หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 392 สวมบทบาทว่าเป็นบุรุษ
ตอนที่ 392 สวมบทบาทว่าเป็นบุรุษ
“บ้านของพวกเจ้าเคยล่าเสือได้จริงหรือ ? เจ้ายังเคยกินเนื้อเสือมาก่อนด้วย ? เสือบนภูเขามีเยอะหรือเปล่า ? แล้วมันจะลงเขามากัดเด็กในหมู่บ้านหรือไม่ ? ” เด็กหนุ่มคนนี้ถามเป็นชุด ทำให้หลินจื่อเหยียนไม่รู้ว่าจะตอบคำถามใดก่อน
เขาเห็นพี่รองและพี่เขยรองอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจึงรีบวิ่งมาหาทันที…พี่รองช่วยข้าด้วย เขาถูกขนมหนิวผีถังสิงร่าง1!
ทางฝั่งของหลินเว่ยเว่ยกำลังอยู่กับบัณฑิตอ้วน…จ้าวหลินเฟิงมีนิสัยไม่เลว เป็นคนเปิดใจยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ด้านการศึกษาก็มีความรู้ที่กว้างขวางจนนางคิดว่าคุ้มค่าต่อการคบหา นางจึงหยิบอาหารที่เปรียบเสมือนทูตสันถวไมตรีออกมา “นี่คือขนมจากบ้านของข้า พี่จ้าวลองชิมว่าเป็นอย่างไร ? ”
จ้าวหลินเฟิงสนใจในตัวทั้งสองคนนี้มานานแล้ว น้องเจียงเป็นคนเปิดเผย ค่อนข้างมีบุคลิกของปัญญาชน ส่วนอีกคนก็น่าสนใจ ตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนกำลังออกมาเที่ยวเล่น พอมีสติรู้ตื่นก็เหมือนกระรอกน้อยตัวหนึ่งที่มีของกินเต็มปากไปหมด กลิ่นขนมนั้นลอยมาแตะจมูกเขาเป็นระยะ และมันยังส่งผลต่อสมาธิของเขาอย่างมาก !
หลังกล่าวขอบคุณแล้วจ้าวหลินเฟิงก็รับกล่องไม้มาถือไว้ เขาจำได้ว่าสัญลักษณ์ด้านบนเป็นของร้านขนมหวานหนิงจี้ พอเปิดดูก็ต้องพบกับเรื่องประหลาดใจ เนื่องจากเขายังไม่เคยกินขนมแบบนี้มาก่อน “ร้านหนิงจี้เปิดตัวขนมขนิดใหม่ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ช่วงค่ำของเมื่อวานนี้เอง ข้าใช้เส้นสายจึงได้มาครอบครอง”
จ้าวหลินเฟิงนึกถึงเรื่องที่นางบอกว่านี่คือขนมจากบ้าน หรือว่า…“น้องหลินเว่ยเกี่ยวพันกับร้านขนมหวานหนิงจี้หรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่ ! แต่มีความเกี่ยวพันกับหุ้นส่วนร้านหนิงจี้อีกคน นี่เป็นสูตรใหม่ที่นางเพิ่งคิดค้น ลองชิมสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร ? ”
“ว่าอย่างไรนะ ? ร้านขนมหวานหนิงจี้เปิดตัวขนมใหม่หรือ ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้ ? ” ทันใดนั้นความสนใจของเด็กหนุ่มที่มีต่อตัวหลินจื่อเหยียนก็เปลี่ยนมาอยู่ที่ขนมในมือของจ้าวหลินเฟิง
ฟังจากคำพูดนี้แล้ว เขาน่าจะเป็นลูกค้าประจำของร้านหนิงจี้ หลินเว่ยเว่ยใจกว้างมากจึงส่งมูสเค้กบลูเบอร์รี่อีกกล่องให้เด็กหนุ่ม ขณะที่เข้าไปใกล้ก็บังเอิญเห็นรอยเจาะติ่งหูที่อีกฝ่ายลืมปกปิด…ฮ่าฮ่า สวมบทบาทว่าเป็นบุรุษเหมือนกันสิท่า !
“ว้าว ! เป็นรสหลานเหมยด้วย ! ข้าชอบกินหลานเหมยที่สุด ! น่าเสียดายที่หมดฤดูกาลแล้ว แยมหลานเหมยในร้านหนิงจี้ก็ไม่มีวางขายอีก เมื่อก่อนข้าชอบใช้แยมหลานเหมยมากินกับหมั่นโถว…” หลินฉานเอ๋อร์ในชุดบุรุษยิ้มขอบคุณหลินเว่ยเว่ย ก่อนจะใช้ช้อนไม้เล็ก ๆ ตักกินมูสเค้กบลูเบอร์รี่
“ว้าว นุ่มมาก พอเข้าปากก็ละลายทันที อร่อยเกินไปแล้ว ! ” แค่มองก็รู้ว่าหลินฉานเอ๋อร์เป็นนักกินตัวยง พอมูสเค้กเข้าปากแล้ว ตัวนางก็เหมือนจะเปล่งประกายได้เลย ดวงตาก็ระยิบระยับไปหมด
หลินจื่อเหยียนหยิบมูสเค้กออกจากกล่องอาหารจำนวน 5 กล่อง หยิบเวเฟอร์ไส้ครีมอีกหนึ่งกล่อง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหาเผิงหยูเหยี่ยน เจ้าหนอนหนังสือคนนี้กำลังสนทนาอย่างถูกคออยู่กับหนอนหนังสืออีกสองคนซึ่งไม่ว่าตำราประเภทใดก็เคยอ่านทั้งนั้น ขอแค่เป็นตำราก็สามารถหมกตัวอยู่กับมันได้ ดังนั้นจึงมีเรื่องให้คุยกันอย่างไม่รู้จบ
หลินฉานเอ๋อร์เลิกคิ้วแล้วรีบเดินตามหลังหลินจื่อเหยียนไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้านี่อย่างไรกัน ? เอาของคนอื่นไปโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขาไม่กล้าตำหนิเจ้า แต่เจ้าก็ต้องสำนึกได้เองสิ เกิดเป็นมนุษย์จะโลภมากไม่ได้ ! ”
หลินจื่อเหยียนเชิญบัณฑิตสองสามคนที่กำลังสนทนากันอยู่มากินขนม หลังได้ยินแบบนั้นเขาก็หันไปมองหลินฉานเอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ “ข้าโลภอย่างไร ? นี่เป็นขนมที่พี่รองของข้าทำเองกับมือ ข้าหยิบมาหลายชิ้นแล้วจะเป็นอย่างไร ? ”
“หืม ? ขนมที่อร่อยขนาดนี้ พี่รองของเจ้าเป็นคนทำเองหรือ ? โกหกล่ะสิไม่ว่า” หลินฉานเอ๋อร์เห็นเวเฟอร์ไส้ครีมในกล่องอีกใบ มือน้อย ๆ จึงเอื้อมไปหยิบเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย
หลินจื่อเหยียนรีบปิดกล่องเวเฟอร์ด้วยความโมโห “ใช่ ข้าโกหก ! ขนมของคนโกหก เจ้าก็ยังกล้ากินอีกหรือ ? ไม่กลัวโดยวางยาพิษหรือไร ? ”
หลังจากหลินฉานเอ๋อร์กินเวเฟอร์ไส้ครีมจนหมดแล้ว นางก็กินมูสเค้กอีกหนึ่งคำแล้วถึงจะหันไปมุ่ยปากใส่หลินจื่อเหยียน “ดูความใจแคบของเจ้าสิ แค่ขนมชิ้นเดียวไม่ใช่หรือ ! กล้าขู่ว่าด้านในมียาพิษ ถ้ามีแล้วเจ้าจะยังชวนคนอื่นกินหรือไร ? มีเจตนาใดกันแน่ ? ”
“ฉานเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่เอง ปล่อยให้ข้ากับญาติผู้พี่ตามหาตั้งนาน ! ” เมื่อเห็นว่าน้องสาวหายมาอยู่ตรงนี้ พี่สี่ของหลินฉานเอ๋อร์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
งานแข่งขันกวีในครั้งนี้เขาทนลูกอ้อนของน้องสาวคนเล็กไม่ไหวจึงแอบพานางมาร่วมงานด้วย แต่ยังไม่ทันเข้ามาในคฤหาสน์ก็ถูกญาติผู้พี่จับได้เสียก่อน หวังว่าญาติผู้พี่จะไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านแม่ ไม่อย่างนั้นเขาได้ก้นลายแน่ !
หลินฉานเอ๋อร์เลียครีมบนริมฝีปาก ก่อนจะฉีกยิ้มอย่างมีความสุขให้พี่ชาย “พี่สี่ คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงใหญ่แค่นี้เอง ข้าจะหายไปไหนได้ ? ” ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้วนางไปเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมท่านป้า เรือนพักต่างอากาศของจวนหมินอ๋องยังใหญ่กว่าที่นี่เสียอีก นางยังเดินไม่หลงเลย พี่สี่ก็ขี้กังวลเสียจริง !
หลินชิงหยูเห็นขนมในมือของน้องสาวก็ทราบได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ขนมของคฤหาสน์หลังนี้ เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น “ฉานเอ๋อร์ ข้าบอกเจ้ากี่รอบแล้วว่าอย่ากินของคนอื่นมั่วซั่ว ถ้าไปเจอคนชั่วขึ้นมาจะทำอย่างไร ? ”
หลังจากกลืนขนมคำสุดท้ายลงคอแล้วหลินฉานเอ๋อร์จึงพูดว่า “พี่สี่ พี่หลินเว่ยไม่ใช่คนเลวสักหน่อย เขาเอาขนมมาแบ่งให้คนอื่นกินตั้งมากมาย พี่สี่ ถ้าท่านเข้าไปตอนนี้อาจยังเหลือก็ได้…ขนมที่พี่หลินเว่ยนำมาด้วยเป็นขนมใหม่ของร้านหนิงจี้ ยังไม่วางขายด้วยนะ อร่อยมากเลย ! ”
นางรู้ว่าพี่สี่ไม่ชอบกินขนม พอได้ขนมมาแล้วสุดท้ายก็ต้องตกเป็นของนาง พอคิดได้แบบนี้ นางก็กระตุ้นให้หลินชิงหยูไปหาหลินเว่ย
“พี่ชายหลินเว่ย ท่านนี้คือพี่หลินชิงหยูของข้า…บังเอิญมากที่พวกเราแซ่หลินเหมือนกัน เมื่อแปดร้อยปีก่อนเราอาจมีบรรพบุรุษคนเดียวกันก็ได้ ! ”
หลินชิงหยูอดกลั้นความรู้สึกอยากปิดหน้าตัวเองเอาไว้ เพื่อของกินแล้ว น้องสาวถึงขั้นทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ…รู้แล้วว่าเหตุใดท่านแม่จึงกำชับพวกพี่น้องว่าเวลาออกนอกบ้านต้องดูแลน้องสาวให้ดี เพราะไม่เช่นนั้นคงโดนคนอื่นใช้ของกินหลอกล่อไปแล้ว !
พี่ชายหลินเว่ย…เจียงโม่หานหันไปมองคู่หมั้น…ตัวสูงโปร่ง ใบหน้ากระจ่างใส คิ้วหนากว่าเด็กสาวคนอื่นเล็กน้อยและอยู่ในชุดบุรุษจึงค่อนข้างให้ความรู้สึก ‘ยากจะเดาออกว่าเป็นชายหรือหญิง’
ส่วนหลินฉานเอ๋อร์และหลินชิงหยูมีศักดิ์เป็นญาติของเจียงโม่หานอย่างแน่นอน เนื่องจากแซ่หลินคือญาติฝั่งมารดาของเขา พอลองนับลำดับญาติแล้วพี่น้องคู่นี้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาโดยไม่ต้องสงสัย !
ชาติก่อนเขาไม่มีโอกาสได้รู้จักกับญาติเหล่านี้จึงไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับสองพี่น้องมากนัก แต่เหมือนจะเป็นเพราะอะไรบางอย่างจึงทำให้หลินฉานเอ๋อร์คนนี้ต้องแต่งงานกับบุรุษเจ้าสำราญที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่คนหนึ่ง หากยืมคำพูดของเด็กน้อยมาใช้ก็คือ ผู้ชายห่วยแตกคนนั้นมีชีวิตไม่ได้ดั่งใจสุด ๆ สุดท้ายก็ป่วยหนักจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว
ท้ายที่สุดก็ได้พี่สี่ของนางหนุนหลัง รับตัวนางออกจากบ้านผู้ชายห่วยแตกจนได้ แต่ก็ต้องมีชีวิตซึมเศร้า ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว…คาดไม่ถึงว่าตอนเยาว์วัยนางจะเป็นคนร่าเริงและ…เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขนาดนี้ !
หลินเว่ยเว่ยที่ถูกเรียกว่า ‘พี่ชาย’ ก็รู้สึกประทับใจในตัวเด็กสาวที่ร่าเริงและไร้เดียงสาคนนี้มาก ยังเห็นความเป็นนักกินของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย นางจึงส่งเวเฟอร์ไส้ครีมให้อีก “น้อง…ชายท่านนี้พูดถูก ไม่แน่ว่าหากย้อนไปหลายรุ่น พวกเราอาจเป็นญาติกันก็ได้ มาเถิด นี่เป็นของขวัญจากพี่ชาย ไม่มีค่าอะไรหรอก หวังว่าน้องชายจะไม่รังเกียจ…”
[i]
1ขนมหนิวผีถังสิงร่าง เปรียบเปรยว่า ติดหนึบ เกาะแน่นไม่ยอมปล่อย