หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 381 เกิดเป็นมนุษย์ อย่าดีใจจนขาดสติ
ตอนที่ 381 เกิดเป็นมนุษย์ อย่าดีใจจนขาดสติ
หลินจื่อเหยียนถือเตาอังมือไว้ จากนั้นนั่งหลังตรงและอ่านคำถามอย่างละเอียดอีกครั้ง ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ยกยิ้ม…ว้าว ! คำถามไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ ? แตกต่างจากคำถามของพี่เขยรองชนิดฟ้ากับเหว !
หลังจากมืออุ่นแล้ว เขาก็สวมถุงมือเปิดปลายนิ้วที่พี่รองตั้งใจถักให้ จากนั้นก็เริ่มคัดลอกคำถามลงในกระดาษคำตอบอย่างระมัดระวัง…หลังฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาเป็นเวลากว่าครึ่งปี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบตัวอักษรหรือความเร็วที่ใช้ในการเขียนก็ล้วนมีความก้าวหน้าขึ้นมาก
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ศาลเก็บกระดานคำถามไปแล้ว เขาถึงได้เริ่มอ่านทำความเข้าใจข้อคำถามและเขียนคำตอบอย่างระมัดระวัง แต่ในขณะนี้ยังมีบัณฑิตอีกหลายคนที่ยังคัดลอกคำถามไม่เสร็จ…จะโทษที่บัณฑิตคนอื่นคัดลอกช้าก็ไม่ได้เพราะดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นได้ไม่เท่าไรเอง กอปรกับอากาศหนาวเกินไปจึงทำให้หลายคนมือแข็ง
นายอำเภอหวางนั่งอยู่บนแท่นที่ตั้งสูงขึ้นมา เขาไม่ได้สนใจจะกวาดสายตามองไปยังบัณฑิตคนอื่นที่อยู่ด้านล่างเพราะมัวแต่ให้ความสนใจต่อหลินจื่อเหยียน บัณฑิตน้อยผู้มาจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวผู้นี้ พูดกันว่าบัณฑิตผู้นี้ศึกษาตำรากับบัณฑิตเจียงมาเกือบครึ่งปี ไม่ทราบว่าได้ผลลัพธ์เช่นไรบ้าง
ในตอนแรกเริ่มหลินจื่อเหยียนแค่ใช้เตาผิงมือแล้วทอดมองไปยังกระดานคำถามโดยไม่ขยับพู่กัน นายอำเภอหวางยังอดขมวดคิ้วไม่ได้ หรือบัณฑิตเจียงไม่ได้อธิบายกฎในสนามสอบให้เขาฟัง ? คงไม่เผลอเข้าใจไปเองว่ากระดานคำถามจะโดนถืออยู่ตรงนี้ตลอดใช่ไหม ? หากจำคำถามในกระดานไม่ได้แล้วจะเขียนคำตอบอย่างไร ?
นายอำเภอหวางอดที่จะพูดเตือนไม่ได้ “จะมีการเก็บกระดานคำถามในอีกครึ่งชั่วยาม ! บัณฑิตคนใดยังจำคำถามไม่ได้ก็จงเร่งมือ ! ”
ในที่สุดเด็กหนุ่มผู้เฉลียวฉลาดจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็มีการเคลื่อนไหวเสียที เขาค่อย ๆ วางเตาผิงมือลง จากนั้นก็สวมถุงมือแล้วฝนหมึกอีกรอบจึงจะเริ่มคัดคำถามลงในกระดาษ…ช่างเป็นผู้ที่ใจเย็นเหลือเกิน ทำเอาข้าร้อนใจแทบตาย ! กู่เหนียงจากตระกูลหลินเป็นผู้ที่ทำสิ่งใดรวดเร็วและกระฉับกระเฉงเพียงนั้น เหตุใดน้องชายถึงได้ใจเย็นขนาดนี้
โชคดีเหลือเกินที่เขาคัดลอกคำถามเสร็จก่อนที่จะเก็บกระดานคำถามพอดี จากนั้น…เขาก็เริ่มหยิบเตาผิงมือขึ้นมาอุ่นมืออีกครั้ง…นี่เจ้ามานั่งผิงมือหรือ ? มาสอบจริงหรือเปล่า ?
หลินจื่อเหยียนเอามืออังกับเตาจนกระทั่งมืออุ่นดีแล้ว คำถามข้อแรกคือให้เขียนเรียงความสองบทตามรูปแบบความเรียงในสี่ตำรา ( สี่ตำราห้าคัมภีร์ ) ซึ่งเขาฝึกเขียนเรียงความรูปแบบนี้จนชำนาญแล้วจึงไม่มีอะไรยากสำหรับตน ประเด็นสำคัญคือต้องเขียนให้มีความโดดเด่นเสียหน่อย ให้ผู้ตรวจข้อสอบเห็นจุดเด่นตั้งแต่อ่านรอบแรก เขาจึงตั้งสมาธิ หลังจากร่างเนื้อความในใจแล้วจึงบรรจงเขียนลงกระดาษ เขาอ่านทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าและแก้ไขอยู่หลายหน
ลำพังแค่เขียนเรียงความสองบทนี้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งวันแล้ว กระทั่งช่วงใกล้เที่ยงวัน เรียงความสองบทของหลินจื่อเหยียนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์แบบ เขาลูบท้องที่เริ่มร้องเพราะความหิว ก่อนจะยกมือขึ้น “ข้าขอน้ำร้อนสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”
ยามนี้ ในสนามสอบอากาศหนาวเย็นเหนือบรรยาย ดังนั้นเหล่าบัณฑิตจึงสามารถขอน้ำร้อนเพื่อคลายความหนาวได้และผู้รับหน้าที่คอยรินน้ำร้อนให้คือเจ้าหน้าที่ศาล เมื่อเห็นว่าหลินจื่อเหยียนหยิบชามใหญ่ออกมา เขาจึงมุ่ยปากแล้วกล่าวเตือน “ดื่มน้ำน้อย ๆ หน่อย…”
แม้ไม่ได้มีข้อห้ามเรื่องการถ่ายหนักถ่ายเบา แต่หากไปทำธุระส่วนตัวบ่อย ๆ ก็ไม่กลัวว่าจะเขียนคำตอบไม่เสร็จเอาหรือ ?
หลินจื่อเหยียนรู้ว่าอีกฝ่ายมีความปรารถนาดีจึงไม่ได้ค้านอะไร “ขอบคุณท่านมาก ! ”
เขาหยิบห่อใส่อาหารออกมาอย่างตื่นเต้นแล้วเอาบะหมี่แห้งก้อนเล็กก้อนน้อยใส่ลงในน้ำร้อน จากนั้นเอาไข่พะโล้สองฟองใส่ลงไปด้วย เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้วเขาก็ใช้ฝาไม้ปิดปากชามเอาไว้ ระหว่างนี้เขายังเอาเศษบะหมี่แห้งยัดใส่ปากแล้วก้มหน้าก้มตาแก้เรียงความของตนในรอบสุดท้าย
การตรวจสอบและแก้ไขเรียงความซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ได้กลายเป็นนิสัยซึ่งฝังรากลึกของเขาไปเสียแล้ว หากในเรียงความมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยอย่างเช่นเขียนตัวอักษรผิด เขาจะโดนลงโทษโดยต้องคัดทฤษฎีเชิงนโยบาย ในช่วงแรกเขานั่งคัดทฤษฎีเชิงนโยบายจนแทบอาเจียนออกมา แต่หลังจากคัดจนเริ่มชินแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถเขียนเรียงความได้โดยไร้ข้อผิดพลาด !
หืม กลิ่นอะไร ? บัณฑิตที่นั่งอยู่แถวเดียวกับหลินจื่อเหยียนได้กลิ่นหอมประหลาดแสนเข้มข้นนี้ลอยมาแตะจมูก แต่บริเวณสนามสอบนี้มีโรงเตี๊ยมด้วยหรือ ? อาจจะเป็นกลิ่นอาหารจากบ้านหลังอื่นส่งกลิ่นหอมโชยเข้ามา
สำหรับบัณฑิตผู้เข้าสอบที่ทั้งหิวทั้งหนาว มันช่างทรมานจิตใจเหลือเกิน !
หลินจื่อเหยียนเปิดฝาไม้ออกจึงทำให้กลิ่นที่ส่งออกมาจากชามเข้มข้นยิ่งขึ้น ขนาดว่าผู้คุมสอบที่อยู่ด้านหน้ายังได้กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี้…บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่หลินเว่ยเว่ยคิดค้นขึ้นมาช่างหอมหวนน่ากินเหลือเกิน !
ทั้งที่มีผู้เข้าสอบอยู่เต็มลาน แต่มีเพียงหลินจื่อเหยียนคนเดียวที่เริ่มกินอาหาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากลิ่นหอมนี้โชยมาจากฝั่งเขาอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่นายอำเภอหวางเดินลงจากที่นั่งแล้วอ้อมไปยืนอยู่ด้านหลังหลินจื่อเหยียน เมื่อเห็นบะหมี่หอมกรุ่นและไข่พะโล้ในชามของอีกฝ่าย มุมปากของนายอำเภอก็กระตุกอย่างไม่ตั้งใจ
กู่เหนียงจากตระกูลหลินทำอาหารอร่อยมาก ซึ่งเขาเคยมีโอกาสลิ้มรสฝีมือของนางมาบ้างแล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลยว่านางจะสามารถรังสรรค์อาหารสำหรับผู้เข้าสอบให้ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วขนาดนี้ การได้กินบะหมี่ร้อน ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ มันคงจะดีไม่น้อยใช่ไหม ?
ทว่าในการทดสอบครานี้อนุญาตให้นำอาหารแห้งเข้ามาได้เท่านั้น อาหารที่เป็นน้ำซุปหรืออาหารคาวชนิดอื่นจะไม่ได้รับอนุญาตในทุกกรณี แต่บัณฑิตน้อยตระกูลหลินกลับใช้เพียงน้ำร้อนธรรมดาก็สามารถต้มบะหมี่ที่หอมกรุ่นถึงเพียงนี้ได้ นางทำได้อย่างไรกัน ?
หลินจื่อเหยียนไม่ได้สังเกตเลยว่านายอำเภอวัยชราได้มายืนอยู่ด้านหลังของตนนานแล้ว ทว่ายังคงก้มหน้าก้มตาซดบะหมี่อย่างสำราญใจ ประเดี๋ยวก็ซดน้ำซุปเสียงดังลั่น ประเดี๋ยวก็คีบเส้นบะหมี่เข้าปาก บ้างก็กัดไข่พะโล้..หากนำเนื้อเข้ามาได้ หลินจื่อเหยียนก็คงนั่งกินเนื้อให้ดูแล้ว ไม่รู้ว่าการทดสอบรอบหน้าจะสามารถนำเนื้อแห้งเข้ามาได้หรือไม่
กลิ่นหอมของบะหมี่ลอยอบอวลไปทั่วสนามสอบ เหล่าบัณฑิตที่นั่งบริเวณเดียวกับหลินจื่อเหยียนก็เริ่มทรมานเพราะกลิ่นหอมนี้ พวกเขารู้ดีว่ากลิ่นบะหมี่หอมกรุ่นลอยมาจากบัณฑิตน้อยคนนั้น หลายคนพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างสุดความสามารถ…เช่นนี้จะให้พวกเขามีสมาธิทำข้อสอบได้อย่างไร ? บางคนที่เริ่มทนไม่ไหวจึงทำได้เพียงนำอาหารแห้งที่เตรียมไว้ออกมากิน ทั้งที่เดิมทีตั้งใจจะเอาไว้กินมื้อกลางวัน !
หลินจื่อเหยียนกินบะหมี่และไข่พะโล้หมดแล้ว ขณะกำลังเงยหน้าจะซดน้ำซุปให้เกลี้ยงชาม เขาก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง ทำเอาตกใจจนเกือบโยนชามทิ้งเสียแล้ว
แต่เมื่อเพ่งมองให้ดีแล้วจึงพบว่าเป็นท่านนายอำเภอ เขาลงมาจากที่นั่งตั้งแต่ตอนไหน ? แล้วมายืนอยู่ด้านหลังข้านานเท่าใดแล้ว ? แต่ข้าก็ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่ แค่กินบะหมี่หนึ่งชามเท่านั้น ในกฎระเบียบก็ไม่ได้มีระบุไว้ ? เช่นนั้นข้าจะไปกลัวอะไรเล่า ?
หลินจื่อเหยียนเช็ดปากอย่างรีบร้อน เขาพยายามฉีกยิ้มเจื่อน ๆ ออกมา แล้วหันไปพยักหน้าให้แก่นายอำเภอ รอกระทั่งนายอำเภอหวางเดินออกไปแล้วเขาจึงวางชามบะหมี่ลง แล้วตั้งอกตั้งใจคัดลอกคำตอบที่ผ่านการเรียบเรียงจนสมบูรณ์แล้ว
คำถามข้อต่อไปคือการให้เขียนบทกวีในรูปแบบกลอนห้าพยางค์หกสัมผัส หัวข้อคำถามนั้นเป็นบทกวีโบราณ มีการจำกัดคำคล้องจองซึ่งเขาเคยเขียนบทกวีนี้มาหลายรูปแบบแล้วจึงไม่ใช่เรื่องยาก เขาอุ่นมือ พลางคิดบทกวีไปด้วย หลังจากเขียนลงกระดาษและแก้ไขอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็เขียนบทกวีที่สมบูรณ์ลงกระดาษคำตอบ
…
หลินจื่อเหยียนเขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จแล้ว พอมองไปยังด้านหน้าและด้านข้างจึงพบว่าบัณฑิตส่วนใหญ่ยังนั่งคัดนั่งเขียนกันอยู่ บางคนก็เกาหูเกาแก้มเหมือนมีเหาเต็มตัว
แม้ว่าเขาจะภูมิใจมาก แต่ก็เฝ้าบอกตนเองว่าอย่าประมาท ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าตรวจสอบคำตอบอย่างรอบคอบ แย่แล้ว ! ข้อกำหนดบอกไว้ว่าเรียงความไม่ควรเกิน 700 คำ แต่เรียงความบทหนึ่งของเขาเขียนเยอะไปหน่อย ดูเหมือนจำนวนคำจะเกินแล้ว !
เขารีบแก้ไขใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งแสงแดดช่วงเที่ยงวันส่องสะท้อนอยู่กลางศีรษะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากเขาสวมเสื้อผ้าหนาจนเกินไป กอปรกับความรีบร้อน เหงื่อของเขาจึงผุดเต็มศีรษะ และครึ่งชั่วยามก่อนส่งกระดาษคำตอบนั้น เขาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ไอหยา ! เกิดเป็นมนุษย์ อย่าดีใจจนขาดสติ ! ไม่อย่างนั้นอาจเกิดความผิดพลาดจนแก้ไขไม่ทัน !