หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 395 มีแค่บัณฑิตน้อยที่รู้ใจข้า
ตอนที่ 395 มีแค่บัณฑิตน้อยที่รู้ใจข้า
เจียงโม่หานใช้พัดเคาะศีรษะของนาง “อดีต ? เจ้าเห็นข้าเป็นคนที่มีเงินเข้าร้านอาหารได้หรือ ? ข้าแค่จำจากที่คนอื่นพูดกันเท่านั้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดตาม…ก็จริง ตอนที่นางเพิ่งทะลุมิติมา ทั้งสองครอบครัวยากจนยิ่งกว่าอะไร ! ครอบครัวของบัณฑิตน้อยอาศัยเงินจากงานเย็บปักของน้าเฝิงและยังต้องคอยหาของขวัญเพื่อให้เขาผูกสัมพันธ์กับเหล่าบัณฑิต เวลาจะไปร้านอาหารข้างทางทีหนึ่งก็ต้องกัดฟันประหยัดอยู่นานสองนาน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารระดับสูงเลย
“ไป ไปกินอาหารเสฉวนที่หอจุ้ยเกา ! เอ๋ หอสูงที่สุดน่ะหรือ ? มันสูงเท่าไหร่กันเชียว ? สูงเหมือนดวงดาวที่เอื้อมมือคว้าไม่ถึงนั่นหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยไม่อยากให้บัณฑิตน้อยนึกถึงเรื่องในอดีตจึงแกล้งถามเขา
เจียงโม่หานหัวเราะเบา ๆ “จุ้ยมาจากคำว่า ‘เมา’ ! เมามายในหอตระหง่าน เทพเซียนเข้าสู่ห้วงฝัน1 เป็นความหมายนี้ต่างหาก ! ”
“เทพเซียนเข้าสู่ห้วงฝัน ? ฮ่าฮ่า ! เหตุใดต้องรอให้เทพเซียนเข้าสู่ห้วงฝัน ? ดูนี่…” หลินเว่ยเว่ยชี้จมูกตัวเอง “เทพธิดาอยู่นี่แล้ว มนุษย์ทั้งหลายรีบมาคารวะเร็วเข้า ! ”
เจียงโม่หานกวาดตามองนาง “เจ้าน่ะหรือ ? กล้าเปรียบตนเป็นเทพธิดา ? สาวใช้กวาดพื้นข้างกายเทพธิดาก็ว่าไปอย่าง ! ”
หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปากสีอมชมพูแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเคยเห็นสาวใช้ที่เก่งและร้ายกาจขนาดนี้หรือ?”
เจียงโม่หานพูดอย่างไม่เกรงใจ “หากสาวใช้ไม่เก่งแล้วจะคอยอยู่รับใช้ข้างกายเทพธิดาได้อย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยโมโหจนเอื้อมมือไปดึงกระเป๋าที่เอวของเขาออกมาจนแทบจะดึงเอวเขาหลุดตามมาด้วย นางหัวเราะใส่เขาอย่างชั่วร้าย “ไม่มีเงินแล้วข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่าย สุดท้ายก็ไม่ต้องมาขอร้องเทพธิดาน้อยคนนี้หรือ ? ”
“เวลาที่ท่านอ๋องหรือบุตรขุนนางออกจากบ้านก็ไม่ต้องพกเงินติดตัว พวกเขาให้บ่าวรับใช้คนสนิทถือเงินและควักจ่าย…” หลังจากพูดจบเจียงโม่หานก็เหลือบมองกระเป๋าถักในมือของนาง
หลินเว่ยเว่ยรีบโยนกระเป๋าคืนให้เขาแล้วกระทืบเท้าด้วยความโมโห ก่อนจะเดินนำไปข้างหน้า เจียงโม่หานก้มหน้ามองแผ่นหินบนพื้น…ยังดีที่ไม่กระทืบจนหินแตก เขาไม่อยากให้คนไปรายงานทางการแล้วต้องรับโทษข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ !
“เจ้าเดินผิดทางแล้ว ต้องทางนี้ ! ” เจียงโม่หานเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี เด็กน้อยที่เดินไปไกลพอสมควรแล้วพลันหยุดฝีเท้า จากนั้นก็หันมาจ้องเขาอย่างเคียดแค้นแล้วจึงจะเดินกลับมา ตอนเดินผ่านเขาไปก็ยังเค้นเสียง ฮึ อย่างเย็นชา
เมื่อหลินจื่อเหยียนเห็นแบบนั้นก็เดินมาหาเจียงโม่หานแล้วกระซิบถามเบา ๆ “พี่เขยรอง ท่านทำให้นางโมโหหรือ ? ท่านจบเห่แล้ว เพราะพี่รองของข้าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ! ”
หืม ? เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้โกรธง่ายหายเร็ว ? เพราะนางเลือกแสดงความเจ้าคิดเจ้าแค้นกับคนที่สมควรเท่านั้น
หลินเว่ยเว่ยหยุดยืนอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างอันสูงตระหง่าน ตราประทับที่เหมือนยันต์ไล่ผีด้านบนทำให้นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว…น่าจะเป็นร้านอาหารแล้วใช่หรือไม่ ? ป้ายร้านเหมือนยันต์ไม่มีผิด ทำให้คนมองสับสนแล้วจะดึงดูดลูกค้าได้อย่างไร ? แต่หน้าร้านก็มีรถม้าจอดตลอดแนว การค้ายังถือว่าดีใช้ได้ !
“เข้าไปสิ มัวยืนทื่อทำไม ? ” เจียงโม่หานเดินผ่านตัวนางเข้าไปในร้านอาหาร ‘ผีสิง’ แห่งนี้ ที่แท้อักษรยึกยือสามตัวข้างบนก็คือคำว่า ‘หอจุ้ยเกา’ !
มุมปากของหลินเว่ยเว่ยกระตุก ก่อนจะเดินตามบัณฑิตน้อยเข้าไปในร้าน เสี่ยวเอ้อร์ที่มาต้อนรับก็พูดด้วยน้ำเสียงเจือความขอโทษ “ต้องขออภัยนายท่านด้วยขอรับ ห้องอาหารเต็มแล้ว ท่าน…พอจะนั่งที่ห้องโถงแห่งนี้ได้หรือไม่ขอรับ ? ”
หลินเว่ยเว่ยไม่มีปัญหาอะไรเพราะร้านอาหารที่ขายดีในชาติก่อนก็ยังต้องต่อแถวรอโต๊ะอยู่นอกร้านด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะชินกับความจอแจในห้องโถงหรือเปล่า
นางหันไปมองทางบัณฑิตน้อย ประมาณว่าหากเขาไม่มีปัญหา คนอื่นก็ไม่มี
เจียงโม่หานพยักหน้าแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงมุมฝั่งหนึ่งที่สามารถนั่งได้ 7 คน พวกเขาสั่งต้มเลือดหม่าล่า เนื้อแล่ต้ม หมูสองไฟ ไก่เผ็ด ปลาห้าสหายและยังมีซี่โครงซอสถั่วเหลืองแบบทางเหนืออีกหนึ่งจาน ปริมาณที่ให้มาถือว่าเยอะมาก คนทั้งโต๊ะจึงได้กินอย่างอิ่มหนำ
น่าเสียดายที่หยางยี่หรานกินเผ็ดไม่ได้ เขาจึงต้องกินข้าวคำหนึ่งตามด้วยกินน้ำตามหนึ่งอึก กินจนน้ำมูกน้ำตาไหล ทั้งแสบลิ้นแต่ก็มีความสุข ข้าวกินไม่อิ่มแต่ก็ดื่มจนอิ่มเสียก่อน !
หลินจื่อเหยียนวิจารณ์ไก่เผ็ด “ทอดนานไป เนื้อไก่จึงแข็งไปหน่อย มีแค่รสเผ็ด กลิ่นหอมก็น้อย ยังมีหมูสองไฟที่มันเยอะเกินไป ฝีมือยังห่างชั้นจากพี่รองมาก ! พี่เขยรอง ร้านอาหารที่ท่านแนะนำ ฝีมือของพ่อครัวไม่เท่าไรเลย ! ”
ชาติก่อน หลังสอบติดซิ่วไฉแล้ว เจียงโม่หานก็ถูกเชิญมาร่วมกินอาหารที่หอจุ้ยเกาแห่งนี้ คนที่ชอบกินเผ็ดอย่างเขาก็ประหลาดใจกับอาหารเสฉวนของที่นี่มาก พอกลับมาเกิดใหม่แล้วได้กินอาหารของที่นี่อีกครั้ง…ธรรมดาไปหน่อยจริง ๆ
อาจเพราะเมื่อชาติก่อนต้องลำบากมานาน ต้องดิ้นรนอยู่กับความอดอยากและความหนาวเหน็บจึงทำให้เขาไม่เคยได้กินอาหารดี ๆ มาก่อน อาหารของที่นี่จึงกลายเป็นความทรงจำน่าประทับใจที่สุด ในชาตินี้ข้างกายมีสตรีทำอาหารเก่ง นางมักสรรหาวิธีทำอาหารเลิศรสมาให้กินจนรสนิยมการกินของเขาเปลี่ยนไปจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ชอบอาหารเสฉวนของหอจุ้ยเกาอีก…
หลินเว่ยเว่ยกินอย่างเอร็ดอร่อย ชาติก่อนนางเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ว่าอาหารแบบใดก็กินได้อย่างเอร็ดอร่อยทั้งนั้น
แม้ว่าเมิ่งจิ่งหงและหลิ่วจงเทียนจะเคยกินอาหารฝีมือหลินเว่ยเว่ยมาหลายครั้งแล้ว แต่การที่อาหารเสฉวนของหอจุ้ยเกามีชื่อเสียงในเมืองแห่งนี้ มันย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในสายตาของทั้งสองคนคือรสชาติอาหารเสฉวนนี้ถือว่าไม่เลว !
หลังกินไปได้พอสมควรแล้วทุกคนก็เริ่มดื่มชาเพื่อย่อย ที่จริงการนั่งฟังคนอื่นพูดก็สนุกดีเหมือนกัน พวกเขาได้ยินข่าวใหม่พอสมควร เช่น เหมือนว่าลูกค้าโต๊ะข้าง ๆ จะเป็นพ่อค้าและกำลังพูดถึงตลาดการค้าใหญ่แถบชายแดนที่จัดขึ้นปีละครั้ง
เพราะราชวงศ์ใหม่เพิ่งก่อตั้ง เหตุการณ์ภายในยังไม่สงบ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวตงหูรุกล้ำชายแดนเข้ามา ฮ่องเต้จึงเปิดตลาดการค้าข้ามเขตแดนในเขตเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเมืองจงโจวไปทางเหนือประมาณ 100 ลี้ เดือนสองถือเป็นช่วงที่ชาวตงหูขาดแคลนเสบียงอาหาร ตลาดการค้าประจำปีจึงเกิดขึ้น
จากคำพูดของลูกค้าโต๊ะข้าง ๆ จึงทำให้ได้รู้ว่าที่ตลาดแห่งนั้นสามารถแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าของชาวตงหูได้ไม่น้อย อย่างเช่นไข่มุกเม็ดใหญ่กว่าองุ่นชั้นดี รากโสมขนาดเท่าแขนเด็กแล้วก็ยังมีพวกขนสัตว์อันล้ำค่า ผู้คนสามารถนำของมาแลกเปลี่ยนกันได้ หรือจะจ่ายด้วยเงินก็ได้เช่นกัน ทว่าตั๋วแลกเงินไม่ได้เป็นที่ยอมรับของชาวตงหู!
เจียงโม่หานเห็นหลินเว่ยเว่ยฟังอย่างเคลิบเคลิ้มจึงเคาะที่หลังมือนางแล้วถามว่า “ทำไมหรือ ? อยากไปเที่ยวหรือไร ? ”
“มีแต่บัณฑิตน้อยที่รู้ใจข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งปีมีแค่ครั้งเดียว ถ้าพลาดก็น่าเสียดายแย่ ในเวลานี้ของปีหน้าพวกเราน่าจะเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงกันแล้ว ! ไม่รู้ว่าจะยังมีโอกาสได้เห็นตลาดใหญ่ที่ชายแดนอีกหรือไม่ ! ”
‘พวกเรา’ อะไรกัน ? เป็นข้าที่ต้องเข้าสอบต่างหาก เด็กคนนี้ร่าเริงสดใสไม่ยอมปล่อยให้ตนทุกข์ใจ คงไม่ได้คิดจะตามเขาไปที่เมืองหลวงหรอกกระมัง ? หัวใจเปี่ยมความอิสระนี้เกรงว่าแดนเหนือจะกักขังนางไว้ไม่ได้ !
เมื่อนึกถึงความใจกล้าบ้าบิ่นของนาง ถ้าปีนี้ไม่ได้ไป แล้วปีหน้าเกิดอยากไปขึ้นมาก็อาจจะแอบไปที่ชายแดนคนเดียวได้เลย ช่างเถิด เขาติดหนี้นางไว้ ไปเป็นเพื่อนนางสักครั้งก็แล้วกัน อย่างน้อยมีเขาคอยดูแล นางคงไม่ซุกซนมากเกินไป !
เจียงโม่หานถามคนอื่น “พวกเจ้าจะไปเปิดหูเปิดตาที่ตลาดใหญ่ประจำปีในเขตอวี้อันหรือไม่ ? ”
เมิ่งจิ่งหงสนใจอยู่บ้าง แต่หลิ่วจงเทียนเข้ามาห้ามเขาไว้ “เหลือเวลาไม่ถึงสองเดือนก็จะสอบฝู่ซื่อแล้ว พวกเราไม่ไปด้วยดีกว่า”
[i]
1 เทพเซียนเข้าสู่ห้วงฝัน เปรียบเปรยถึงการนอนหลับฝันดี หลับสบาย หลับลึก