูหนาวมาเยือน คนที่นี่ก็ชอบกินเกี๊ยว แต่การซื้อเนื้อหมูมาทำเป็นไส้ไม่ค่อยอร่อยเท่าการใช้เนื้อหมูที่เชือดสด พอตกเย็น ในขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าว หลินเว่ยเว่ยก็เล่าความคิดของตนให้ทุกคนรู้ “ประเดี๋ยวก็จะถึงวันวันไหว้เทพเจ้าเตาไฟ ( ตรุษจีนเล็ก ) แล้ว ถ้าอย่างไรพวกเราไปซื้อหมูตัวอ้วนกลับมากันเถอะ ! ”
ถ้าเปลี่ยนเป็นปีที่แล้วด้วยสถานการณ์ของบ้านตระกูลหลิน อย่าว่าแต่ซื้อหมูกลับมาเลย แม้แต่ซื้อเนื้อหมูแค่ครึ่งตัวให้เด็ก ๆ มากินเล่นก็ถือว่าฟุ่มเฟือยมากเกินไป
นางหวงนึกถึงตอนที่พ่อของลูกยังอยู่ ในเวลานั้นที่บ้านเลี้ยงหมูตัวอ้วนไว้หนึ่งตัว พอถึงสิ้นปีก็ฆ่ามัน เนื้อครึ่งหนึ่งเก็บไว้ให้คนในบ้านกิน ส่วนอีกครึ่งนำไปขายในเมือง ทุกครั้งที่ถึงเวลาฆ่าหมูก็จะเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ มีความสุขมากที่สุด แม้แต่เด็กปัญญาอ่อนอย่างบุตรสาวคนรอง พอได้ยินเสียงหมูกรีดร้องแล้วก็จะปรบมืออย่างมีความสุข
หลังจากไม่มีสามีแล้ว นางก็ต้องเลี้ยงลูกทั้งสี่คนด้วยตัวคนเดียว ตอนนั้นบุตรสาวคนโตมีอายุเพียง 10 ขวบ ส่วนเอ้อร์ฮว๋าที่เด็กสุดยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้จะมีแรงดูแลครอบครัวขนาดไหน ชีวิตคนในครอบครัวก็ยังย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็ยังต้องหิวโหย…พวกเด็กๆ จึงไม่ได้มีความสุขและสนุกสนานกับช่วงเวลาฆ่าหมูอีกเลย
แต่ตอนนี้ฐานะดีแล้ว ในบ้านก็ใช่ว่าจะซื้อหมูมาฉลองไม่ไหว ในเมื่อบุตรสาวคนรองอยากซื้อก็ซื้อ ! นางหวงจึงพยักหน้าเห็นด้วย
แต่บุตรสาวคนโตกลับลังเลเล็กน้อย “ห่อเกี๊ยวในฤดูหนาว แค่ซื้อเนื้อมาสักสองสามชั่งก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ? หมูอ้วนหนึ่งตัว บ้านเราจะกินกันหมดเมื่อใด ? ”
หลินเว่ยเว่ยโต้กลับทันที “กินไม่หมดก็เอามาทำเนื้อรมควัน เบคอนแล้วยังทำเป็นไส้กรอกได้ด้วย ตอนนี้อุณหภูมิข้างนอกติดลบจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง เราแขวนเนื้อไว้นอกบ้านก็ไม่เสีย เก็บไว้กินได้อีกนาน ! ”
เมื่อเจ้าหนูน้อยจินตนาการถึงภาพเนื้อรมควัน เบคอน เนื้อตากที่แขวนอยู่ตรงชายคาบ้าน ความรู้สึกของเขาก็ระเบิดออกมาทันที เพราะเหล่าสหายในหมู่บ้านจะต้องอิจฉาที่เห็นบ้านเขามีเหลือกินเหลือใช้หรือกินจนเบื่อเลยก็ว่าได้ เขาจึงรีบยกอุ้งเท้าสองข้างของเจ้าดำขึ้นเพื่อแสดงความเห็นด้วยทันที
คนอื่นไม่ได้มีความเห็นอะไร หลินเว่ยเว่ยจึงจงใจทำสายตาได้ใจใส่พี่สาวคนโต
เจียงโม่หานคิดในใจว่า…เจ้าไม่ยั่วโทสะพี่สาวสักวันจะอกแตกตายใช่หรือไม่ ?
เผิงหยูเหยี่ยนก็พูดไม่ออกเช่นกัน
ว่าที่น้องภรรยาชอบยั่วโมโหพี่สาวเหลือเกิน จะทำอย่างไรดี ? ข้าต้องออกโรงหน่อยแล้ว !
เขาแกะเมล็ดสนปากอ้าแล้วค่อย ๆ วางบนฝ่ามือของคู่หมั้น ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “นางเป็นน้อง ยังไม่รู้ความ เราอย่าถือสานางเลย ! กินเมล็ดสนเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เถิด ! ”
การโดนคู่หมั้นหนุ่มเอาใจเช่นนี้จึงเป็นธรรมดาที่จะคุ้มค่าให้มีความสุข บุตรสาวคนโตตระกูลหลินคิดว่าตนเป็นคนที่หมั้นหมายแล้ว ปีหน้าของเวลานี้ก็ออกเรือนไปเป็นสะใภ้ นับเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ! ดังนั้นนางจะไม่ถือสาเด็กผีคนนี้ ! ในระหว่างนั้นบุตรสาวคนโตตระกูลหลินก็กลับมามีอารมณ์ปกติอีกครา !
หลินเว่ยเว่ยถูกป้อนด้วยอาหารสุนัข1 จึงรู้สึกแย่ทันที ! นางหันไปจ้องบัณฑิตน้อย…มนุษย์เทียบมนุษย์ น่าโมโหสิ้นดี ! ดูหนอนหนังสือนั่นแล้วมาดูเจ้าสิ…
เจียงโม่หานเหลือบมองเผิงหยูเหยี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะหยิบม้วนภาพออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้หลินเว่ยเว่ย “เปิดดูสิ ! ”
“นี่คือ…เจ้าวาดให้ข้าหรือ ? ” ในภาพมีก้อนหินขรุขระ ต้นสนเก่าแก่ทว่าแข็งแรง ท่ามกลางขุนเขาอันกว้างใหญ่มีแผ่นหลังของสตรีในชุดสีแดงสดใส มันกลายเป็นจุดสะดุดตาที่สุด สายลมพัดเสื้อคลุมของนาง ขณะที่นางทอดสายตามองทิวเขาไกลโพ้น อาภรณ์โบกสะบัด บรรยากาศเงียบสงบเหมือนเดินจากไปตามสายลม แต่ก็มีชีวิตชีวาเช่นกัน…
เดิมทีอยากให้มื้อเย็นจบลง รอให้ไม่มีใครอยู่แล้วค่อยมอบให้ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าหนอนหนังสือเผิงโยนอาหารสุนัขมาโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงต้องทำหน้าด้านนำภาพนี้ออกมา
ริมฝีปากของหลินเว่ยเว่ยแทบจะฉีกถึงติ่งหูแล้ว “ที่แท้ในใจของบัณฑิตน้อยก็เห็นข้างดงามขนาดนี้เลย ! ”
“เจ้าคิดอะไรอยู่ ? ” ขณะมองนาง แววตาของเจียงโม่หานเหมือนคนไร้ความรู้สึก ในเวลาเดียวกันก็เหมือนมีความรู้สึกที่เกินบรรยาย
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคักสองสามครั้ง “ข้าคิดอะไรอยู่หรือ ? ข้าก็คิดว่าในสายตาเจ้านั้น ข้าน่าจะเป็นคนเสียสติ ไม่แยแสต่อสิ่งใดและโง่เง่าอะไรประมาณนั้น ! ”
[i]
1 อาหารสุนัข ในภาษาอินเทอร์เน็ตหมายถึง อวดแฟน อวดคนรัก