หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 390 รักกันจนผมขาว
ตอนที่ 390 รักกันจนผมขาว
เจียงโม่หานจมดิ่งสู่ความคิดอีกครั้ง ในชาติก่อน คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงก็จัดงานแข่งขันกวีขึ้นเช่นกัน ทว่าไม่ใช่ในเวลานี้แต่เป็นหลังจบการสอบเยวี่ยนซื่อต่างหาก แต่เพราะคดีทุจริตจึงทำให้บัณฑิตส่วนใหญ่ไม่มีอารมณ์มาเข้าร่วมงานและหนึ่งในนั้นก็คือตัวเขา
พูดกันว่างานแข่งขันกวีดำเนินไปอย่างไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไร อีกทั้งไม่ได้มีบทกวีที่ดีเลิศปรากฏขึ้นด้วย ท้ายที่สุดจึงเร่งปิดงานโดยเร็ว เจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงก็ไม่ได้ออกมาเปิดเผยโฉมหน้า หลังกลับชาติมาเกิดใหม่ก็เหมือนจะมีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร ความตั้งใจที่เขาจะปกป้องคนข้างกายก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง !
หลังฟังสิ่งที่หลินเว่ยเว่ยคาดเดาแล้ว เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “อาจจะใช่ ! ปัจจุบันนี้ภาคเหนือเป็นดินแดนแห่งมังกรในหมู่มวลมนุษย์ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นก็คือความโกลาหลของสงคราม ตอนนั้นภาคเหนือถูกกองทัพใหญ่ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและหมินอ๋องควบคุมไว้แล้ว กองทัพในภาคเหนือถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด พวกเขารักแผ่นดินและปกป้องราษฎรยิ่งชีพ ในเวลานั้นแดนเหนือจึงกลายเป็นสถานที่เดียวซึ่งสามารถสงบเงียบท่ามกลางภัยสงคราม อาจเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้เจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงมาตั้งรกรากที่เมืองจงโจวกระมัง ? ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “บ้านเราทั้งสองบ้านก็น่าจะย้ายมาเพราะสาเหตุนี้ด้วย หนีจากภาคใต้มาอยู่ที่ฉือหลี่โกวใช่หรือไม่ ? พอลองคิดดูแล้ว พ่อข้ากับน้าเฝิงก็มีสายตาเฉียบคมดีจริง ๆ ฉือหลี่โกวมีทั้งภูเขาและแม่น้ำ สภาพแวดล้อมเงียบสงบ เป็นสถานที่ดีในการตั้งรกราก ! รอให้ผ่านไปอีกหลายสิบปี รอให้เจ้าเกษียณแล้ว เรากลับมาอยู่ที่ฉือหลี่โกวกันเถิด ได้ขึ้นเขาทุกวันเพื่อสูดรับอากาศบริสุทธิ์ ดีต่อสุขภาพกายและใจที่สุด ! ”
เกษียณ ? น่าจะหมายถึงลงจากตำแหน่งกระมัง ? แท้จริงสถานที่ที่เด็กน้อยเคยอยู่ก็เรียกการออกจากงานราชการว่าเกษียณ ! เด็กคนนี้คิดไปไกลเหมือนกัน
ทว่าการรอให้พวกเขาแก่จนผมขาวหมดศีรษะแล้วมาสร้างบ้านอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ เลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ด ปลูกผักและคอยพึ่งพาภูเขาที่อยู่โดยรอบ มองเด็กในหมู่บ้านเก็บผลไม้ป่าและของป่าก็ถือว่าผ่อนคลายดีเหมือนกัน…นี่คงเป็นความรู้สึกของการรักกันจนผมขาวใช่หรือไม่ ?
ถือได้ว่าคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงมีขนาดใหญ่มาก แต่น่าเสียดายที่เพิ่งเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ภาคเหนือยังไม่ค่อยมีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าจึงมีให้เห็นน้อยมาก ทว่ามองจากศาลา ภูเขาหินจำลองและสะพานแล้วทุกย่างก้าวของคฤหาสน์แห่งนี้ถือได้ว่าเต็มไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติ สร้างขึ้นมาได้อย่างแยบยลพอสมควร
งานแข่งขันกวีถูกจัดขึ้นที่สวนดอกเหมย มีหมู่มวลดอกเหมยช่วยสร้างบรรยากาศ การตกแต่งค่อนข้างทันสมัย ในอากาศยังมีกลิ่นหอมของดอกเหมยจาง ๆ ถ้าไม่มีลมหนาวของแดนเหนือก็จะเป็นสถานที่ใช้ในการจัดงานแข่งขันกวีได้ดีมาก แต่สำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว การนั่งตากลมกลางแจ้ง…เกรงว่าด้วยร่างกายอันอ่อนแอของเหล่าบัณฑิต พอจบงานแล้ว พวกเขาไม่ต้องน้ำมูกไหลเป็นทางเลยหรือ ?
งานแข่งขันกวีถูกจัดขึ้นตามประเพณีโบราณ แต่ละคนแยกนั่งคนละโต๊ะ โชคดีที่ยังเตรียมผ้านวมเนื้อหนาไว้ให้รองก้น ว้าว แถมยังมีพรมผืนใหญ่อันแสนหรูหราของทางตะวันตกอีกด้วย !
หลินเว่ยเว่ยกับเจียงโม่หานเลือกโต๊ะที่อยู่ติดกัน นางยกโต๊ะสี่เหลี่ยมขนาดเล็กขึ้นมาแล้วขยับเข้าไปวางติดกับโต๊ะของคู่หมั้น ผ้านวมผืนหนาก็ถูกวางซ้อนกัน นางภาคภูมิใจในร่างกายอันแข็งแกร่งของตนจึงเป็นธรรมดาที่จะนั่งทำตัวเป็นม่านกั้นลมให้บัณฑิตน้อย
เจียงโม่หานถลึงตาใส่นาง ขณะที่กำลังจะเปลี่ยนที่นั่งกันก็เห็นชายร่างสูงใหญ่กว่าเขาประมาณ 2 เท่าเข้ามานั่งข้างเด็กน้อยเสียก่อน ท่าทางของชายคนนั้นไม่คล้ายบัณฑิตแต่เหมือนลูกศิษย์ของคนขายเนื้อมากกว่า แม้ที่ข้าง ๆ จะเหลืออยู่แค่น้อยนิด ทว่าด้วยขนาดตัวของบัณฑิตคนนั้นก็เปรียบเสมือนกำแพงสูงใหญ่ มันช่วยกันลมหนาวให้ทั้งสองคนได้จนมิด
สรุปว่าตอนนี้ไม่ต้องสลับที่นั่งแล้ว เจียงโม่หานสังเกตเห็นสิ่งที่นางจะสื่อผ่านทางแววตาแต้มรอยยิ้มของนาง
บัณฑิตตัวใหญ่คนนั้นก็เหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของเจียงโม่หาน เขาจึงหันมามอง พอเห็นบุคลิกของเจียงโม่หานแล้ว เขาก็เผยแววตาประหลาดใจปนชื่นชมออกมาเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็พยักหน้าเป็นมารยาทมาทางนี้ เจียงโม่หานเองก็ยิ้มตอบ
ยามที่โต๊ะมีคนนั่งจนเกือบเต็มแล้ว ชายวัยกลางคนรูปงามในสายตาของหลินเว่ยเว่ย…หรือก็คือเจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงก็ออกมาปรากฎตัว เขาคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนและแนะนำตัว “ข้าเป็นเจ้านายของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงแห่งนี้ มีนามว่า เสียนหยุนจูฉือ”
ต่อจากนั้นเขาก็พูดลากยาวไปพักหนึ่ง หลินเว่ยเว่ยเดาว่าเขากำลังขอบคุณในการมาเยือนของเหล่าบัณฑิตและหวังว่าจะแสดงความสามารถในการแข่งขันกวีครั้งนี้อย่างเต็มที่ ช้าก่อน เห็นได้ชัดว่าแค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็เริ่มงานได้แล้ว เหตุใดต้องพูดพล่ามเป็นนานสองนาน ? ลีลา !
ทุกโต๊ะจะมีขนมให้สองจาน ด้านข้างยังมีเตาไฟขนาดเล็กตั้งอยู่ น่าจะเอาไว้ใช้ต้มน้ำชงชากระมัง ? อากาศหนาวเกินไป หมึกจึงฝนยากกว่าเดิมและยังคืนรูปได้ง่ายด้วย ดังนั้นบัณฑิตทางภาคเหนือต้องทรมานในการสอบเซี่ยนซื่อของเดือนสองนี้เหลือเกิน…
หลินเว่ยเว่ยนำขนมบนโต๊ะไปรวมกับของบัณฑิตน้อย จากนั้นก็นำเวเฟอร์ไส้ครีมและมูสเค้กบลูเบอร์รี่มาใส่จานบนโต๊ะของตน แบบนี้โต๊ะอื่นจะมีขนมสองอย่างแต่โต๊ะของพวกนางมีสี่อย่าง
คนอื่นกำลังสนใจว่าเจ้าของคฤหาสน์จะยกหัวข้ออะไรมากำหนด แต่นางนำน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณที่พกมาด้วยเทใส่กาและต้มที่เตาไฟ ชาที่คฤหาสน์เตรียมไว้ให้ก็ถือว่าไม่เลว หลังชงด้วยน้ำพุวิญญาณแล้ว บัณฑิตน้อยผู้เรื่องมากก็น่าจะฝืนดื่มได้อยู่กระมัง ?
เจ้าของคฤหาสน์…หรือเสียนหยุนจูฉือกำหนดหัวข้อรอบแรกของการแข่งขันกวีไว้เรียบร้อยแล้ว ที่จริงมันก็คือการต่อบทกวีกันนั่นเอง โดยภายในบทกวีจะต้องมีคำว่า ‘เหมย’ สามารถหยิบยกกวีของนักประพันธ์กวีท่านอื่นขึ้นมาได้และสามารถใช้กวีที่ประพันธ์เองได้เช่นกัน
บทกวีที่เกี่ยวกับดอกเหมยมีเยอะแยะมากมาย แน่นอนว่าผู้ที่เริ่มก่อนย่อมได้เปรียบ เสียงของเสียนหยุนจูฉือเพิ่งเงียบลง บัณฑิตคนแรกที่อยู่ทางซ้ายมือของเขาก็รีบคว้าโอกาสท่องบทกวีดอกเหมยที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ถังออกมาทันที “กิ่งเหมยแย้มหยกขาว สายธารพราวทุกแห่งหน”
นี่คือประโยคจากบทกวี ‘ต้นฤดูใบไม้ผลิ’ ของจางเหว่ยในสมัยราชวงศ์ถัง ทำให้ดอกเหมยดูบริสุทธิ์ดุจหยก เขียนออกมาได้มีชีวิตชีวามาก ทำให้ผู้อ่านชมกันอย่างไม่ขาดปากเลยทีเดียว เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ให้คุณค่าแก่ดอกเหมยและนักกวียังชื่นชมดอกเหมยได้อย่างคมคายมากด้วย
บัณฑิตคนถัดไปก็ต่อบทกวีด้วย “เหมยหิมะจันทร์น่ายล กระจ่างจนยากลืมเลือน”
แสงจันทร์อันสว่างไสวและนุ่มนวล ทิวหิมะทั้งขาวบริสุทธิ์และหนาวเหน็บ เมื่อรวมเข้ากับดอกเหมยที่งดงามและหอมหวนก็ทำให้ดอกเหมยดูบริสุทธิ์แต่ก็โดดเดี่ยวเช่นกัน บัณฑิตคนอื่นอดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชม
“เหมยแต้มหิมะงาม หิมะทรามขโมยสุรา” บัณฑิตคนนี้ดูจะติดตลก บทกวีฟังแล้วแตกต่างจากบทก่อนหน้ามากทีเดียว แต่ไม่ได้มีข้อจำกัดด้านวิธีการเปรียบเทียบ ทุกคนต่างใช้สีสันและกลิ่นหอมมาขับขานดอกเหมย
บัณฑิตอีกคนท่องกวีของลู่ฟางเหวิน ( ยอดกวีรักชาติสมัยราชวงศ์ซ่ง ) “กลิ่นเหมยลอยตามลม หิมะจมเขาสี่ทิศ”
“เดือนสิบสองเหมยมลาย ปีหน้ากลายมาผลิบาน” นี่คือบทกวีของตู้ฝู่ ( ปราชญ์ยอดกวีผู้ยิ่งใหญ่สมัยราชวงศ์ถัง )
“ดอกเหมยแผ่ไอเย็น วิหคเห็นพลันขับขาน” นี่คือบทกวีของหวังเหวย ( ยอดกวีผู้ยิ่งใหญ่สมัยราชวงศ์ถัง )
“ดอกเหมยตรงเบื้องหน้า ชั่วพริบตาเป็นอดีต” หลี่ซางอิ่น ( ยอดกวีสมัยราชวงศ์ถัง ) ก็มา
“เหมยหิมะล้วนมลาย วสันต์หายคืนกลับมา” จะขาดบทกวีของหลี่ไป๋ ( ปราชญ์ยอดกวีผู้ยิ่งใหญ่สมัยราชวงศ์ถัง ) ไปได้อย่างไร ?
เมื่อเวียนมาถึงน้องชายของตน หลินเว่ยเว่ยก็หยุดชงชาและหันไปมองเขาด้วยความกังวล แต่หลินจื่อเหยียนไม่กระวนกระวายอันใดเลย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่ม “กิ่งเหมยนอกหน้าต่าง ผลิบานพลางแต้มหิมะ” นี่คือบทกวีของหยางเจียง ( หนึ่งในสี่กวีผู้มีชื่อเสียงที่สุดในต้นราชวงศ์ถัง )
หลินเว่ยเว่ยยกยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็ก้มหน้าแล้วใช้ผ้าหยิบหูหิ้วกาน้ำขึ้นมาเพื่อเริ่มรินน้ำล้างถ้วยชา