หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 432 เริ่มอยากเป็นคนชนบทบ้างแล้ว
ตอนที่ 432 เริ่มอยากเป็นคนชนบทบ้างแล้ว
สิ่งที่เจ้าหนูน้อยเป็นห่วงที่สุดคือกระต่ายในคอกของตน แม้ว่าจะยกให้มู่เกินเอ๋อร์สองพี่น้องดูแลแล้ว เขาก็ยังไม่วางใจจึงเข้าไปตรวจดูทุกวันหลังเลิกเรียน
“ไปเถิด ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูกระต่ายที่เลี้ยงไว้ ! ” เจ้าหนูน้อยยัดขนมข้าวซอยตัดใส่มือหลู่ซวนและฉิงจิ้งหยูคนละหนึ่งชิ้น จากนั้นก็พาทั้งสองมายังสวนหลังบ้าน
ในคอกกระต่าย เสี่ยวร่างได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังให้หญ้าสดกับพวกมันอยู่ มุมหนึ่งของลานหลังบ้านเต็มไปด้วยหญ้ากระต่ายสดใหม่…เห็นได้ชัดว่าพวกมู่เกินเอ๋อร์ไม่ได้แอบอู้งาน
ขณะมองกระต่ายที่วิ่งกระโดดไปมาเต็มคอก หลู่ซวนก็กัดข้าวซอยตัดในมือด้วยความประหลาดใจ “หลินจื่อถิง บ้านเจ้าเลี้ยงกระต่ายเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ! อย่างน้อยก็น่าจะมีหนึ่งถึงสองร้อยตัวได้กระมัง ? ”
เจ้าหนูน้อยยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “กระต่ายที่โตเต็มวัยมี 84 ตัว พวกที่กำลังจะโตอีก 152 ตัวและยังมีลูกกระต่ายที่เพิ่งคลอดใหม่อีกหลายสิบครอก…”
หลู่ซวนอ้าปากค้าง “กระต่ายเยอะแยะมากมายขนาดนี้ พวกเจ้ากินหมด…”
เจ้าหนูน้อยยิ้มจนตาหยี “กระต่ายส่วนใหญ่จะเอาไว้ทำเนื้อกระต่ายเส้น คอกที่พวกเรายืนอยู่มีกระต่ายน้ำหนักสูงสุดเจ็ดถึงแปดชั่ง แค่ตัวเดียวก็ทำเนื้อกระต่ายเส้นออกมาได้ถึง 3 ชั่ง ! ”
หลู่ซวนคำนวณในใจ “ว้าว ! ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่ากระต่ายหนึ่งตัวจะทำเงินหกตำลึงใช่หรือเปล่า ? หลินจื่อถิง บ้านพวกเจ้ามีเงินเยอะมาก…” กระต่ายตัวเดียวขายได้เงิน 6 ตำลึง กระต่าย 200 กว่าตัวก็เป็นเงินมากถึง 1,200 กว่าตำลึง !
บ้านของตนกับบ้านสกุลฉิงก็ถือว่ามีฐานะดีในเขตเริ่นอันแล้ว แต่ในหนึ่งปีบ้านพวกตนก็ยังไม่สามารถหาเงินได้มากขนาดนี้…
เฮอะ เฮอะ พวกสหายที่มีตาแต่ไร้แววในชั้นเรียนเหล่านั้นยังกล้าดูถูกหลินจื่อถิงว่าเป็นเด็กบ้านนอก โดยไม่รู้เลยว่าเด็กบ้านนอกแค่เลี้ยงกระต่ายก็มีรายได้เท่ากับเงินที่ครอบครัวในเมืองของตนใช้เวลาหานานหลายปี มีสิ่งใดให้น่าทำตัวเย่อหยิ่งกันเล่า?
เจ้าหนูน้อยส่ายหน้า “ราคาที่เจ้าพูดเป็นราคาขายปลีกของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ ทว่าราคาขายส่งของเราไม่ได้สูงถึงขนาดนั้น…”
ฉิงจิ้งหยูถาม “กระต่ายหนึ่งตัวต้องใช้เวลาเลี้ยงนานเท่าไร ? ”
เจ้าหนูน้อยครุ่นคิดแล้วชี้ไปยังกระต่ายตัวใหญ่ที่ออกจากบ้านกระต่ายได้แล้ว “ประมาณสามถึงสี่เดือนได้กระมัง ? เจ้าพวกนี้เกิดในเดือนแรกและผสมพันธุ์กันในครอก ต้องใช้เวลาเลี้ยงประมาณหนึ่งเดือนกว่าแล้วถึงจะปล่อยออกมาได้ ตอนนี้อายุสามเดือนกว่าแล้ว ! ”
หลู่ซวนตาโตกว่าเดิมทันที “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็จะเลี้ยงกระต่ายได้สามครั้งต่อหนึ่งปี ได้กระต่ายประมาณ 600 กว่าตัว…” สวรรค์ ! อยู่ในชนบทแล้วหาเงินง่ายขนาดนี้เลยหรือ ? เขาจะกลับไปโน้มน้าวบิดามารดาให้มาซื้อที่ดินทางนี้เพื่อเลี้ยงกระต่ายบ้างดีหรือไม่ ?
เจ้าหนูน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รองบอกว่ารอให้ผ่านไปอีกสองสามวันก็จะทำสวนหลังบ้านเป็นคอกกระต่ายให้หมด พอทำแบบนั้นแล้ว ข้าก็จะเลี้ยงกระต่ายได้มากกว่าเดิม ! ปีก่อนเพิ่งเริ่มเลี้ยง ยังไม่มีประสบการณ์มากมาย ปีนี้พอจะเลี้ยงเป็นคอกใหญ่ได้แล้ว…เมื่อเป็นแบบนี้ เนื้อกระต่ายเส้นก็จะไม่เป็นสินค้าขาดตลาดในฤดูหนาวอีก ! ”
“ดีจัง ! ” หลู่ซวนนึกถึงช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา นอกจากเมล็ดสนปากอ้าและเนื้อแผ่นแล้ว ก็หาซื้อของกินเล่นอย่างอื่นไม่ได้อีกเลย ในฤดูหนาวจึงไม่ได้เคี้ยวขนมแก้เบื่อ !
“อีกไม่นานข้าต้องจ้างคนมาช่วยเกี่ยวหญ้ากระต่ายเพิ่ม ! ” เจ้าหนูน้อยบ่นพึมพำกับตัวเอง
หลู่ซวนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที “เจ้าจ้างคนมาเกี่ยวหญ้ากระต่าย ? กระต่ายเหล่านี้ไม่ใช่กิจการของบ้านเจ้าเองหรือ ? แล้วเหตุใดยังต้องให้เด็กอย่างเจ้ามาค่อยกังวลด้วย ? ”
เจ้าหนูน้อยฉีกยิ้มยิงฟันให้อีกฝ่าย “ไม่ใช่ ! กระต่ายเหล่านี้เป็นกิจการของข้า การเกี่ยวหญ้ากระต่ายและเงินจ้างคนทำเนื้อกระต่ายเส้นก็ล้วนมาจากบัญชีส่วนตัวของข้า…แน่นอนว่ากำไรที่ได้จากกระต่ายทุกตัวก็ต้องคืนมาเป็นของข้าคนเดียว ! ”
ข้าวซอยตัดที่ยังไม่ได้กลืนลงคอของหลู่ซวนร่วงออกจากปากทันที ทันใดนั้นกระต่ายวัยกำลังโตตัวหนึ่งก็เข้ามาฉกไปกินอย่างรวดเร็ว เจ้าหนูน้อยรีบดันคางของเขาขึ้น ไม่อย่างนั้นจะตกใจจนกรามหล่นไปด้วยพอดี
“ไม่ใช่กระมัง ? ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า…ในปีหนึ่งเจ้าจะมีรายได้หลายพันตำลึง ? ” หลู่ซวนคิดว่าแย่แล้ว ! ในหนึ่งเดือนเขาจะได้เงินค่าขนม 5 ตำลึง มันก็มากพอให้เขาเชิดหน้าได้ในสำนักศึกษาแล้ว ทำให้ตัวเองพอใจเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น ใบหน้าอวบอ้วนเล็กน้อยของเขาก็อดไม่ได้ที่จะมีสีแดงก่ำขึ้นมา…ดูหลินจื่อถิงสิ ในกระเป๋ามีเงินอยู่หลายพันตำลึง ทว่ายังถ่อมตนถึงเพียงนี้…ส่วนตัวเอง…ช่างน่าละอายยิ่งนัก ! แต่สิ่งที่ทำให้เขาละอายไปมากกว่านั้นคือเงินที่อีกฝ่ายมีอยู่ในครอบครองยังเป็นเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงอีกด้วย !
เจ้าหนูน้อยโบกมือ “พันตำลึงอะไรกัน เจ้าก็พูดเกินไป…”
“นายน้อย ‘เจ้าหมึกดำ’ คลอดแล้วขอรับ ! คลอดมาตั้ง 10 ตัว ! ” เสี่ยวร่างที่กำลังทำความสะอาดคอกกระต่ายอยู่พลันร้องตะโกนด้วยความดีใจ
เจ้าหนูน้อยคลี่ยิ้มแล้วพูดกับสหายทั้งสองว่า “พวกเจ้าไม่เคยเห็นกระต่ายคลอดลูกเลยใช่หรือไม่ ? ไป ไปดูด้วยกัน ! ”
หลู่ซวนตื่นเต้นมาก ฉิงจิ้งหยูก็อยากเห็น และเมื่อมาถึงคอกกระต่ายแล้ว พวกเขาก็ย่อตัวดูในบ้านกระต่ายชั้นสอง…
“สวรรค์ ! ที่แท้ลูกกระต่ายที่เพิ่งคลอดก็ไม่มีขน ! ตัวแดง ๆ เหมือน…เหมือนลูกหมูน้อย ! ” หลู่ซวนเคยเห็นลูกหมูเกิดใหม่แถวที่นาปล่อยเช่าของครอบครัว คาดไม่ถึงว่าลูกกระต่ายที่เพิ่งคลอดก็จะมีสภาพเหมือนกัน !
เสี่ยวร่างยกตัวลูกกระต่ายที่เพิ่งคลอดไปไว้บนผ้าขนกระต่ายแสนนุ่มนิ่มแล้วหันไปพูดด้วยรอยยิ้ม “ลูกกระต่ายที่เพิ่งคลอดจะไม่มีขน ตัวมีสีแดงก่ำ ต่อจากนั้นอีก 3 วันจึงจะเริ่มมีขนขอรับ” ขณะพูดเขาก็อุ้มลูกกระต่ายที่เริ่มมีขนสีเทาจากครอกข้าง ๆ ขึ้นมา
หลู่ซวนและฉิงจิ้งหยูพุ่งไปที่กระต่ายครอกนั้นและก้มดูลูกกระต่ายด้านใน ลูกกระต่ายตัวเล็กมาก มีขนาดไม่ถึงครึ่งฝ่ามือด้วยซ้ำ ทว่าก็มีขนดกเต็มตัว มีทั้งขนสีดำ สีขาว สีเทาแล้วก็สีเหลืองอ่อน…ลูกกระต่ายน้อยยังไม่ลืมตาและคลานไปดูดนมของแม่กระต่าย !
“น่ารักมาก ! ” หลู่ซวนเอื้อมมือจะไปจับ แต่ก็ต้องชักมือกลับเพราะแม่กระต่ายจ้องเขาตาเขม็ง
เจ้าหนูน้อยยังพาพวกเขาไปดูลูกกระต่ายที่คลอดได้ 10 วัน พวกมันตาเปิดแล้ว ดวงตาสีแดงก่ำ ขนบนตัวดูนุ่มฟู ตัวกลม ๆ เหมือนก้อนไหมพรมไม่มีผิด
หลู่ซวนยื่นมือไปกำหญ้าสดจะมาแกล้งลูกกระต่าย แต่เจ้าหนูน้อยรีบเข้ามาห้ามทันที “ต้องรอให้ครบ 15 วันก่อน ลูกกระต่ายถึงจะกินหญ้าได้นิดหน่อย ถ้าให้กินหญ้าสดเร็วเกินไป พวกมันจะท้องเสีย”
หลู่ซวนรีบเอาหญ้าสดในมือไปป้อนแม่กระต่ายที่กำลังให้นมตัวนั้นและมันก็กินอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนเรียกกินข้าวของหลินเว่ยเว่ยดังมาจากลานหน้าบ้าน
เจ้าหนูน้อยพูดว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้ว ! ไปดูกันเถิดว่าพี่รองเตรียมอาหารชนิดใดไว้ต้อนรับพวกเจ้า ! ”
ขณะยกกระต่ายผัดเผ็ดออกมา หลินเว่ยเว่ยก็มองพวกเด็กทั้งสี่คนที่กำลังออกมาจากสวนหลังบ้าน นางถามด้วยรอยยิ้ม “คนในชนบทอย่างพวกเราไม่มีธรรมเนียมมากมายหรอก ล้วนนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน พวกเจ้าจะกินพร้อมทุกคนหรือจะแยกไปกินในห้องของน้องสี่ ? ”
หลู่ซวนรีบตอบ “ที่บ้านข้าก็นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน ! ”
ฉิงจิ้งหยูพูดตาม “แขกต้องตามใจเจ้าบ้าน…”
เจ้าหนูน้อยหัวเราะคิกคัก “เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วจะแยกกินทำไม ? ทุกคนนั่งล้อมวงกินด้วยกัน คึกคักดีไม่ใช่หรือ ? พี่รอง พรุ่งนี้พวกเรากินหม้อไฟได้หรือเปล่า ? คนเยอะแล้วกินหม้อไฟจึงจะได้บรรยากาศ ! ”
“หม้อไฟ ? อะไรคือหม้อไฟ ? ” หลู่ซวนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น