หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 379 บัณฑิตน้อยรู้สึกอิจฉา
ตอนที่ 379 บัณฑิตน้อยรู้สึกอิจฉา
เผิงหยูเหยี่ยนพยักหน้าอย่างแรง เขาลูบถุงมือรวมถึงเสื้อและกางเกงขนสัตว์ของตนด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่คู่หมั้นของตนเย็บและถักทอให้ แม้จะไม่ประณีตเหมือนของน้องภรรยา แต่ทำให้จิตใจของเขาอบอุ่นมากเหลือเกิน
“เอาล่ะ ตกลงตามนี้ ! ” หลินเว่ยเว่ยได้ยินว่าบางครั้งต้องใช้เวลาต่อแถวหนึ่งถึงสองชั่วยามกว่าจะได้เข้าสนามสอบ หากเป็นเช่นนั้นจริงอาหารเช้าที่พวกเขากินตั้งแต่เช้ามืดน่าจะย่อยหมดแล้ว หลินจื่อเหยียนอยู่ในวัยกำลังโต ยังคงหิวง่ายมาก
ปกติแล้วระหว่างมื้อเช้ากับมื้อกลางวัน เขามักจะได้กินขนมขบเคี้ยวหรือไม่ก็เนื้อแผ่นอยู่เสมอ พอยามบ่ายก็จะได้จิบชาให้สดชื่น อย่างในตอนกลางคืนหากเขาท่องตำราจนดึกดื่นก็มักจะย่องเข้าห้องครัวเพื่อหาของกิน ไม่อย่างนั้นจะทำให้เขานอนไม่หลับ
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเครียดกับเรื่องเรียนมากเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะวัยกำลังโต แม้เขาจะกินเยอะแต่ไม่อ้วนเลยสักนิด หลินเว่ยเว่ยรู้สึกอิจฉา ! รู้หรือไม่ว่าการกินแล้วไม่อ้วนคือความใฝ่ฝันของสตรีทุกคน !
นางหวนนึกถึงช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว ตอนนั้นบัณฑิตน้อยคงรอเข้าสนามสอบท่ามกลางความหนาวเหน็บ เขาต้องหิวโหยและหนาวมากเพียงใด…หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองไปทางเจียงโม่หาน ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เฮ้อ ! อดีตผ่านไปแล้ว !
บัดนี้มีชั่ววูบหนึ่งที่เจียงโม่หานรู้สึกอิจฉาหลินจื่อเหยียนกับเผิงหยูเหยี่ยนที่มีชะตาชีวิตดีเหลือเกิน เหตุใดสวรรค์จึงไม่ให้เขากลับมาเกิดใหม่ในช่วงก่อนสอบระดับเซี่ยนซื่อ…เอ่อ ดูเหมือนช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว อาการป่วยทางสมองของหลินเว่ยเว่ยจะยังไม่หายดี !
ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาสงสารที่คู่หมั้นมองมา เจียงโม่หานพลันรู้สึกว่าตนไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ รอไปสอบเยวี่ยนซื่อและเซียงซื่อแล้ว คู่หมั้นของเขาก็ต้องช่วยตระเตรียมอาหารไว้กินในสนามสอบและนางจะต้องใส่ใจว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อุ่นหรือไม่เช่นกัน…
ในเวลานี้ จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหูเขาว่า “ตอนกลางวันข้าจะทำของอร่อยให้กิน เป็นอาหารที่ไม่เคยทำที่ใดมาก่อน ข้าจะทำให้เจ้ากินคนเดียว ! ”
เจียงโม่หานที่มีสีหน้าไร้อารมณ์มาโดยตลอดก็เริ่มคลี่ยิ้มออกมา เด็กคนนี้ เวลาสงสารเขาทีไรก็มักชอบหาของที่ดีที่สุดมาชดเชยให้เขาเสมอ ได้ภรรยาที่ดีเช่นนี้ สามีจะหนีไปไหนรอด ?
พวกเขาทำหน้าที่เหมือนพ่อแม่ที่มาส่งบุตรเข้าสอบอย่างไรอย่างนั้น เจียงโม่หานคอยกำชับทั้งสองถึงข้อควรระวังในการสอบ ขณะที่หลินเว่ยเว่ยตรวจสอบกระบุงไม้ไผ่ เครื่องเขียนและตั๋วเข้าสอบรวมถึงอาหารสำหรับมื้อกลางวันว่าเตรียมครบแล้วหรือยัง ?
เมื่อได้เวลาแล้ว ผู้ปกครองทั้งสอง…เจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยได้พาบัณฑิตทั้งสองไปยังสนามสอบตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลินเว่ยเว่ยหาวไปหนึ่งหวอด ในใจได้แต่รู้สึกทึ่งที่การเป็นนักเรียนในยุคโบราณไม่ง่ายเลย เที่ยงคืนก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวสอบกันแล้ว !
เมื่อมาถึงประตูทางเข้าสนามสอบ เวลานี้ได้มีบัณฑิตผู้เข้าสอบต่อแถวกันยาวเหยียดเป็นหางมังกร ไม่ว่าจะอยู่มุมใดก็ล้วนเต็มไปด้วยเหล่าบัณฑิต หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงรีบไปต่อท้ายแถว ขณะเดียวกันได้มีบัณฑิตที่เพิ่งเดินทางมาถึงเริ่มทยอยมาต่อหลังพวกเขา
ทันใดนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ศาลกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ประจำสนามสอบเดินออกมา ทำเอาเหล่าบัณฑิตจำนวนไม่น้อยพากันซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์
“หืม ? เหตุใดเจ้าหน้าที่ศาลจึงออกมาเร็วขนาดนี้ ? หรือว่าจะปล่อยพวกเราเข้าสู่สนามสอบก่อนเวลา ? ”
“เข้าไปก่อนแล้วจะอย่างไรต่อ ? ด้านในมืดขนาดนั้น เข้าไปก็อ่านไม่ออกสักตัว…”
“พวกเจ้าดูสิ เจ้าหน้าที่ศาลคุมตัวใครคนหนึ่งไว้ด้วย ! มองจากท่าทีแล้วน่าจะเป็นบัณฑิตรุ่นนี้ไม่ใช่หรือ มันเกิดอะไรขึ้น ? ”
“เจ้าไม่ได้ข่าวหรือ ? ก่อนหน้านี้ไม่นานได้มีคนลักลอบขายข้อสอบในราคาฉบับละ 500 ตำลึง…”
“เหตุใดเจ้าจึงรู้ดี ? อย่าบอกว่าเจ้าก็ซื้อเหมือนกัน ? ”
“ข้าแค่อยาก ! แต่จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเล่า…”
…
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น อู๋ปัวที่ยืนคอตกหน้าหม่นหมองก็เริ่มชี้ตัวคนที่ซื้อข้อสอบจากตน อู๋ปัวไม่ใช่คนโง่ดักดาน ย่อมรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งตนยังเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ต้นจึงจำได้ว่าใครซื้อข้อสอบจากตนไปบ้าง นอกจากนี้ยังวางแผนไว้อีกว่ารอกระทั่งคนพวกนี้สอบผ่าน แล้วเขาจะขายข้อสอบระดับฝู่ซื่อและเยวี่ยนซื่ออีกด้วย…
ดังนั้นเขาจึงเริ่มชี้ตัวคนซื้อทีละคน ! โอ้ ! เจ้าเด็กนี่ละโมบยิ่งนัก เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันก็ขายข้อสอบได้กว่าห้าสิบฉบับแล้ว!
แต่ก็ไม่แปลก ผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้เงินมือเติบอย่างอู๋ปัว เมื่อครอบครัวล้มละลายจึงทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าอับอาย เมื่อโอกาสทำเงินมาอยู่ตรงหน้าแล้ว มีหรือที่คนอย่างอู๋ปัวจะพลาด !
เพียงชั่วพริบตาเจ้าหน้าที่ศาลได้คุมตัวผู้เข้าสอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้อสอบไปกว่าห้าสิบคนแล้ว ทำให้หางแถวขยับเข้ามาอีกเล็กน้อย หลินจื่อเหยียนจึงหันไปพูดกับเผิงหยูเหยี่ยนอย่างอารมณ์ดี “คู่แข่งน้อยลงไปหลายสิบคน หมายความว่าโอกาสสอบผ่านของพวกเราย่อมมีเพิ่มขึ้น ! ”
เจียงโม่หานหันไปทำตาดุใส่เขาแล้วกล่าวว่า “พวกที่อาศัยการซื้อข้อสอบเช่นนั้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะมีความรู้ความสามารถแค่ไหนกันเชียว ? ผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงย่อมไม่คิดทำการทุจริต คู่แข่งที่แท้จริงของพวกเจ้าไม่ใช่พวกเขาหรอก ฉะนั้นอย่าประมาทเด็ดขาด ! ”
หลินจื่อเหยียนหน้าหมองแล้วกล่าวเสียงแผ่ว “ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย ข้าต้องตั้งใจทำข้อสอบอย่างสุดความสามารถแน่นอน ! ”
ด้านหน้าของเขาเป็นชายผมขาวที่มองจากท่าทางแล้วน่าจะมีอายุประมาณห้าสิบปีได้ ชายผมขาวผู้นั้นหันกลับมามองเขาพลางกล่าวว่า “บัณฑิตที่อยู่ด้านหลังข้าเอ๋ย เจ้ายังเด็ก ไม่ต้องกังวลหรอก ครั้งนี้ไม่ผ่านก็ยังมีโอกาสสอบครั้งหน้า ! ”
หลินจื่อเหยียนขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “หากไม่เห็นว่าท่านอายุมากแล้ว ข้าคงชกหน้าท่าน ตอนนี้ยังไม่ทันได้เข้าสนามสอบ ท่านก็พูดจาไม่เป็นมงคลกับข้า เช่นนี้ไม่เรียกว่าหาเรื่องกันหรือ ? ”
ชายสูงวัยหรี่ตามองแล้วถอนหายใจออกมา “ข้าก็เคยกระตือรือร้นสมัยที่อายุเท่ากับเจ้า แต่ความจริงมักโหดร้ายเสมอ สุดท้ายมีแต่จะทำลายปณิธานของเรา…ข้าขอแนะนำเจ้าว่าเผื่อใจไว้หน่อยก็ดี เวลาที่ผิดหวังจะได้ไม่เจ็บปวดมากเกินไป ! ”
“พี่เขยใหญ่ ท่านช่วยแลกที่กับข้าได้ไหม ? ข้ากังวลว่าจะห้ามใจไม่ไหวจนเผลอเตะคนแถวนี้ ! ” หลินจื่อเหยียนโกรธจนกำหมัดแน่นแล้วก็คลายออก คลายแล้วก็กำหมัดแน่นอีกครั้ง
“เจ้าเด็กคนนี้…” ชายสูงวัยเหมือนยังอยากพูดอะไรต่อ
ทว่าหลินจื่อเหยียนได้เปลี่ยนที่ยืนกับเผิงหยูเหยี่ยนเสียแล้ว อีกทั้งยังพูดอย่างโมโหว่า “พี่เขยรอง หากพี่รองอยู่ที่นี่ด้วยนางจะต้องด่าตาแก่นั่นจนพูดไม่ออก ! ”
พี่รองของเขากลับไปเตรียมอาหารที่บ้านเช่า อืม…เขากินบะหมี่ไปตั้งแต่ฟ้ามืด ตอนนี้เริ่มย่อยหมดแล้วด้วยสิ !
เจียงโม่หานเหลือบมองเขาแล้วกล่าวว่า “ตราบใดที่จิตใจของเจ้ามีความแข็งแกร่งและมีความมั่นใจในวิชาความรู้ของตนมากพอ เจ้าก็จะไม่หวั่นไหวเพราะคำพูดของคนอื่น จงทำใจให้สบาย ขอเพียงเจ้าตั้งใจทำอย่างที่เคยเป็นมา เจ้าจะต้องสอบติดเซี่ยนซื่อแน่นอน ! ”
หลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้น จิตใจที่เคยขุ่นมัวเพราะโดนสบประมาทก็พลันสงบลง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่เขยรอง ท่านเปรียบเสมือนเสาค้ำทะเลตงไห่จริงด้วย ! คำพูดเพียงไม่กี่คำของท่านสามารถทำให้จิตใจของข้าสงบได้อย่างน่าอัศจรรย์ ! ”
ในเวลานี้หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม ในอ้อมแขนของนางคล้ายจะหอบของมาอย่างพะรุงพะรัง “กังวลอะไรกันเล่า ก็แค่การทดสอบสนามเล็กไม่ใช่หรือ ? ลองคิดดูนะ บัณฑิตน้อยตั้งใจชี้แนะเจ้าอย่างเต็มที่ เขาถามคำถามใดเจ้าล้วนตอบได้หมด การสอบระดับเซี่ยนซื่อย่อมไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้าแน่นอน ข้ากลัวว่าเจ้าจะอยู่ในสนามสอบอย่างยากลำบากจึงทำบะหมี่ผัดมาให้เจ้ากิน รีบกินตอนกำลังร้อนสิ ! ”
นางนำบะหมี่ผัดใส่ไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณ เพิ่งนำออกมาได้ไม่นานจึงยังร้อนกรุ่นอยู่เลย หลินจื่อเหยียนใช้ตะเกียบคีบกินคำใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย “พี่รอง ท่านมีความสามารถจริง ๆ บะหมี่ไข่ไม่จับตัวเป็นก้อนเลย มันอร่อยมาก ! ”
แม้ว่าเผิงหยูเหยี่ยนจะไม่หิวมากนัก แต่เมื่อคิดได้ว่าต้องอยู่ในสนามสอบทั้งวัน สุดท้ายเขาจึงตั้งหน้าตั้งตากินบะหมี่ผัดเช่นกัน
ในขณะที่เหล่าบัณฑิตซึ่งต่อแถวอยู่ด้านหน้าและด้านหลังได้แต่ยืนมองพวกเขากินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย ความหอมของบะหมี่ผัดทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกทรมาน หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นพวกบัณฑิตเมิ่งต่อแถวอยู่ด้านหน้า พวกเขาคงมาเช้ากว่าพวกเจ้าเป็นแน่ ข้าเอาบะหมี่มาเผื่ออีกสองสามห่อ ลองถามพวกเขาสิว่าจะกินหรือไม่ ! ”
หลินจื่อเหยียนเคี้ยวไปพลางกล่าวไปด้วยว่า “ยังต้องถามอีกหรือ ? พวกเขาต้องกินอยู่แล้ว ! พวกเขาไม่มีวันพลาดโอกาสกินอาหารฝีมือพี่รองหรอก ! ”