หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 378 ที่แท้ก็เป็นแผนการของเจ้า
ตอนที่ 378 ที่แท้ก็เป็นแผนการของเจ้า
เมื่อบัณฑิตทั้งห้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ ใจที่เคยพะว้าพะวังก็สงบลง แม้ว่าเจียงโม่หานยังอายุไม่มาก แต่สำหรับพวกเขาแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายเปรียบเหมือนเสาค้ำทะเลตงไห่ที่มั่นคงและพึ่งพาได้
เมิ่งจิ่งหงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮ่าฮ่า ! ขอให้คำอวยพรของสหายเจียงเป็นจริง ท่านพ่อเคยบอกไว้ว่าหากข้าสอบติดถงเซิง เขาจะจัดงานแต่งให้ข้าอย่างดี ไอหยา ข้าเห็นว่าศิษย์พี่เผิงและสหายเจียงต่างมีคู่หมั้นคู่หมายที่ดี ข้าเองก็ชักอยากจะมีบ้างแล้วสิ ! ”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะเยาะอีกฝ่าย “การแต่งงานเป็นเรื่องของทั้งชีวิต อย่าวู่วามตัดสินใจเด็ดขาด เคยได้ยินหรือไม่ที่เขาพูดกันว่าแรงกระตุ้นคือปิศาจ แรงกระตุ้นทำลายชีวิต ! ”
เมิ่งจิ่งหงพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวเปลือก “หลินกู่เหนียงพูดถูก ! เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว…ไว้รอสอบติดถงเซิงก่อนค่อยว่ากัน เพราะหากสอบไม่ผ่าน ทุกอย่างก็จะจบสิ้น ! ”
กลางดึกของวันเดียวกัน ขณะที่ทุกคนในบ้านหลับสนิทหมดแล้วก็ปรากฏเงาสีดำร่างหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงบ้านเช่าเข้ามาและตรงเข้ามาเคาะประตูห้องของเจียงโม่หานเบา ๆ
ยามนี้เจียงโม่หานสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยอยู่แล้ว คล้ายกำลังรอเงาดำนี้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
หลีชิงรีบแทรกกายเข้ามาตามรอยแง้มของบานประตู เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะของเจียงโม่หานมีขนมวางอยู่ เขาจึงหยิบมากินอย่างรวดเร็ว ปากเคี้ยวไปพลางพูดไปด้วย “ข้าปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง ! เจ้าแซ่อู๋ผู้นั้นถูกคนของที่ว่าการคุมตัวไปขณะกำลังทำการซื้อขายข้อสอบกับบัณฑิตคนหนึ่ง คนชั่วต้องได้รับโทษเช่นนี้ ! ”
หลังจากกินขนมไปสองชิ้นติดกัน เขายังไม่วายขอดื่มชาสมุนไพรบนโต๊ะแล้วเรอออกมา “เจ้าแซ่อู๋ขี้ขลาดตาขาวมาก ไม่ต้องรอให้นายอำเภอหวางตัดสินบทลงโทษ เขาก็รีบโยนความผิดไปที่พี่เขยซึ่งเป็นน้องชายของภรรยาเจ้าหน้าที่ติงถีเสียแล้ว ! นายอำเภอหวางจึงรีบส่งคนไปรายงานเรื่องนี้ยังที่ว่าการเมืองจงโจว…จริงสิ ได้ยินว่าทางราชสำนักส่งผู้ตรวจการไปยังเมืองจงโจวของพวกเราเพื่อคอยกำกับดูแลเรื่องการสอบ…ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ติงถีผู้นี้จะโดนเพ่งเล็งเพราะน้องชายของภรรยาผู้โง่เขลาก่อเรื่องเอาไว้ อย่าว่าแต่จะโดนปลดจากตำแหน่งเลย ดีไม่ดีอาจรักษาชีวิตของตนไม่ได้ด้วยซ้ำ ! ”
เจียงโม่หานแค่แค่นเสียงหัวเราะออกมา รอยยิ้มของเขาดูชั่วร้ายมาก ในชาติที่แล้ว แม้ว่าเจ้าหน้าติงถีจะไม่ใช่คนผิดเสียทีเดียว แต่หลังจากเรื่องขายข้อสอบถูกเปิดโปง มันกลับนำข้อกล่าวหาทั้งหมดมาปรักปรำอาจารย์ฟ่านแล้วก็หนีเอาชีวิตรอดเพียงผู้เดียวจนเป็นเหตุให้คนดีๆ อย่างอาจารย์ฟ่านต้องจบชีวิตลง ชาตินี้ก็คิดเสียว่าให้เจ้าหน้าที่ติงถีชดใช้ด้วยชีวิตแล้วกัน
หลีชิงยื่นหน้าไปสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วกล่าวว่า “ชายแซ่อู๋ผู้นั้นเป็นศัตรูคู่แค้นเรื่องใดของเจ้า เหตุใดจึงอยากให้เขาตายนัก ? ”
ล่อลวงให้อู๋ปัวติดต่อกับพี่เขย จากนั้นก็ชักชวนให้อีกฝ่ายขโมยข้อสอบมาจากเจ้าหน้าที่ติงถี และในตอนที่พวกมันกำลังทำการค้าขายกันนั้นก็แจ้งให้นายอำเภอและเจ้าหน้าที่ทางการเข้ามาเห็น เมื่อหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนก็ยากที่จะหลีกหนีข้อกล่าวหาได้ โทษของการลักลอบขายข้อสอบ หากเบาหน่อยก็โดนเนรเทศ แต่ถ้าหนักก็โดนประหารชีวิต…ไอหยา ต้องโกรธแค้นอะไรกันมาถึงได้เลือดเย็นเช่นนี้ ?
“ทำลายครอบครัวและเข่นฆ่าสหายของผู้อื่น อย่าหวังว่าจะอยู่ร่วมโลกกันได้ ! ” ความเลือดเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเจียงโม่หาน ยามนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ต่างจากปิศาจร้ายในขุมนรกที่พร้อมกัดกินวิญญาณของมนุษย์…
เมื่อเห็นท่าทางของเจียงโม่หานแล้ว ผู้ที่เลือดเย็นอย่างหลีชิงยังอดตัวสั่นไม่ได้ “เช่นนั้นก็ไม่ควรปล่อยให้มันมีชีวิตรอด ! ”
ในใจของเขารู้สึกสับสนอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะเจียงโม่หานอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฉือหลี่โกวกับนางเฝิงมาตั้งแต่เด็ก ส่วนอู๋ปัวมีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น คำว่า ‘ทำลายครอบครัวและเข่นฆ่าสหายของผู้อื่น’ ที่เจียงโม่หานกล่าวถึง หรือจะเป็นคนรุ่นก่อนไม่ใช่รุ่นหลัง ?
เช่นนั้นก็ยังพอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง เพราะเดิมทีตระกูลอู๋เป็นตระกูลที่มั่งคั่งแห่งเขตเริ่นอัน ทว่าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้การค้าของพวกเขาเผชิญกับวิกฤติร้ายแรง อีกทั้งอาคนหนึ่งของอู๋ปัวยังโดนเนรเทศไปเผชิญหน้ากับความหนาวเหน็บและความขมขื่นในชายแดนตะวันตกเฉียงเหนืออีกด้วย
ได้ยินมาว่าตระกูลอู๋ยอมเสียทรัพย์สินกว่าครึ่งเพื่อให้อู๋ปัวสอบผ่านเคอจวี่ หากบัณฑิตผู้นี้ต้องหมดอนาคตลง เช่นนั้นตระกูลของพวกเขาจะไม่มีวันฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองได้อีก !
หลีชิงเหลือบมองเจียงโม่หานด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความซับซ้อนพร้อมเตือนตนเองว่าอย่าดูแคลนบัณฑิตน้อยที่ดูไร้เรี่ยวแรงผู้นี้เด็ดขาด คนอย่างตนจะสังหารใครยังต้องใช้มีด แต่หากบัณฑิตต้องการสังหารคนแล้ว ใช้เพียงสมองเท่านั้น…
“จริงสิ ! แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจงอี้โหวคิดก่อกบฏ ? ” สาเหตุที่หลีชิงไม่ได้กลับไปบ้านตระกูลหลินในช่วงเทศกาลปีใหม่ก็เพราะต้องตามหาหลักฐานการก่อกบฏของศัตรู แน่นอนว่าเขาพบเบาะแสมากมายทีเดียว…ในที่สุดเขาก็มีความหวังที่จะได้แก้แค้นแทนครอบครัว !
เจียงโม่หานมองเขาด้วยแววตาที่เรียบเฉยแล้วทิ้งท้ายไว้เพียงคำพูดที่ว่า “เจ้าอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ให้มากกว่านี้หน่อยเถิด ! ” ขณะที่กล่าวก็ยังไม่วายทำท่าปิดประตูส่งแขกอีกด้วย
หลีชิงที่ถูกปิดประตูใส่ก็ยืนอยู่ด้านนอก เขาลูบจมูกของตนพลางคิดในใจว่า ไอหยา บัณฑิตผู้นี้เย็นชาเสียเหลือเกิน ! อย่างไรเขาก็เป็นผู้ที่ผลักดันให้อู๋ปัวติดต่อกับน้องชายภรรยาของเจ้าหน้าที่ติงถี และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้อู๋ปัวถูุกจับกุม เจ้ามาใช้ประโยชน์จากข้าแล้วถีบหัวส่งเช่นนี้ คู่หมั้นของเจ้ารู้หรือไม่ ?
“หึ ! หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้ต่อเสี่ยวเว่ยของข้าก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน ! ” หลีชิงชี้ประตูพลางพูดขู่ ก่อนจะบ่นอุบเสียงเบาว่า “เสี่ยวเว่ยเป็นคนตรงไปตรงมาและน่ารักขนาดนั้น ไม่แน่ว่าสักวันอาจโดนบัณฑิตผู้นี้หลอกลวง บัณฑิตใจดำแบบนี้ไม่น่าเชื่อถือ ! ”
แม้ว่าหลีชิงจะตั้งสัตย์สาบานไว้ที่หน้าประตูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทว่าเจียงโม่หานก็ได้ยินอย่างชัดเจน เฮอะ ! สมกับที่เด็กน้อยเคยพูดเอาไว้จริงว่า ‘อุปนิสัยกำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคน’ ชาติที่แล้วเขาเคยช่วยชีวิตหลีชิงเอาไว้ หลีชิงไม่ถามหาเหตุผลใดและสาบานว่าจะติดตามเขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สุดท้ายเพื่อปกป้องเขาแล้วหลีชิงจึงต้องมาจบชีวิตลง ในชาตินี้เจ้าหลีชิงยังมายึดมั่นจริงใจต่อหลินเว่ยเว่ยอีก !
เหตุใดเจ้าเด็กหลีชิงถึงได้คิดว่าข้าจะหลอกลวงเด็กโง่กันเล่า ? นางเป็นถึงคู่หมั้นของเขาเชียว เป็นคู่หมั้นที่เขาเลือกด้วยตนเองก็ย่อมปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ หรือบางทีอาจเป็นเพราะ…เด็กโง่หลอกง่าย ใครใจดีกับนางด้วยหน่อย นางก็ตอบแทนเป็นเท่าตัว ช่างเป็นเด็กที่โง่เสียจริง !
แต่คู่หมั้นที่เขาเลือกเองย่อมต้องให้เขาปกป้องอยู่แล้ว ส่วนหลีชิงเป็นแค่คนนอก จะไปหานางในดวงใจจากที่ไหนก็ไป อย่ามายุ่มย่ามแถวนี้ !
ขณะที่เจียงโม่หานกำลังบ่นอยู่ในใจนั้น เด็กโง่ที่เขาเอ่ยถึง…หลินเว่ยเว่ยกำลังนอนหลับฝันหวานโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนแอบข้ามกำแพงเข้ามาในบ้านและออกไปแล้ว
เวลาล่วงเลยมาประมาณยามสี่ (01.01-03.00 น.) ของวันถัดมา หลินเว่ยเว่ยตื่นมาเข้าครัวเตรียมทำอาหารแล้ว ประเดี๋ยวที่บ้านยังมีบัณฑิตสองคนที่ต้องเข้าร่วมการสอบท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ นางต้องเตรียมอาหารเช้าอุ่น ๆ ให้พวกเขากิน !
ในช่วงเช้าตรู่ของเดือนสอง ณ ดินแดนทางเหนือ ลมหนาวพัดกระโชกราวกับใบมีดที่กระทบผิวหนังแล้วทำให้เกิดความเจ็บแสบ ความหนาวเหน็บในที่แห่งนี้พร้อมจะแช่แข็งผู้คนได้ทุกเมื่อ !
วันนี้นางตั้งใจทำบะหมี่ในน้ำแกงไก่และไข่ลวกให้ทั้งสองกิน
น้ำแกงไก่ที่ถูกเคี่ยวเกือบตลอดทั้งคืนให้รสชาติที่เข้มข้น พร้อมเนื้อไก่ที่ตุ๋นจนนุ่มถูกฉีกเป็นฝอยวางบนบะหมี่ที่นางทำเอง หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนพ่นควันหนาวออกจากปากแล้วซดบะหมี่เข้าไปสองชามใหญ่ แต่พวกเขาก็ยังอยากขอเพิ่มอีกสักชาม
หลินเว่ยเว่ยจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ประเดี๋ยวข้าจะไปบริเวณที่พวกเจ้าต่อแถวรอเข้าสนามสอบ จากนั้นจะคำนวณเวลาคร่าว ๆ ก่อนพวกเจ้าเข้าไป แล้วข้าจะนำมาส่งให้ดื่มอีกคนละถ้วย”
หลินจื่อเหยียนรู้สึกสงสารพี่รองจึงรีบกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ท่านเตรียมบะหมี่สำเร็จรูปไว้ให้พวกข้าแล้วไม่ใช่หรือ ? พวกข้าไม่มีทางหิวแน่นอน วันนี้ลมแรง พี่รองรอพวกข้าอยู่ที่บ้านนี่แหละ ! ”
“ไม่ได้ ! เจ้าเป็นบัณฑิตที่อายุยังน้อย หากไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยแล้ว จะต้องลำบากขนาดไหน ? ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าทนความหนาวได้ดีกว่าเจ้าเสียอีก ! จริงสิ เสื้อคลุมขนกระต่ายที่น้าเฝิงเย็บให้เจ้า รวมถึงเสื้อและกางเกงขนสัตว์ที่ข้าถักให้ เจ้าสวมมันหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยลูบเสื้อผ้าของน้องชายเพื่อสำรวจ
หลินจื่อเหยียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “พี่รองไม่ต้องกังวล ข้าสวมมันแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วพลางบ่นไม่หยุด “อากาศหนาวขนาดนี้ แต่ให้เหล่าบัณฑิตทำข้อสอบในที่โล่ง หากมือของพวกเขาหนาวเหน็บจนแข็งขึ้นมาแล้วจะเขียนอักษรได้อย่างไร ? ”
หากเขียนอักษรไม่ประณีตมากพอก็จะโดนคัดออกในการประเมินรอบแรก การสอบขุนนางสุดโหด !
หลินจื่อเหยียนชี้ไปยังเตาเล็กสำหรับอังมือคลายความหนาวที่วางอยู่ในกระบุงไม้ไผ่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาอนุญาตให้เอาเตาอังมือไปด้วยไม่ใช่หรือ ? นอกจากนี้ข้ายังสวมถุงมือเปิดปลายนิ้วที่พี่รองถักให้อีกต่างหาก อย่างไรข้าก็หนาวน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้สวมถุงมือ ! ”