หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 411 อวี้สื่อตงฉินปะทะโฉวฝู่อำมหิต
ตอนที่ 411 อวี้สื่อตงฉินปะทะโฉวฝู่อำมหิต
เจียงโม่หานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เอาเป็น…อาหารชนิดใหม่ที่เจ้ายังไม่เคยทำแล้วกัน ? ”
ในช่วงมากกว่าครึ่งปีที่ผ่านมานี้ อาหารที่นางทำมีจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วจะไม่มีอาหารชนิดใหม่อยู่เลยหรือ…หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วและพยายามคิดอย่างหนัก จนท้ายที่สุดก็ทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น…ทำไก่สามถ้วยดีหรือไม่ ? ”
ไก่สามถ้วย ? ใช้ถ้วยใส่ ? นี่เป็นชื่ออาหารที่เจียงโม่หานไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาจึงมีความอยากรู้สุด ๆ “ตกลง ! ”
บัณฑิตในชุดฮั่นฝูที่ฟังพวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ด้านข้างก็เข้ามาดึงแขนเสื้อหลินจื่อเหยียนเบา ๆ พร้อมกระซิบถามว่า “อาหารที่พวกเจ้าเอ่ยถึงนี้…พี่รองของเจ้าทำได้หมดเลยหรือ ? ”
“แน่นอน ! ” หลินจื่อเหยียนภาคภูมิใจสุด ๆ แม้ว่าเขาจะโดนพี่รองกลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังภาคภูมิใจในตัวพี่สาว…นางเป็นคนร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า !
“ข้ามีนามว่าหยานจิงหยู อายุ 18 ปีและตอนนี้อาศัยอยู่ที่เมืองหลวง กลับมาบ้านเกิดคราวนี้เพื่อเข้าร่วมการสอบจอหงวน ข้าอยู่ที่เมืองหลวงมานานหลายปีและเรียกตัวเองว่าเป็นนักชิมอาหารเลิศรส แต่ไม่เคยได้ยิน ‘ไก่สามถ้วย’ มาก่อน ช่างน่าละอายใจเหลือเกิน ! ” บัณฑิตในชุดฮั่นฝูแนะนำตัวกับหลินจื่อเหยียน
หลินจื่อเหยียนรีบทำมือคารวะ “พี่หยานให้เกียรติแล้ว ข้ามีนามว่าหลินจื่อเหยียน อายุ 14 ปีเป็นชาวเขตเริ่นอันของอำเภอเป่าชิง ส่วนเจ้า ‘ไก่สามถ้วย’ นี้ พี่สาวข้ายังไม่เคยทำให้กิน ข้าเองก็เป็นเหมือนพี่หยานที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”
“พูดถึงหมูตงพอ หอเต๋อเยว่ที่เมืองหลวงทำได้มีรสชาติดั้งเดิมที่สุด หากน้องชายหลินมีโอกาสได้ไปที่เมืองหลวง ข้าจะเลี้ยงเอง เจ้าจะได้ชิมอาหารจากฝีมือพ่อครัวในเมืองหลวง…”
พอเอ่ยถึงอาหารเลิศรส ทั้งสองคนก็สนทนากันอย่างเข้าขาทันที พูดถึงตั้งแต่อาหารซูโจวไปจนเสฉวน จากเสฉวนไปถึงเจียงซู ยิ่งคุยยิ่งสนุก ยิ่งคุยก็ยิ่งหิว…
หลินเว่ยเว่ยมองทั้งสองคนอย่างหมดคำจะเอ่ย จากนั้นนางพูดกับหลินจื่อเหยียนว่า “พวกเราจะไปซื้อของมาทำอาหารกัน เจ้าลองถามสหายใหม่คนนี้ว่าต้องการไปด้วยหรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนยังไม่ทันได้ถาม หยานจิงหยูก็ทำมือคารวะนางแล้วพูดว่า “ในเมื่อกู่เหนียงเชิญจากใจจริง ข้าก็ขอน้อมรับไว้ ! ”
เจียงโม่หานหมดคำจะกล่าว
หยานจิงหยู บุรุษผู้นี้เขารู้จักดี ! หรือเรียกได้ว่าคุ้นเคยยิ่งกว่าอะไร ! ศัตรูคู่อาฆาต ศัตรูในราชสำนัก อวี้สื่อ1ตงฉินแห่งราชสำนัก ขุนนางที่กล้าสู้ตายกับเขา ! แม้ว่าท้ายที่สุดเขาจะวางอุบายกำจัดเจ้านี่ได้ แต่ภายในใจก็ยังรู้สึกชื่นชมคนซื่อตรงเช่นนี้อยู่บ้าง
คาดไม่ถึงว่าอวี้สื่อตงฉินและโฉวฝู่อำมหิตของโลกใบนี้จะได้มาพบกันในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่ออวี้สื่อผู้ซื่อตรงไร้หมวกขุนนางก็เป็นแค่นักกินที่เดินต่อไม่ไหวยามเห็นอาหารเลิศรส !
เจียงโม่หานยิ้มในใจและส่ายหน้าไปมา…ส่วนโฉวฝู่อำมหิตอย่างตนก็เป็นเพียงบัณฑิตถงเซิงที่เฉิดฉายคนหนึ่ง ?
อวี้สื่อตงฉิน ? โฉวฝู่อำมหิต ? หากหลินเว่ยเว่ยรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ นางจะต้องนึกถึงละครฉากใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความรักและการฆาตกรรมแน่นอน !
“บัณฑิตน้อย เจ้าส่ายหน้าทำไม ? ” หลินเว่ยเว่ยมองเขาด้วยความงุนงงและรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ได้จากมุมปากที่ยกยิ้ม
คนอื่นก็หันไปมองตาม หลินจื่อเหยียนเริ่มประหม่าทันที ว่าที่พี่เขยรอง ท่านคงไม่ได้โกรธที่ข้าชวนสหายใหม่ไปด้วยหรอกกระมัง ?
แต่หยานจิงหยูหันมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายและพูดเบา ๆ ว่า “น้องชายหลิน ว่าที่พี่เขยรองของเจ้าเป็นคนที่ดูมีความสามารถใช้ได้ ! ”
หลินจื่อเหยียนเงยหน้ามองเจียงโม่หานแล้วกระซิบตอบเบา ๆ เช่นกัน “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะคู่ควรกับพี่รองของข้าหรือ ? ”
มุมปากของหยานจิงหยูกระตุก เขาอยากจะพูดว่า…ตอนนี้พี่รองของเจ้าต่างหากที่ไม่คู่ควรกับอีกฝ่าย ทว่าก็ไม่พูดออกมา…เพราะเขากลัวจะโดนรุมกระทืบ !
หลังจากซื้อวัตถุดิบเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็พาบัณฑิตที่แสนจะสะดุดตากลุ่มนี้กลับบ้านเช่าด้วยความภาคภูมิใจ อารมณ์ประมาณว่าเดินเชิดหน้าหลังตั้งตรง ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ามันดูมีความเปล่งประกายมากเพียงใด !
สาเหตุที่ทำให้สะดุดตา ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาและบุคลิกของบัณฑิตเหล่านี้ แต่ยัง…เป็นเพราะวัตถุดิบที่ถือจนเต็มสองมือของพวกเขาอีกด้วย ความงามที่เปล่งประกายและความเป็นปัญญาชนจึงดูมีความติดดินแฝงเข้ามาทันที
หยานจิงหยูก็ตามกลับมาที่บ้านเช่า เมื่อได้สนทนากับเจียงโม่หานแล้ว เขาก็มีความรู้สึกเหมือนได้สนทนากับผู้อาวุโสที่มากวิชาความรู้ คล้ายว่า ‘ฟังปราชญ์เอ่ยเพียงชั่วระยะก็เหมือนได้อ่านตำรานับสิบปี’ หยานจิงหยูยากที่จะทำใจจากไป !
โดยเฉพาะ…กลิ่นหอมหวนที่ลอยมาจากห้องครัว มันช่างเย้ายวนจนเหมือนมัดสองขาเอาไว้ คำสั่งสอนของครอบครัวและกฎมารยาทบอกเขาว่าควรบอกลาได้แล้ว แต่ภายในใจของเขาเหมือนมีมือเข้ามาจับไว้จนแน่น
ตอนที่เขากำลังต่อสู้ดิ้นรนกับจิตใจอย่างหนัก ท้ายที่สุดเขาก็กัดฟันเลือกที่จะอำลาออกมา แต่โดนหลินจื่อเหยียนชวนให้อยู่ต่อ…จะอยู่หรือจะไป ? ในเวลานี้เหมือนมีคนกำลังเล่นกับจิตใจเขาไปมาไม่หยุด
“จะไปได้อย่างไร ? อาหารก็เสร็จหมดแล้ว หากท่านก้าวเท้าออกไปก็ไม่เท่าเป็นการตบหน้าพวกเราหรือ ? ทำไม ? อาหารของพวกเราไม่เข้าตาคุณชายหยานเลยสิท่า ? ” หลินเว่ยเว่ยยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วเข้ามา พวกบัณฑิตที่พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่ก็รีบลุกขึ้นเพื่อขยับเก้าอี้เข้ามา จากนั้นวางตะเกียบ วางถ้วยชาม…
“มะ…ไม่ใช่อย่างนั้น ! ” หยานจิงหยูมองปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวานที่ดูน่าอร่อย มันดูเย้ายวนยิ่งกว่าของที่เคยกินในเมืองหลวง เท้าจึงขยับไม่ไหวกว่าเดิม แต่ว่า…เขาเพิ่งเจอกับคนพวกนี้ยังไม่ถึงวันและยังมาพร้อมมือเปล่า หากไม่ยอมจากไป…แล้วท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้าก็จะต้องหยิบไม้มาโบยเขาอย่างแน่นอน…มารยาทที่เรียนมาในช่วงหลายปีนี้หายเข้าท้องสุนัขไปหมดแล้วหรือ ?
“ไม่ใช่ก็ดี ! คนบ้านป่าบ้านเขาอย่างพวกเราไม่พูดอะไรจอมปลอมเหล่านั้น เทียบเชิญรึจะสู้พรหมลิขิต วันนี้คุณชายหยานได้มานั่งกับพวกเราจะต้องเป็นเพราะมีวาสนาต่อกัน มาเถิด เพื่อวาสนาในวันนี้พวกเรามาดื่มกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยหยิบสุราองุ่นออกมา…ครึ่งเดือนต่อจากนี้เหล่าบัณฑิตอาจจะต้องสอบระดับเยวี่ยนซื่อ !
หยานจิงหยูถูกเมิ่งจิ่งหงจับตัวให้มานั่งเก้าอี้ หลินจื่อเหยียนและหลิ่วจงเทียนวิ่งไปยกอาหารที่เหลือในครัวออกมา ส่วนหยางยี่หรานที่กินยาและได้นอนไปหนึ่งงีบก็มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น เขาช่วยรินสุราองุ่นให้ทุกคน
หลินเว่ยเว่ยช่วยเปลี่ยนสุราเป็นน้ำผลไม้ให้เขาแทน “ดื่มยาแล้วจะดื่มสุราไม่ได้ ! ”
ต่อจากนั้นทุกคนก็เริ่มชนจอกสุราและดื่มจนหมดจอกในคราเดียว สุราองุ่นทั้งหวาน กลมกล่อมและยังมีกลิ่นหอมของผลไม้ กอปรกับอาหารแสนโอชะบนโต๊ะแล้ว พวกบัณฑิตที่เคยเคร่งเครียดกับการสอบเมื่อครู่ก็เริ่มปล่อยวาง พวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อยและยังเล่นท้าดื่มกันอีกด้วย
หลินเว่ยเว่ยคีบไก่สามถ้วยให้เจียงโม่หาน “ลองชิมสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร”
เดิมทีไก่สามถ้วยเป็นอาหารท้องถิ่นของมณฑลเจียงซี ต่อมาได้รับความนิยมในไต้หวันจนกลายเป็นอาหารขึ้นชื่ออย่างหนึ่ง อาหารจานนี้ทำจากเนื้อส่วนน่องและปีกไก่ พอนำมาหมักแล้วก็ทอดให้เหลืองทอง จากนั้นก็ปรุงรสด้วยซอสอีกสามถ้วย…ได้แก่ สุราข้าวหนึ่งถ้วย น้ำมันหมูหนึ่งถ้วยและซอสถั่วเหลืองอีกหนึ่งถ้วย จึงได้ออกมาเป็นชื่อ ไก่สามถ้วย
เจียงโม่หานลองชิมอย่างละเลียดแล้วจึงบรรยายให้นางฟัง “หวานและเค็ม ในความเค็มยังมีความสดใหม่ เนื้อหอม รสชาติเข้มข้น รสชาติจะค่อย ๆ เด่นชัดหลังจากกินไปพักหนึ่ง ! ” หลินเว่ยเว่ยฟังแล้วยิ้มหน้าบานทันที !
หยานจิงหยูก็พยักหน้าตาม “เนื้อสัมผัสนุ่มลิ้น ยิ่งเคี้ยวยิ่งเพลิน ! เยี่ยม ยอดเยี่ยม ! หลินกู่เหนียง ต้องลำบากท่านแล้ว จิงหยูขอดื่มคารวะแก่ท่านหนึ่งจอก ! ”
[i]
1 อวี้สื่อ คือ ตำแหน่งขุนนางฝ่ายตรวจการ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการชั้นสูง ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้