หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 375 ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ตอนที่ 375 ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ไก่จำนวน 12 ตัว หลินเว่ยเว่ยแบ่งทำไก่ย่าง 6 ตัวและไก่ต้มสับอีก 6 ตัว
พ่อครัวสองคนของหยวนเค่อหลายเดินเข้ามาขนาบข้างหลินเว่ยเว่ย พ่อครัวรูปร่างอ้วนได้หมักไก่ทั้งหกตัวด้วยซอสปรุงรสและน้ำผึ้งทั่วผิวหนังชั้นนอก จากนั้นก็แขวนทิ้งไว้จนแห้ง เขาถามอย่างถ่อมตนว่า “กู่เหนียง ท่านว่าทำแบบนี้พอได้หรือยัง ? ”
หลินเว่ยเว่ยใช้นิ้วจิ้มซอสปรุงรสที่เหลืออยู่ของเขาขึ้นมาชิม ก่อนจะพยักหน้า “ได้ ! ”
ต่อจากนั้นนางก็สั่งให้พ่อครัวตัวอ้วนตั้งหม้อบนเตาไฟ ใส่น้ำมันให้ร้อน ก่อนจะนำไก่ลงไปทอด ในเวลานี้ นางอธิบายการควบคุมอุณหภูมิของน้ำมันและการทอดไก่อย่างละเอียด หลังรอให้ไก่สุกจนหนังด้านนอกมีสีน้ำตาลทองแล้วก็นำออกมาสะเด็ดน้ำมันได้เลย
ต่อจากนั้นก็ใช้แม่ไก่แก่ ๆ และกระดูกหมูมาต้มเป็นน้ำซุปด้วยอุณหภูมิสูง พอได้แล้วก็เทน้ำซุปลงเคี่ยวเพื่อทำน้ำซอสไก่ย่าง โดยปรุงรสน้ำซอสด้วยไป๋จื่อ (แปะจี้) ซาเหริน (ซายิ้ง) และเครื่องเทศชนิดต่าง ๆ
ไก่ตัวหนึ่งจำเป็นต้องใช้เท่าไหร่ นางเขียนอธิบายไว้อย่างชัดเจน จากนั้นก็ใส่เกลือ ซอสถั่วเหลืองและซอสสูตรลับของนางลงไปคนให้เข้ากันแล้วเคี่ยวด้วยไฟแรงอีกครั้ง
ตามด้วยการใส่ไก่ลงไปหมัก ก่อนจะใส่ของหนักทับไว้เพื่อให้ซอสซึมถึงทุกส่วนของตัวไก่ ไฟแรงเปลี่ยนเป็นไฟอ่อน หมักแบบนั้นสัก 1 เค่อ (15 นาที) หลังจากปิดไฟแล้วก็แช่ทิ้งไว้เลยอีก 4 ชั่วยาม น้ำซอสจึงจะซึมเข้าเนื้อทั้งหมด เฮ้อ ! มื้อกลางวันนี้ยังไม่ได้กิน !
ทว่ายังมีไก่ต้มสับแล้วก็อาหารอย่างอื่นอีก 4 จาน เพียงเพื่อทำหมูแดงอบน้ำผึ้งแล้ว เจ้าของร้านถึงขั้นสร้างเตาอบขึ้นมาในเวลาชั่วข้ามคืน หลังเห็นสภาพของมันแล้วหลินเว่ยเว่ยก็บอกว่าสามารถฝืนใช้ได้
หลังทำงานมาทั้งเช้า อาหารรสเลิศหลากหลายจานก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ เมื่อเหล่าบัณฑิตคว้าใบค้ำประกันจากหลิ่นเซิงได้แล้ว พวกเขาก็รีบตรงมาที่หยวนเค่อหลายทันที เมิ่งจิ่งหง หลิ่วจงเทียนและหยางยี่หรานไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนต้องรีบเดิน ซ้ำยังมีสีหน้าตั้งตารอ ทั้งสามจึงเดินตามมาด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นเป้าหมายของอีกฝ่ายคือหยวนเค่อหลาย เมิ่งจิ่งหงก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าอาหารจานแนะนำของหยวนเค่อหลายรสชาติไม่เลว มื้อเที่ยงนี้ ข้าเลี้ยงทุกคนเอง ! ”
หลิ่วจงเทียนขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “สหายเมิ่ง เจ้ามาแย่งข้าพูดทำไม ให้ข้าเลี้ยงอาหารมื้อเที่ยงในวันนี้ก็แล้วกัน ! ”
เมิ่งจิ่งหงมีนิสัยใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย “มื้อนี้ข้าเลี้ยง รอให้สนามสอบนี้เสร็จสิ้น พวกเรามาผ่อนคลายกันใหม่ พอถึงเวลานั้นเจ้าอยากเลี้ยง ข้าก็จะไม่ขัดสักคำ”
ระหว่างที่คุยกัน คนกลุ่มนี้ก็มาถึงหน้าร้านหยวนเค่อหลายแล้ว แต่กลับพบว่าโถงของห้องอาหารที่ชั้นล่างมีคนนั่งเต็มหมด เมิ่งจิ่งหงเดินเข้าไปก่อน แต่เสี่ยวเอ้อร์บอกเขาว่าในร้านเต็มแล้ว ไม่มีที่นั่งเหลือสักที่ !
หลิ่วจงเทียนสงสัยจึงถามออกไปว่า “นี่เพิ่งยามใดกัน ยังไม่ถึงเวลาอาหารเที่ยงเลยด้วยซ้ำ เหตุใดในร้านจึงมีคนเยอะขนาดนี้ ? กิจการของหยวนเค่อหลายรุ่งเรืองจนเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? ”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “นายท่านคงไม่ทราบว่าวันนี้ทางร้านมีการเปิดตัวอาหารชนิดใหม่และทางร้านยังใช้วิธีจับฉลากหาผู้โชคดีเพื่อบริการอาหารจานทดลองให้ลูกค้าได้ชิมโดยไม่คิดเงิน ลูกค้าเก่าของร้านถูกใจมากจึงเข้ามาสนับสนุน ดังนั้น…”
เมิ่งจิ่งหงเผยสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะหมุนตัวไปเห็นร้านอาหารที่ค่อนข้างหรูหราฝั่งตรงข้าม เขาพูดกับเจียงโม่หานว่า “สหายเจียง ถ้าอย่างไร…เราไปร้านฝั่งตรงข้ามกันไหม ? ”
หลิ่วจงเทียนมองไปยังร้านอาหารที่ถูกทิ้งร้างฝั่งตรงข้าม การค้าแย่ขนาดนี้ รสชาติอาหารจะต้องไม่เอาไหนแน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้นก็สู้ไปร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ตนคุ้นเคยยังจะดีกว่า !
หลินจื่อเหยียนเดินผ่านพวกเขาเข้าไปในร้านอย่างตื่นเต้น หยางยี่หรานรู้สึกแปลกใจมากจึงรั้งตัวเขาไว้ “เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าไม่มีที่นั่งแล้ว เจ้ายังจะเข้าไปทำไม ? เพื่ออาหารมื้อเดียว เจ้าจะไปทะเลาะกับคนอื่น ทำลายข้าวของ…”
หลินจื่อเหยียนสะบัดมือออก ขณะที่กำลังอยากพูดอะไรบางอย่างเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “คุณชายหลิน คุณชายเจียง เร็ว รีบเข้ามาด้านในสิขอรับ ! ”
หลงจู๊ฟางเดินเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม โดยด้านหลังของเขามีเสี่ยวเอ้อร์สองคนกำลังแบกหม้อใส่ไก่ย่างเดินผ่านไป กลิ่นหอมอบอวลจนดึงดูดสายตาของทุกคน ไม่มีใครสนใจจะพูดกับคนด้านข้างอีกต่อไป คนทั้งห้องโถงล้วนเงียบเป็นเป่าสากทันที
หลงจู๊ฟางหัวเราะ “นี่คือหนึ่งในอาหารจานใหม่ มีนามว่า ‘ไก่ย่าง’ กลิ่นหอมอบอวล หนังกรอบ เนื้อนุ่ม รสเค็มกำลังพอดี เนื้อล่อนจากกระดูก มีมันแต่ไม่เลี่ยน ที่ร้านเชิญพ่อครัวชื่อดังมาคนหนึ่ง ต้องใช้เวลาปรุง 4-5 ชั่วยามและมีขั้นตอนการทำอย่างพิถีพิถัน ทุกคนลองดมสิขอรับ นี่เป็นสินค้าที่ยังไม่สมบูรณ์ ทว่ากลิ่นก็หอมจนทำให้ผู้คนหลงใหลแล้ว ด้านรสชาติยิ่งไม่ต้องพูดถึง ! ”
ลูกค้าเก่าคนหนึ่งถามเสียงดังลั่น “นี่เป็นสินค้าที่ยังไม่สมบูรณ์ ? หมายความว่าเที่ยงนี้พวกเราก็ยังไม่ได้กินน่ะสิ ? ”
หลงจู๊ฟางพยักหน้า “อาหารจานนี้ต้องรอถึงตอนเย็นจึงจะยกออกมาขายได้ขอรับ มีเพียง 10 จานเท่านั้น ใครมาก่อนก็ได้ก่อน ! ข้ารับรองได้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นพวกท่านต้องอยากกลืนมันลงคอแม้แต่กระดูกแน่นอนขอรับ ! ”
ทันใดนั้นก็มีอีกคนเข้ามาร่วมวง “ยังกินตอนเที่ยงไม่ได้ แล้วเจ้าจะยกออกมาเพื่ออะไร ? แบบนี้ไม่ได้กำลังทำให้พวกเรากระวนกระวายหรือไร ? ”
“นายท่านหู ไม่ต้องกระวนกระวายไปขอรับ ! ข้าขอรับรองได้เลยว่าอาหารชนิดใหม่จานอื่นก็มีรสชาติไม่แพ้เจ้านี่ ! ” ไม่พูดไม่ได้ หลงจู๊ฟางโฆษณาเก่งมาก !
ตอนที่หลงจู๊ทักทายหลินจื่อเหยียน เมิ่งจิ่งหงก็ชักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปกลับมาได้ทันเวลา เขาสูดหายใจเข้าลึกพลางพูดว่า “หอมมาก ! กินตอนเที่ยงนี้ไม่ได้จริงหรือ ? ”
หลงจู๊ฟางเห็นอีกฝ่ายมากับคุณชายหลินจึงทำดีด้วย “ใจร้อนย่อมพลาดของอร่อย อาหารจานนี้ยังต้องใช้เวลาหมักอีก 4 ชั่วยาม รสชาติจึงจะซึมเข้าเนื้อ คุณชายทุกท่าน ยังคงเป็นที่หอชุนหลานตามเดิม หลินกู่เหนียงรอพวกท่านอยู่ที่นั่นแล้ว เชิญด้านในขอรับ”
ณ หอชุนหลาน หลินเว่ยเว่ยกำลังเอนกายพิงเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง นายท่านรองคนนี้ใช้งานคนเก่งจริง ๆ อาหารแต่ละอย่างเตรียมไว้อย่างน้อย 10 จาน แม้นางจะเป็นแค่คนคอยสั่งอยู่ข้าง ๆ แต่ก็ต้องลงมือทำบ้างเป็นครั้งคราว ทำงานมาทั้งเช้าก็ถือว่าเหนื่อยพอใช้ได้…เป็นแม่ครัวช่างกินพลังงานจริง ๆ !
หลังประตูถูกผลักเข้ามา หลินเว่ยเว่ยก็รีบพุ่งความสนใจไปที่เจียงโม่หานแล้วพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เหตุใดเจ้าเพิ่งมา ! ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ! ”
เจียงโม่หานนั่งลงข้างนาง เขาเริ่มรินชาแล้วยัดใส่มือนาง ก่อนจะแกะเปลือกเมล็ดสนปากอ้าให้…ทำได้แค่เอาใจนางแบบนี้เพราะมีคนอยู่เยอะเกินไป หน้าเขายังไม่หนาจนสามารถเข้าไปนวดไหล่ให้นางได้
หลินเว่ยเว่ยเอียงศีรษะไปทางเขา “ยังเป็นคู่หมั้นที่รู้จักเอาใจใส่ ข้าเหนื่อยมาค่อนวันแล้วแม้แต่น้ำยังไม่ได้ดื่มสักหยด”
เจียงโม่หานให้นางซบไหล่ นางทำตัวราวกับไม่มีกระดูก ทว่าเขาก็ปล่อยให้นางซบอยู่อย่างนั้น ขณะเดียวกันก็พูดว่า “ไม่ใช่ร้านของเจ้าเองเสียหน่อย ไม่เห็นต้องทุ่มเทขนาดนี้เลย”
“เฮ้ ! ผู้คนบนโลกวิ่งไปทุกสารทิศเพียงเพื่อเงินไม่กี่ตำลึง แต่เงินไม่กี่ตำลึงนี้สามารถบรรเทาความทุกข์ได้หมด…! ” หลินเว่ยเว่ยอ้าปากเพื่อรอให้เขาป้อนเมล็ดสน
เมิ่งจิ่งหงและหลิ่วจงเทียนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สวรรค์ ! คนตรงหน้านี้ใช่อัจฉริยะเจียงผู้หยิ่งยโสและเย็นชาคนนั้นหรือไม่ ? คนที่หมั้นหมายแล้วจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? เมื่ออยู่ต่อหน้าคู่หมั้นแล้ว สหายเจียงก็แสนอ่อนโยนและช่างเอาอกเอาใจจนไม่สนสายตาคนนอก