หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 338 การพลอดรักของเสี่ยวเว่ยถูกพบเห็น
ตอนที่ 338 การพลอดรักของเสี่ยวเว่ยถูกพบเห็น
หลินเว่ยเว่ยพอใจเป็นอย่างยิ่ง “ไม่เสียแรงที่พูดมาตั้งมากมายเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้ยินบัณฑิตน้อยพูดความรู้สึกที่มีต่อข้าแล้ว มันไม่ง่ายเลย ! ”
เจียงโม่หานถึงขั้นนิ่งงัน “…” หมายความว่าท่าทางเสียใจและเด็ดขาดเรื่องความรักเมื่อครู่ของนาง เป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเพื่ออยากได้ยินถ้อยคำดี ๆ จากปากเขาหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยเดาความคิดจากท่าทางหดหู่ของเขาได้พอสมควร นางจึงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าเอ่ยไปเมื่อครู่ย่อมเป็นความจริงทุกประการ ไม่ได้แค่หวังหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น ! ข้ารักเจ้าคือเรื่องจริง แต่ไม่ได้แปลว่าข้าจะรักเจ้าจนทำให้ตนเองต้องตกต่ำ รักจนเสียน้ำตา รักจนไม่เหลือศักดิ์ศรี ! ”
เจียงโม่หานลูบศีรษะนาง ‘ในเมื่อเจ้าเป็นคนที่ข้าเลือกแล้ว ข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเผชิญความน้อยเนื้อต่ำใจและไร้ศักดิ์ศรี…เจ้าแค่รักข้าก็พอ ส่วนความรักของเจ้ากับข้า ตัวข้าจะเป็นคนคอยรักษาไว้เอง ! ’
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเดินเข้ามาจากข้างนอก นางได้เห็นฉากนี้พอดีจึงรีบถอยออกไปอีกครั้ง ก่อนจะแกล้งทำเป็นเคาะประตู หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อเจ้าก็เข้ามาแล้ว เหตุใดยังจะต้องเคาะประตูอีก ? ”
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินมุ่ยปาก “ไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าจะมารบกวนเรื่องดี ๆ ของเจ้าหรือไร ? ”
“หากกลัวว่าจะรบกวน เจ้าก็ไม่ควรเข้ามา ! ” หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่นาง “ว่ามา มีเรื่องอะไร ? ”
พี่สาวคนโตยื่นก้อนไหมพรมขนกระต่ายให้นางแล้วถามว่า “ไหมพรมขนสัตว์ที่เจ้าอยากได้ ดูว่ามันใช้ได้หรือยัง ? ”
หลินเว่ยเว่ยดึงไหมพรมออกมาด้วยมือข้างเดียว หลังออกแรงกระตุกแล้วนางก็พยักหน้า “ไม่เลว แค่มีความเหนียวน้อยไปหน่อย”
“เจ้าแรงเยอะเพียงใดไม่รู้แก่ใจหรือ ? เส้นด้ายที่เจ้าดึงไม่ขาด บนโลกนี้จะมีอยู่หรือไม่ ? ” พี่สาวคนโตอดไม่ได้ที่จะบ่น
หลินเว่ยเว่ยโบกมือให้นาง “ทิ้งไหมพรมนี้ไว้ ส่วนเจ้าก็ออกไปได้แล้ว ! ”
“…” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินมองนางด้วยความเหนื่อยหน่าย นางเกือบจะหักเข็มถักในมือทิ้งอยู่แล้ว
หลินเว่ยเว่ยพยุงตัวขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นก็นั่งพิงกับหัวเตียง “ว่ามา ยังมีเรื่องอะไรอีก ? ” มีหรือที่พี่สาวนางจะใจดีถึงขั้นเอาไหมพรมมาให้ด้วยตนเอง ? หากไม่มีเรื่องก็จะไม่มา ที่เอ่ยมาทั้งหมดก็คือนิสัยของพี่ใหญ่ !
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินมองไปยังถุงมือแบบเปิดปลายนิ้วของเจียงโม่หานแล้วในที่สุดนางก็ยอมพูดเป้าหมายออกมา “ข้าอยากเรียนทำถุงมือกับเจ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังแขนซ้ายที่ห้อยอยู่บนหน้าอก “ถุงมือต้องใช้สองมือทำ แล้วเจ้าคิดว่าคนพิการอย่างข้าจะสอนได้หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานเหลือบมองนาง ใครอยากว่าตนเองเป็น ‘คนพิการ’ บ้าง ? งาช้างย่อมไม่งอกจากปากสุนัข1 !
“รีบพูด ‘ถุย’ สองครั้ง ! ” เจียงโม่หานไม่ได้เป็นคนที่เชื่อเรื่องงมงาย แต่ก็ไม่ปล่อยให้เด็กน้อยพูดเหลวไหล หลินเว่ยเว่ยจึงรีบพูด ถุย ถุย ออกมา ! จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มประจบใส่เขา
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็กลอกตาไปมา ก่อนจะโบกมือเรียกให้เขาช่วยจับเข็มถักให้นาง ส่วนตัวเองก็ใช้มือซ้ายจับไหมพรมแล้วพูดกับพี่สาวว่า “ตั้งใจดูให้ดี ! ”
หลังพูดจบ นางก็ร้อยไหมพรมใส่รูเข็มถักและเริ่มถักมันไปมาสองสามครั้ง จากนั้นก็ยื่นให้พี่สาว “ทำเช่นนี้ มากกว่าสี่สิบครั้ง ! ”
นิ้วของบุตรสาวคนโตค่อนข้างแข็ง แม้จะถักไปหลายครั้งก็ยังทำไม่ถูก หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะตนนอนเบื่ออยู่บนเตียงก็ไม่มีทางหาเหาใส่หัวโดยการสอนคนหัวทึบนี้แน่นอน
ท้ายที่สุด หลังลองทำไปประมาณสิบกว่าครั้ง บุตรสาวคนโตก็ถักได้เสียที หลินเว่ยเว่ยยังยื่นเข็มถักให้บัณฑิตหนุ่มเพื่อให้เขาจับไว้ แล้วนางก็เริ่มถักขึ้นลงสองครั้ง จากนั้นค่อยยื่นให้พี่สาวอีกรอบ
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินตั้งใจดูอย่างละเอียด ผ่านไปไม่นานก็เรียนถักขึ้นลงเป็น ทว่าการถักรอบที่สามของนางกลับพังไม่เป็นท่า เพราะเดิมทีควรจะถักขึ้นแต่นางกลับถักลงแทน สุดท้ายจึงต้องทำใหม่ทั้งหมด
กระทั่งถึงมื้อเย็น บุตรสาวคนโตก็ยังถักส่วนข้อมือไม่เสร็จ ขณะมองนางเดินออกไป หลินเว่ยเว่ยก็พูดคำว่า ‘โง่’ แบบไม่มีเสียงออกมา !
เจียงโม่หานลูบศีรษะนาง จากนั้นก็วางเข็มถักลงพลางพูดว่า “พักผ่อนได้แล้ว ! ”
แต่ทันใดนั้นเด็กน้อยก็มีความคิดประหลาด นางให้เขาช่วยจับเข็มถักโดยบอกว่าอยากถักผ้าพันคอให้เขา มือที่จับเข็มถักของเขาปวดไปหมดแล้ว แต่คนเจ็บอย่างนางยังไม่หมดแรง ผ้าพันคออะไรนั่นเขาไม่รีบใช้ ให้นางรักษาตัวจนหายดีก่อน ค่อยว่ากันได้หรือไม่ ?
ทว่าหลินเว่ยเว่ยไม่ได้นอนลงเหมือนเดิม นางยังลุกมานั่ง จากนั้นก็ใช้เท้าคีบรองเท้าขึ้นมา เจียงโม่หานใช้ผ้าห่มห่อตัวนางไว้ “จะทำอะไรอีก ? ”
“ข้าจะไปเข้าห้องน้ำ ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความมั่นใจ
เจียงโม่หานตะลึงทันที เขารีบชี้ไปที่กระโถนปลายเตียง “แขนเจ้าบาดเจ็บ จะใส่หรือถอดเสื้อผ้าก็ไม่สะดวก ปลดทุกข์ในห้องเถิด ! ”
หลินเว่ยเว่ยย่นจมูกแล้วปฏิเสธทันที “ไม่ได้ มันมีกลิ่น ! ”
“กลิ่นของตนเอง เจ้าก็ยังรังเกียจหรือ ? ” เจียงโม่หานเอากระโถนมาให้นางแล้วหมุนตัวจะเดินออกไป
หลินเว่ยเว่ยรีบพูดว่า “ข้ากลัวเจ้ารังเกียจ…” แม้อยู่ในความสัมพันธ์สามีภรรยา อย่างไรก็ต้องเข้าใจซึ่งกันและกันบ้าง ชาติก่อนนางเคยอ่านข่าวว่าเป็นเพราะภรรยาปัสสาวะต่อหน้าสามี ทั้งสองคนจึงหย่ากัน…นางไม่อยากให้บัณฑิตน้อยเห็นภาพแย่ ๆ ของตน
เจียงโม่หานก้มหน้ายิ้ม “วางใจได้ ข้าไม่รังเกียจเจ้า ! ”
“เช่นนั้น…เจ้าออกไปก่อน แล้วรอให้ข้าเรียกถึงจะเข้ามาได้ ! ” นี่เป็นการยืนกรานครั้งสุดท้ายของหลินเว่ยเว่ย
“รอประเดี๋ยว…” เจียงโม่หานยังถือเตาไฟเข้ามาเพื่อทำให้ห้องอุ่นขึ้นอีกเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “เจ้า…ทำเองได้หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยหน้าแดงพลางพูดเบา ๆ ว่า “เอ่อคือ…เจ้าช่วยแก้สายรัดเอวให้ข้าก่อน…”
“แค่กแค่ก ! ” เจียงโม่หานหูแดงในทันที แต่เขาพยายามแกล้งไม่รู้สึกอะไรแล้วเดินก้มหน้าเข้ามาแก้สายรัดเอวให้หลินเว่ยเว่ยซึ่งก็หน้าแดง แต่ปากเริ่มฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ…
“ไอหยา ! ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…พวกเจ้าทำต่อเลย ทำต่อเลย…” พอนางเฝิงเดินเข้ามาในห้องก็บังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี จึงรีบยกมือปิดตาแล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก ไอหยา หานเอ๋อร์ใจร้อนจริง ๆ เสี่ยวเว่ยยังบาดเจ็บอยู่เลย…หากไปโดนแขนที่เจ็บอยู่ขึ้นมา คงหัวเราะไม่ออก !
“ไม่สิ ! เหตุใดข้าถึงออกมา ? ข้าควรจะห้ามพวกเขาไม่ใช่หรือ ? เด็กทั้งสองยังอายุน้อย หากเป็นเหตุทำให้ถึงแก่ชีวิตขึ้นมา ไอหยา ! พอกลับไปแล้วต้องสั่งสอนเจ้าลูกตัวแสบให้ดี…” นางเฝิงบ่นพึมพำ
นางหวงสังเกตเห็นความผิดปกติ เมื่อครู่นางเฝิงไม่ได้แย่งจะเอาขนมไปให้เสี่ยวเว่ยกินหรือไร ? นางเพิ่งเข้าไปแล้วเหตุใดจึงรีบออกมา แถมปากยังบ่นพึมพำอะไรไม่หยุด…
เจียงโม่หานผลักประตูออกมา พอนางเฝิงเห็นเขา ปากของนางก็พูดแบบไม่ตรงกับใจคิดทันที “เหตุใดจึงเร็วเช่นนี้ ? ”
เจียงโม่หานรู้สึกปวดศีรษะทันที “ท่านแม่ ท่านคิดอะไรขอรับ ? เด็กน้อยจะปลดทุกข์ นางมีมือเดียวจึงแก้สายรัดเอวไม่ได้…”
“อ้อ…ที่แท้ก็แค่การแก้สายรัดเอวเองหรือ ? ” นางเฝิงเหลือบมองเขาสองสามครั้ง “เจ้า…ไม่มีความคิดอย่างอื่นใช่หรือไม่ ? ”
ไม่ถูก ! เด็กหนุ่มเช่นนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงที่มีอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรืออย่างไร ? ปกติหานเอ๋อร์ทำตัวมีเหตุผลและใจเย็นจนเกินไป แม้ตอนที่มาบอกกับนางว่าจะสู่ขอเสี่ยวเว่ยก็ไม่มีความเขินอายอย่างหนุ่มน้อยเลยสักนิด เขา…คงไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่ ? เช่นนั้น…ให้หมอเหลียงมาตรวจดีหรือเปล่า เผื่อว่าเป็นอะไรขึ้นมาจะได้รีบรักษา เราจะทำให้เสี่ยวเว่ยเสียเวลาไม่ได้…
“ท่านแม่คิดอะไรอยู่ขอรับ ? ข้าปกติดี ! ” ท่าทางของนางเฝิงชัดเจนเกินไป เจียงโม่หานรู้สึกหดหู่แล้วหดหู่อีก ความคิดของมารดาช่างเหมือนกับเด็กน้อยเหลือเกิน !
[i]
1 งาช้างย่อมไม่งอกจากปากสุนัข หมายถึง คนเลวย่อมไม่พูดสิ่งที่ดี