หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 382 ไม่มีปัญญาก็อย่าโทษคนอื่น
ตอนที่ 382 ไม่มีปัญญาก็อย่าโทษคนอื่น
ครึ่งชั่วยามก่อนส่งกระดาษคำตอบ เขาทำจิตใจให้สงบแล้วเริ่มตั้งใจอ่านบทความและบทกวีอีกรอบ หลังมั่นใจว่าไร้ข้อผิดพลาดแล้วเขาก็ตีกลองเพื่อส่งกระดาษคำตอบ
เมื่อรอให้เจ้าหน้าที่มาเก็บกระดาษคำตอบไปทีละแผ่นแล้ว นายอำเภอหวางก็ขานชื่อในสนามสอบ…เพื่อยืนยันตัวตน…แล้วประทับตราปิดผนึกซอง จากนั้นจึงจะปล่อยให้ผู้เข้าสอบออกจากสนามสอบได้
มีผู้เข้าสอบคนหนึ่งร้องไห้ “ข้าตอบได้ทุกอย่าง เขียนร่างไว้หมดแล้วแต่มือเย็นเกินไปจึงเขียนได้ช้า ไม่ทันได้เขียนจนเสร็จ…”
“จบกัน จบสิ้นแล้ว ! มือข้าไม่เชื่อฟังเลย ตัวอักษรบิดเบี้ยวไปมา กลัวว่าจะตกตั้งแต่สนามแรก…”
“ข้า…”
หลินเว่ยเว่ยยืนอยู่ในฝูงชน นางเขย่งปลายเท้าและยืดคอเพื่อคอยมองที่หน้าประตูสนามสอบ หลังเห็นน้องชายสะพายกระบุงออกมาพร้อมมองซ้ายทีขวาที นางก็รีบโบกมือและตะโกนเรียกเขาทันที “หลินจื่อเหยียน ! ทางนี้ ! ”
หลินจื่อเหยียนถูกบัณฑิตที่ตามมาข้างหลังผลักออกมาข้างนอก พอเห็นพี่รองโบกมือเรียก เขาก็รีบเบียดคนออกมาหาหลินเว่ยเว่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วคงทำข้อสอบได้สิท่า ! ” หลังได้ยินเสียงคร่ำครวญของบัณฑิตคนอื่น หลินเว่ยเว่ยก็ยังเป็นห่วงน้องชายอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง ในสนามสอบหนาวหรือไม่ ? ”
“ไม่หนาวเลย ! พี่รองคิดได้อย่างไรจึงถักเสื้อคลุมขนกระต่ายเช่นนั้นขึ้นมา ? อุ่นมากเลย! ตอนแดดส่องลงมา ข้ายังเหงื่อออกด้วยล่ะ ! ” หลินจื่อเหยียนชี้ไปที่หน้าอกของตน ระหว่างเบียดตัวออกมาก็เริ่มเหงื่อออกอีกแล้ว
บัณฑิตไม่กี่คนที่บ่นว่าหนาวเกินไปจนเขียนข้อสอบไม่ได้ก็หันมามองด้วยความโมโห…อย่ามาโอ้อวด ทำเกินไปแล้ว !
หลินจื่อเหยียนยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดต้องหันมาจ้องข้า นี่ข้าไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ทุกคนโมโหได้เลย ?
หลินจื่อเหยียนหันมาถามเผิงหยูเหยี่ยน “พี่เขยใหญ่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนครุ่นคิด ก่อนจะพูดอย่างถ่อมตน “พอได้ ! ”
เมิ่งจิ่งหงก็เบียดเข้ามาแล้วถามหลินจื่อเหยียนเสียงดังลั่น “จื่อเหยียน เจ้ากินอะไรในสนามสอบ ? กลิ่นหอมจนข้าแทบเขียนต่อไม่ได้ ทรมานกันเกินไปแล้ว ! ”
คำพูดของเขาดึงดูดสายตาขุ่นเคืองของบัณฑิตที่อยู่โดยรอบ…ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กนี่ ! สูดเส้นบะหมี่เสียงดังลั่น ปล่อยกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว นี่คิดจะทำให้พวกตนไม่มีกะจิตกะใจทำข้อสอบหรือไร ! คนหน้าซื่อใจคด !
หลินจื่อเหยียนหันไปจ้องตอบ แววตาของเขาสื่อความหมายที่ยืมมาจากประโยคของพี่เขยรอง…ไม่มีปัญญาก็อย่าโทษคนอื่น ! แค่กลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังทนไม่ไหวแล้วยังจะสอบจอหงวนเป็นขุนนางได้หรือ แม้จะสอบติดก็เป็นได้แค่ขุนนางทุจริต !
เหล่าบัณฑิตเริ่มเงี่ยหูฟังมากกว่าเดิม อยากรู้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้พวกตนต้องทรมานขนาดนั้น ?
หลินจื่อเหยียนพูดกับเมิ่งจิ่งหง “เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พี่รองทำให้ หากกินเปล่า ๆ จะกรอบและหอม แต่ถ้าเอาไปต้มในน้ำร้อนก็จะกลายเป็นบะหมี่เส้นเหนียวนุ่มที่หอมกรุ่น ข้าเคยถามท่านว่าจะเอาด้วยไหม แต่ท่านบอกว่าซื้อขนมร้านหนิงจี้ไว้แล้ว ยังมาถามข้าว่าจะเอาด้วยไหม ท่านลืมแล้วหรือ ? ”
เมิ่งจิ่งหงเค้นเสียงดัง ฮึ “เจ้าไม่พูดให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ? หลินกู่เหนียง ทำบะหมี่นั่นต้องใช้อะไรบ้าง ประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อ ! ทำเผื่อข้าชุดหนึ่ง ! ”
เผิงหยูเหยี่ยนเขียนอักษรไม่เร็วเท่าหลินจื่อเหยียน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เขานำเข้าสนามสอบไปด้วยจึงไม่มีเวลาต้ม เขาได้แต่กินแบบเปล่า ๆ ดังนั้นจึงไม่โดนไอสังหารแรงเท่าหลินจื่อเหยียน !
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่แป้งกับพวกน้ำมัน” หัวใจสำคัญของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้อยู่ที่แป้งแต่อยู่ที่เครื่องปรุง เมื่อไม่มีถุงพลาสติกและเครื่องซีลปิดปากถุง นางจึงทำซองน้ำมันและซองเครื่องปรุงไม่ได้…รู้สึกเสียดายเล็กน้อย !
ตกเย็น บัณฑิตทั้งห้าคนมารวมตัวที่บ้านเช่าตระกูลหลิน หลินเว่ยเว่ยทำอาหารเย็นแสนอลังการให้น้องชายเพื่อเป็นรางวัลที่เขาเพิ่งเผชิญการสอบอันยากลำบากมา หนิงตงเซิ่งรู้ว่าน้องชายหลินออกมาจากสนามสอบวันนี้จึงตั้งใจมาถามว่าสอบเป็นอย่างไรบ้าง ? ท่าทางที่เอาใจใส่นั้น คนที่ไม่รู้ก็คงเข้าใจผิดว่าหนิงตงเซิ่งมีความสัมพันธ์ใดกับสกุลหลิน !
เจียงโม่หานแค่นเสียงในใจดัง ฮึ ! เขารู้สึกดีใจที่เด็กน้อยมีความรู้สึกด้านนี้ช้ากว่าคนทั่วไป ตอนนั้นนางแค่กล้าที่จะแกล้งเขา แต่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตน…ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุในครานั้นแล้วทำให้รู้ใจตัวเอง ทั้งสองก็ยังไม่ได้หมั้นหมายกันหรอก !
แม้ว่าเจ้าแซ่หนิงจะทำดีต่อนางสักเท่าไร หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันมากแค่ไหน เด็กน้อยของเขาก็คิดแค่ว่าเป็นการกระทำที่หุ้นส่วนมีต่อกันเท่านั้น ไม่มีทางคิดไปในแนวทางที่อีกฝ่ายต้องการ
นอกจากนี้เจ้าแซ่หนิงก็มีฐานะเป็นพ่อค้า ฐานะสู้ข้าไม่ได้หรอก รูปร่างหน้าตาก็สู้ไม่ได้ ไม่ดีงามพร้อมสรรพเหมือนข้า แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า ?
วันรุ่งขึ้น หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนตื่นเช้าแบบไม่ได้นัดหมาย การสอบแต่ละสนามจัดขึ้นในเวลาห่างกัน 2 วัน ซึ่งจะติดประกาศผลในวันที่สองหลังการสอบแต่ละสนามนั่นเอง
การสอบสนามแรกเป็นการสอบหลัก ผลสอบย่อมสำคัญมาก ทั้งสองจึงเดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอเพื่อดูผลสอบตั้งแต่เช้า ทว่าที่นั่นก็มีบัณฑิตมารวมตัวกันไม่น้อยแล้ว
หลินเว่ยเว่ยไม่วางใจให้ทั้งสองคนไปกันเองจึงตามไปด้วย นางตามไปค่อนข้างสายแล้วจึงได้แต่รออยู่ที่รอบนอกของฝูงชน เมื่อใกล้ถึงยามอู่ ( ประมาณ 10.00 น. ) ประตูที่ว่าการอำเภอก็เปิดออก เจ้าหน้าที่สองสามคนเดินออกมาซึ่งหนึ่งในนั้นถือม้วนกระดาษไว้…น่าจะเป็นผลสอบที่รอคอย !
เมื่อเจ้าหน้าที่แปะป้ายประกาศผลสอบบนกระดานแล้ว เจ้าหน้าที่คนอื่นก็ยืนขนาบข้างกระดาน หลินเว่ยเว่ยเดาว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าสอบบางคนสติหลุดจนควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วทำลายผลสอบ หรือยืนเพียงเพื่ออยากรักษาความสงบของที่นี่เพราะอาจเกิดความโกลาหลได้
หลินเว่ยเว่ยรู้สึกกังวลแทนน้องชายเพราะร่างกายของเขายังไม่โตมาก ไม่ได้กำยำอะไร อย่าให้โดนเบียดจนบาดเจ็บเลย ยังมีว่าที่สามีของพี่สาวคนโตอีกคน ท่าทางอวบอ้วนแต่ความจริงเป็นคนอ่อนแอ…
บัณฑิตที่เข้าไปดูผลสอบบนกระดานแล้วบางคนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนร้องไห้ บ้างก็หน้าถอดสี…
เมื่อคนด้านหน้าดูเสร็จแล้วก็ถอยออกมา คนข้างหลังจึงจะเบียดเข้าไปดูแทน หลินเว่ยเว่ยกำลังเขย่งปลายเท้าเพื่อมองหาน้องสามจากในฝูงชน ต่อมานางก็วิ่งไปยืนบนบันไดฝั่งตรงข้ามของที่ว่าการอำเภอแล้วกระโดดเพื่อดูผลสอบ
เมิ่งจิ่งหงรูปร่างสูงใหญ่กว่าหน่อย เขาเบียดออกมาได้ก่อน พอเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็รีบย่างเท้าเข้ามาพร้อม ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ไม่สามารถปกปิดได้
เมื่อมาถึงตรงเบื้องหน้าของหลินเว่ยเว่ยแล้วก็ไม่ปล่อยให้นางได้เอ่ยถามเพราะเขาก็รีบพูดทันที “ข้าหาชื่อของตนเจอแล้ว ข้าได้อันดับที่สามสิบหก ! ชื่อของศิษย์น้องหลินอยู่อันดับ…”
“หยุด ! ” หลินจื่อเหยียนวิ่งหอบหายใจเข้ามาและรีบพูดแทรกเมิ่งจิ่งหง “นี่เป็นข่าวดี ข้าจะบอกพี่รองกับพี่เขยรองด้วยตัวเอง! ข้าสอบได้ที่สาม ! พี่รอง ข้าสอบได้ที่สามของอำเภอ ! ”
หลินจื่อเหยียนดีใจจนตัวลอย ! เขารู้ว่าน่าจะสอบติด แต่ไม่คิดว่าจะได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ขนาดนี้ สนามสอบแรกก็ได้อันดับสามแล้ว ขอแค่ต่อไปสุขุมและทุ่มเทอย่างเต็มที่ เขาจะต้องสอบผ่านระดับเซี่ยนชื่อแน่นอน ! เขาจึงยิ้มไม่หุบและอย่างไรก็เลิกหุบยิ้มไม่ได้
สนามสอบที่สองของการสอบระดับเซี่ยนซื่อยังคงเป็นตำราทั้งสี่ หัวข้อคือให้เขียนบทความเรื่องความกตัญญูและเขียนสรุปเกี่ยวกับ ‘คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์1’ จำนวน 100 คำ หัวข้อที่ใช้สอบเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียนเป็นประจำอยู่แล้ว จะแก้หรือเขียนอย่างไร หลินจื่อเหยียนล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ส่วนการเขียนสรุป 100 คำก็เป็นเรื่องที่หลินจื่อเหยียนถนัดยิ่งกว่า เพราะ ‘คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์’ เขาท่องจนขึ้นใจ แต่เพื่อความรอบคอบ เขาเลือกที่จะเขียนร่างไว้ก่อนแล้วค่อยเขียนลงในกระดาษคำตอบ
ห้าสนามสอบใช้เวลากว่าครึ่งเดือน หลังตรวจกระดาษคำตอบรอบสุดท้ายเสร็จแล้วก็จะนำกระดาษคำตอบตั้งแต่สนามแรกออกมาแกะจากซองแล้วตรวจทั้ง 5 ชุดพร้อมกันอีกครั้งเพื่อจัดอันดับผู้สอบผ่าน
[i]
1คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ มีขึ้นมาเพื่ออธิบายเกี่ยวกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฮ่องเต้คังซีมีพระราชโองการลงมาเพื่อสั่งสอนประชาชนเรื่องหลักการพื้นฐานของลัทธิขงจื๊อโดยใช้แค่อักขระเจ็ดบรรทัดเท่านั้น ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้ยงเจิ้งครองราชย์ได้สองปีจึงมีการออกคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำสั่งศักดิ์สิทธิ์นี้ขึ้นมาเพื่อขยายคำสอนของพระบิดาให้ประชาชนท้องถิ่นเข้าใจ