หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 430 หากรู้ไม่จริงก็อย่าพูด
ตอนที่ 430 หากรู้ไม่จริงก็อย่าพูด
เจ้านกแก้วน้อยจิกมือของหลู่ซวนที่ยื่นเข้ามา “เอามือเหม็น ๆ ออกไป เจ้าอ้วน ! ”
หลู่ซวนไม่ชอบให้คนอื่นว่าเขาอ้วนจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ทันที “สัตว์เลี้ยงก็เหมือนเจ้านาย นกแก้วเน่า ๆ ตัวนี้ น่าเกลียดเหมือนหลินจื่อถิงไม่มีผิด ! ”
“เจ้าสิน่าเกลียด น่าเกลียดทั้งบ้าน ! ” หงส์ทองเริ่มเปิดโหมดทะเลาะวิวาท
แม้ฉิงจิ้งหยูจะดูเหมือนผู้ใหญ่ในคราบเด็ก แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังเป็นแค่เด็กอายุ 8 ขวบ ขณะมองเจ้านกน้อยต่อปากต่อคำ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบเมล็ดสนปากอ้าในกระเป๋าห้อยเอวออกมาแล้วยื่นไปที่จะงอยปากของมัน “หากเลี้ยงเมล็ดสน เจ้าจะให้ข้าจับหรือไม่ ? ”
หงส์แดงบินไปเกาะที่มือเขาอย่างถ่อมตน หลังจิกกินเมล็ดสนแล้วก็พ่นน้ำเสียงรังเกียจออกมา “เมล็ดสนชั้นต่ำ ไม่อร่อยสักนิด ! ”
เมล็ดสนที่หลินเว่ยเว่ยใช้ป้อนมัน เป็นของที่เก็บไว้ในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณย่อมเจือปนไปด้วยพลังวิญญาณ ไม่ว่าด้านรสชาติหรือคุณค่าทางโภชนาการก็เหนือกว่าเมล็ดสนทั่วไป
หลังยื่นจะงอยปากมาจิกกินแล้ว เจ้าตัวแสบก็ไม่ไยดีอีก มันรีบบินกลับไปที่หลังมือของเจ้าหนูน้อยทันที จากนั้นก็ฟ้องเขาว่า “เจ้าดำรังแกคนอื่น เจ้าหนูน้อยต้องสั่งสอนมัน ! ”
หลู่ซวนถามด้วยความสงสัย “เจ้าดำเป็นใคร ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเจ้ามีน้องชาย ! ”
วังตงเฉียงหัวเราะฮ่าฮ่า “เจ้าดำเป็นหมาป่าที่บ้านของหลินจื่อถิงเลี้ยงไว้ พูดกันว่ามันมีสายเลือดหมาป่าอยู่ในกาย เจ้าดำล่าสัตว์ได้เก่งมาก คราวก่อนก็เพิ่งล่ากวางดาวกลับมาได้หนึ่งตัว ! ”
“ว้าว! ข้าได้ยินว่าบุตรชายจวนขุนนางชั้นสูงชอบเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่เพราะมันเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์ได้ดี หลินจื่อถิง คาดไม่ถึงเลยว่าบ้านของเจ้าก็มีด้วย…เจ้าดำของบ้านเจ้าเป็นตัวเมียหรือตัวผู้ ? ถ้าคลอดลูกออกมาแล้วช่วยยกให้ข้าสักตัวได้หรือเปล่า ? ” หลู่ซวนมองเจ้าหนูน้อยด้วยดวงตาเป็นประกาย ดูเหมือนอารมณ์บูดบึ้งเมื่อครู่จะถูกโยนทิ้งไปหมดแล้ว ฉิงจิ้งหยูส่ายหน้าพลางถอนหายใจด้วยความระอา !
เมื่อรถม้าเข้ามายังหน้าหมู่บ้าน กลุ่มเด็กน้อยที่ปีนขึ้นไปรูดฝักของต้นอวี๋เก่าแก่ก็กระโดดลงมาแล้วไปต้อนรับพวกเขา คนที่วิ่งนำหน้าสุดคือมู่เกินเอ๋อร์ หญ้าที่เขาเกี่ยวสามารถแลกเนื้อได้แล้วเขาจึงดูมีมารยาทมากเป็นพิเศษ !
“เอ้อร์ฮว๋า เจ้ากลับมาแล้วหรือ…เจ้าอยากได้ฝักต้นอวี๋นี้หรือไม่ ? เอาไปให้พี่รองหลินทำให้เจ้ากิน ถ้าเอามันคลุกกับแป้งข้าวโพดแล้วใส่น้ำมันงาก็จะอร่อยมากเลย ! ” มู่เกินเอ๋อร์ยื่นฝักต้นอวี๋ที่เก็บมาให้เจ้าหนูน้อย
เจ้าหนูน้อยรับไว้อย่างไม่เกรงใจ “ดี ! รอให้ทำเสร็จแล้ว ข้าจะเอาไปให้บ้านเจ้าสองชาม ! ”
มู่เกินเอ๋อร์ยิ้มและเกาศีรษะ สุดท้ายเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คือว่า ข้ากับโก่วเชิ่งเอ๋อร์เกี่ยวหญ้ากระต่ายจนครบกำหนดแลกเนื้อได้แล้ว…” เมื่อครู่ตอนเดินผ่านบ้านสกุลหลิน เขาได้กลิ่นหอมของเนื้อแสนเย้ายวนลอยออกมา…เย็นนี้บ้านสกุลหลินต้องทำของอร่อยอีกแน่นอน !
เขาเหลือบมองคุณชายหน้าตาไม่คุ้นทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้าหนูน้อย…ที่แท้ก็มีแขกมาเยือน อาหารในคืนนี้จะต้องอลังการแน่นอน ! มู่เกินเอ๋อร์แอบกลืนน้ำลายอย่างกระหายอยากพร้อมดวงตาที่แฝงไปด้วยการตั้งตารอและความคาดหวัง !
เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “ได้สิ! พวกเจ้าจะแลกวันนี้เลยหรือ ? ประเดี๋ยวข้าจะดูว่าพี่รองทำอะไรไว้…วางใจได้ ไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเปรียบแน่นอน ! ”
ในเวลานี้ความสนใจของหลู่ซวนได้ไปอยู่ที่ต้นอวี๋อายุประมาณหนึ่งร้อยปี…ลำต้นหนาจนต้องใช้เด็กหลายคนโอบ ยอดสูงปกคลุมท้องฟ้า บนต้นเต็มไปด้วยฝักและส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา ว้าว ! เขาไม่เคยเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน…
เจ้าหนูน้อยเล่าให้ฟัง “ได้ยินท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าต้นอวี๋ที่เก่าแก่ต้นนี้เคยช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านไว้! เมื่อ 5 ปีก่อนคนในหมู่ทนทุกข์ต่อความอดอยาก พวกเขาล้วนพึ่งพาฝักของต้นไม้นี้ประทังชีวิตจนผ่านไปถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวครั้งใหม่…”
หลู่ซวนนึกถึงความรุนแรงของภัยแล้งในปีที่แล้วและปีนี้จึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น…ตอนนี้หมู่บ้านของพวกเจ้าก็พึ่งพาฝักต้นอวี๋เพื่อเอาชีวิตรอดน่ะหรือ ? ”
วังตงเฉียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเราพึ่งพาป่าเขา ! ในหุบเขามีผักป่านานาชนิด สดใหม่มากเลยล่ะ พอเก็บกลับมาก็สามารถเอาไปต้มกินกับน้ำพริก หรือจะเอาไปทำเป็นซาลาเปาไส้ผัก หรือเอาไปต้ม…
ถ้ามีฝนตกก็ยังเก็บพวกตะไคร่ เห็ดหูหนู เห็ดป่า ผัดกูดแล้วก็ของป่าต่าง ๆ ไม่เพียงเก็บไว้กินเอง แต่ยังเอาไปขายที่เขตเริ่นอันได้ด้วย
เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เมล็ดสน เมล็ดต้นเจิน ถั่วสมองและผลไม้ต่างๆ ในป่าจะสุกงอม…ขอเพียงไม่เกียจคร้าน เงินจากการเก็บของป่าในฤดูใบไม้ผลิจะใช้เลี้ยงคนในครอบครัวได้อย่างสบาย ! จริงสิ เมล็ดสนปากอ้าที่พวกเจ้ากินก็ผลิตจากโรงงานของหมู่บ้านเรา ! ”
หลู่ซวนพูดด้วยความหลงใหล “ดีจัง…หลินจื่อถิง รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้าตามพวกเจ้าไปเก็บของป่าได้หรือไม่ ? ”
เจ้าหนูน้อยมองเขา ก่อนจะส่ายหน้า “ขึ้นเขาเก็บของป่า ผู้ใหญ่ยังเดินกันตั้งครึ่งค่อนวัน เด็กอย่างพวกเราไปด้วยก็เป็นแค่ตัวถ่วง ถ้าเจ้าอยากสัมผัสชีวิตในหุบเขา พรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปเกี่ยวหญ้าให้กระต่ายและเก็บผักป่า ถ้าโชคดีก็อาจเจอเหยื่อที่มาติดกับดักที่พี่รองวางไว้ ! ”
หลู่ซวนมองเจ้าหนูน้อยด้วยดวงตาเปล่งประกายอีกครั้ง “พี่รองของเจ้าล่าสัตว์เป็นจริงหรือ ? ”
เจ้าหนูน้อยพยักหน้าพร้อมเผยแววตาแห่งความภาคภูมิใจ “พี่รองของข้าร้ายกาจมากเลยล่ะ ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ ! เมื่อก่อนบ้านข้าไม่มีแม้แต่ข้าวกิน พี่รองก็ขึ้นเขาไปล่าหมูป่า ขายหมูป่าตัวหนึ่งให้ร้านอาหารในเขตเริ่นอัน ได้เงินกลับมาหลายตำลึงเชียวล่ะ ! ”
“ว้าว ! หลินจื่อถิง พรุ่งนี้ให้พี่รองของเจ้าพาเราไปล่าสัตว์ได้หรือไม่ ? ” หลู่ซวนพุ่งเข้าหาเจ้าหนูน้อยแล้วมองเขาด้วยดวงตาที่สุกสกาวเหมือนดวงดาว
เจ้าหนูน้อยมีสีหน้ามืดครึ้มทันที “เจ้าคิดว่าหมูป่าเชื่องเหมือนหมูที่เลี้ยงไว้หรือไร ? มันเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต ! ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน หมูป่าลงจากเขาและเกือบทำร้ายผู้คน ! อีกอย่างคือหมูป่าที่อยู่ในหุบเขาก็โดนพี่รองล่าไปพอสมควรแล้ว ถ้าจะล่าหมูป่าต้องเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา เจ้าไม่กลัวไปเจอเสือและหมีควายหรืออย่างไร ? ”
หลู่ซวนส่ายหน้า “ไม่กลัว ก็ไม่ได้มีพี่รองของเราอยู่หรือ ! ”
เจ้าหนูน้อยเหลือบมองเขา “ตอนนี้เจ้ายอมเชื่อแล้วหรือ ? ไม่กลัวข้าคุยโวเพื่อหลอกเจ้าแล้วหรือไร ? ”
เมื่อดูจากท่าทางของเด็กทั้งหลายในหมู่บ้านแล้ว หลู่ซวนก็รู้ว่าเจ้าหนูน้อยไม่ใช่คนพูดจาเหลวไหล ลูกผู้ชายยืดได้ก็หดได้1 เขาพูดด้วยความจริงใจ “ข้าขอโทษได้หรือไม่ ? ”
“หากรู้ไม่จริงก็อย่าพูด ! จำคำพูดนี้ไว้ ! ” เจ้าหนูน้อยแกล้งทำตัวสุขุม
เจ้าดำมารอรับเจ้าหนูน้อยที่หน้าหมู่บ้านทุกวัน มันเห็นเจ้าหนูน้อยโดนเด็กในหมู่บ้านล้อมจากระยะไกลจึงรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยความดีใจ…
“หมาป่า ! หมาป่ามาแล้ว ! ” หลู่ซวนเห็นตัวที่กำลังวิ่งเข้ามาทางพวกตนจึงหน้าถอดสีและรีบดึงตัวเจ้าหนูน้อยก้าวถอยหลังออกไปทันที
เจ้าดำยกตัวขึ้นโดยใช้อุ้งเท้าหน้าสองข้างวางไว้บนไหล่ของเจ้าหนูน้อยและใช้ลิ้นของมันเลียหน้าเลียตาของเขา เจ้าหนูน้อยถูกแรงผลักของเจ้าดำทำให้ถอยไปหลายก้าว กว่าจะกลับมาตั้งหลักยืนให้มั่นคงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงดุมันทันที “เจ้าดำ เจ้าตัวหนักขนาดไหนยังไม่รู้ตัวอีก ! ยังคิดว่าตนเป็นลูกสุนัขที่ข้าอุ้มไหวอยู่อีกหรือ ? ต่อไปห้ามกระโจนใส่คนแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่า ? ”
“หงิง…” ราวกับเจ้าดำเข้าใจคำดุของอีกฝ่าย หูทั้งสองข้างจึงลู่ลงและทำหน้าตาเศร้าสร้อย
“แค่กแค่ก ! ที่แท้ก็คือเจ้าดำนี่เอง…” หลู่ซวนรู้สึกอายต่ออาการตื่นตกใจของตนจึงเอื้อมมือหมายจะลูบเจ้าดำ ทว่าต้องรีบชักมือกลับเพราะเจ้าดำแยกเขี้ยวขู่ทันที
[i]
1 ลูกผู้ชายยืดได้ก็หดได้ เปรียบเปรยว่า ลูกผู้ชายต้องยืดอกเชิดหน้าอย่างมีเกียรติและปล่อยวางทิฐิได้เช่นกัน