หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 441 สหายทั้งสองไม่ได้คบหากันอย่างเสียเปล่า
ตอนที่ 441 สหายทั้งสองไม่ได้คบหากันอย่างเสียเปล่า
ตอนที่เจ้าหนูน้อยเอาน้ำผึ้งไปฝากฉิงจิ้งหยูก็ได้ถ่ายทอดคำพูดของพี่รองออกมาอีกรอบ “นี่คือน้ำผสมน้ำผึ้งป่าจากภูเขาต้าชิงของพวกเรา มีสรรพคุณที่ดีต่อคนร่างกายอ่อนแอและยังมีข้อดีด้านอื่น ๆ อีกมากมาย”
ท้ายที่สุดเขายังพูดเสริม “เมื่อก่อนท่านแม่ของข้ามีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเอาเสียเลย พอดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งป่าเป็นประจำแล้วตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ร่างกายแข็งแรงมาตั้งแต่ต้น ต่อไปข้าจะเอามาฝากเจ้าทุกวัน ถ้าเจ้าดื่มไปเรื่อย ๆ แล้ว สุขภาพก็จะต้องดีขึ้นแน่นอน ! ”
หลู่ซวนไม่พอใจขึ้นมาทันที “หลินจื่อถิง เจ้าว่ามา เป็นข้าที่ดีต่อเจ้าหรือฉิงจิ้งหยูดีต่อเจ้ากันแน่ ? เจ้าเอาน้ำผสมน้ำผึ้งป่ามาให้เขาทุกวัน แต่กลับลืมส่วนของข้า ! ”
เจ้าหนูน้อยเหลือบมองร่างกายของอีกฝ่าย “เจ้าแข็งแรงถึงขนาดนี้ ให้ดื่มก็เสียของหมด ถ้าเจ้าไม่อยากดื่มน้ำเปล่าก็เติมน้ำตาลลงไปผสม ! แต่พี่รองบอกว่าเด็กน้อยกินน้ำตาลมากไปแล้วฟันจะผุ ! ”
หลู่ซวนไม่ค่อยพอใจ “เจ้าก็แข็งแรงเหมือนกัน แต่ก็พกมาดื่มเองไม่ใช่หรือ ? ไม่ได้ กระบอกน้ำผึ้งป่าของเจ้าต้องแบ่งกันดื่มคนละครึ่ง…สหายรัก มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ! ”
“เฮอะ ! เจ้าอ้วนหลู่ เจ้าปล่อยให้ตัวเองตกต่ำจนมาคบหากับเด็กชนบทจากหมู่บ้านกลางเขาอย่างฉือหลี่โกว ช่างทำให้นักเรียนในเขตเริ่นอันอย่างเราขายหน้าจริง ๆ ! ”
เด็กชายตัวผอมแห้งและมีใบหน้าเรียวยาวกำลังเหลือบมองหลู่ซวนสหายทั้งห้าด้วยความดูแคลน จังหวะที่นัยน์ตามาหยุดอยู่ที่เจ้าหนูน้อยก็ราวกับว่าเด็กชนบทมีเชื้อโรคอยู่บนตัว เขาจึงรีบละสายตาออกไปทันที
“จางต้าหนิว เจ้าแห้งจาง ! เจ้าก็แค่โชคดีที่ได้เกิดในตัวเมืองไม่ใช่หรือ ? มีสิทธิ์อันใดมาดูถูกคนอื่น ? เป็นเพราะเรียนหนังสือได้ดีกว่าหรือเขียนอักษรได้ดีกว่าหลินจื่อถิงกันเล่า ? ” หลู่ซวนไม่ได้ปกป้องเจ้าหนูน้อยเพราะหวังที่จะได้กินน้ำผึ้งป่า แต่เขาทำเพราะเมื่อพี่น้องสามัคคีแล้ว ผู้ใดก็ทำลายครอบครัวไม่ได้ !
เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกว่าจางต้าหนิวก็ขมวดคิ้วทันที “หลู่ซวน เจ้าเป็นพวกเดียวกับใครกันแน่ ? อย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนในตัวเมือง ! ”
“มีบ้านอยู่ในเมืองแล้วอย่างไร ? เวลานั่งอยู่ในชั้นเรียนก็เป็นศิษย์ของอาจารย์ทั้งสิ้น ไฉนเลยจะแบ่งแยกตัวเมืองกับหมู่บ้านชนบท ? ถ้าเก่งจริงก็แสดงความสามารถออกมาให้เห็นสิ ! ” หลู่ซวนยกมือเท้าสะเอวพลางแบกพุงโต ๆ ของตนเข้าไปขวางอยู่ตรงเบื้องหน้าของเจ้าหนูน้อย
เสี่ยวร่างก็กำหมัดแน่นและเข้าไปยืนตรงเบื้องหน้าของนายน้อยด้วยความประหม่าและหวาดระแวง อีกฝ่ายมีจำนวน 5-6 คน แต่แม้จะหัวแตกเลือดอาบ เขาก็ต้องปกป้องนายน้อยเอาไว้ให้ได้
ฉิงจิ้งหยูดื่มน้ำผสมน้ำผึ้งอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ปิดฝากระบอกไม้ไผ่แล้วเดินไปอยู่ข้างกายหลู่ซวนพลางเผยแววตาเด็ดเดี่ยวออกมาเพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนของตน
จางต้าหนิวออกแรงบีบลูกพลับสุกในมือจนเละ จากนั้นตะโกนใส่เจ้าหนูน้อยว่า “หลินจื่อถิง เจ้าเอายาวิเศษชนิดใดให้ฉิงจิ้งหยูกับหลู่ซวนดื่มจนทำให้พวกเขาออกมาปกป้องเจ้าแบบนี้ ? อ้อ…ข้ารู้แล้ว ตอนกลางวันเจ้าจะแอบกินบางอย่างกับพวกเขาเสมอ เจ้ากำลังเข้าหาพวกเขาอย่างหน้าไม่อายเพียงเพื่อหลอกกิน คนอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาของพวกเรา ? ”
หลู่ซวนชิงพูดก่อนเจ้าหนูน้อย “ก่อนที่เจ้าจะพ่นอุจจาระออกจากปากก็ช่วยตรวจสอบให้ดีก่อนได้หรือเปล่า ? หลินจื่อถิงนำกล่องอาหารมาที่สำนักศึกษาด้วยทุกวัน เจ้าตาบอดหรือไร ? เป็นพวกข้าต่างหากที่ขออาหารจากเขากิน ไม่ใช่เขามาขอจากพวกข้า ! ”
ไฉนเลยจางต้าหนิวจะยอมเชื่อ “แค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งจะไปมีของดีอะไร ? หลู่ซวน หนังหน้าของเจ้ามันหนาเหมือนท้องนั่นแหละ เขาให้ของดีอะไรแก่เจ้ากันแน่ เจ้าถึงได้ยอมปกป้องเขาถึงเพียงนี้ ? ”
ฉิงจิ้งหยูพูดอย่างเหนื่อยหน่าย “เจ้าลองพูดมาสิว่าเหตุใดหลินจื่อถิงไม่มีสิทธิ์เรียนที่นี่ ? หรือเจ้ามองคนที่ฐานะชาติกำเนิด ส่วนเด็กที่โดนอาจารย์ตีมือทุกวันก็ควรได้เรียนอยู่ในสำนักศึกษาด้วยหรือ ?
ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหนึ่งอั้นโฉ่วสามซิ่วไฉของเขตเริ่นอัน มีสองคนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับหลินจื่อถิง นั่นก็คือเจียงอั้นโฉ่วซึ่งเป็นพี่เขยรองของหลินจื่อถิง และหลินจื่อเหยียนซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์เขตเริ่นอันก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของหลินจื่อถิง หากยึดตามข้อโต้แย้งของเจ้าแล้ว เจียงอั้นโฉ่วกับหลินซิ่วไฉก็ไม่คู่ควรมาเรียนที่สำนักศึกษาในเขตนี้ใช่หรือเปล่า ? ”
บัดนี้เจียงอั้นโฉ่วและหลินซิ่วไฉซึ่งมีอายุน้อยที่สุดได้ปรากฏตัวขึ้นที่เขตเริ่นอัน ส่งผลให้ผู้คนในเขตล้วนเอาไปพูดกันปากต่อปาก ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเกียรติอย่างสูง โดยเฉพาะสำนักศึกษาเหวินหยวนที่แม้ว่าจะยังไม่ถึงตอนสมัครเรียนก็มีผู้คนไม่น้อยมาเข้าแถวรอคอยจะได้เข้าศึกษา แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นคนจากตัวอำเภอหรือเขตรอบนอกอีกด้วย…ผู้ใดใช้ให้สำนักศึกษาเหวินหยวนมีศิษย์ที่สอบติดซิ่วไฉตั้ง 4 คนและยังมีอั้นโฉ่วอีกหนึ่งคนภายในปีเดียว ?
ผู้ใดกล้าพูดว่าเจียงอั้นโฉ่วและหลินซิ่วไฉไม่คู่ควรที่จะเรียนในสำนักศึกษาของเขตเริ่นอันก็คงไม่พ้นได้จมกองน้ำลายตาย ? จางต้าหนิวรีบพูด “ข้าไม่ได้ว่าพวกเขาแบบนั้น เจ้าอย่า…บิดเบือนความจริง ! ”
“ถ้าพวกเขาเรียนในตัวเมืองได้ แล้วเหตุใดหลินจื่อถิงที่อยู่ในฐานะน้องภรรยาและน้องชายแท้ ๆ ของพวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เรียน ? ” ฉิงจิ้งหยูเลิกคิ้วพลางย้อนถาม
“ใช่ ใช่ ! จางต้าหนิว เจ้าก็แค่มีฐานะเป็นคนในเมืองไม่ใช่หรือ ? ยังไม่ต้องพูดเรื่องการศึกษา มาพูดแค่เรื่องฐานะทางบ้านก่อน รายได้ของหลินจื่อถิงคนเดียวก็มากกว่าพวกเจ้าทั้งบ้านแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า ? ” หลู่ซวนอดไม่ได้ที่จะโอ้อวดราวกับว่าคนที่มีเงินนับพันตำลึงคือตนเองอย่างไรอย่างนั้น
บ้านของจางต้าหนิวประกอบอาชีพเจ้าของร้านขายของชำ ในเวลาปกติการค้าก็ดำเนินได้ค่อนข้างดี หลังได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “พูดให้มันน้อย ๆ หน่อย ! เขาเป็นแค่เด็กอายุ 7 ขวบ เดือนหนึ่งต้องพึ่งพาเงินค่าขนมที่บ้านให้มา แล้วจะมีรายได้อะไร ? ”
หลู่ซวนเล่าเรื่องเนื้อกระต่ายเส้นรสห้าเครื่องเทศที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้วางจำหน่ายด้วยความภาคภูมิใจ โดยบอกว่ามันทำมาจากเนื้อกระต่ายที่เจ้าหนูน้อยเลี้ยงเองและยังพูดเสริม “แม้ว่าตอนนี้เขาจะเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ แต่ก็จ้างคนช่วยเลี้ยงกระต่ายให้ที่บ้าน ! ร้านขายของชำบ้านเจ้าจะทำใจจ้างคนงานได้หรือไม่ ? อย่างน้อยในมือของเขาก็มีลูกจ้างถึง 2 คนแล้วด้วย ! ”
จางต้าหนิวไม่เชื่อ “เจ้าแซ่หลู่ เจ้าคุยโวให้น้อยหน่อย ! เขาเพิ่งอายุเท่าไรเอง เขาจะมีเงินจ้างคนงานแล้วหรือ ? เหตุใดเจ้าไม่อวดว่าบ้านเขาเหมือนตระกูลหานที่มีโรงงานใหญ่โตไปเลยล่ะ ? ”
สกุลหานเป็นครอบครัวเศรษฐีที่มีชื่อเสียงในเขตเริ่นอันซึ่งมีโรงงานผลิตน้ำมันพืช 2 แห่ง น้ำมันพืชจากโรงงานตระกูลหานมีการส่งออกไปขายไกลถึงตัวเมืองจงโจว !
หลู่ซวนหรี่ตาลง แต่มือยังเท้าสะเอวดังเดิม “เจ้าก็ว่าไป บ้านของเขามีโรงงานจริง ๆ ด้วย โรงงานแปรรูปเมล็ดสนปากอ้า เจ้าเองก็ไม่ได้ชอบกินเมล็ดสนปากอ้ารสนมหรืออย่างไร ? มันเป็นสูตรลับของบ้านเขาเอง แล้วก็ยังมีเนื้อแผ่นกับผลไม้อบแห้งที่ร้านหนิงจี้ก็เป็นผลิตภัณฑ์ของบ้านเขาทั้งสิ้น ! ”
เมื่อเห็นจางต้าหนิวและเด็กไม่กี่คนข้างหลังยังทำหน้าไม่เชื่อ หลู่ซวนจึงรีบดึงพันธมิตรมาเข้าร่วม “ฉิงจิ้งหยู เจ้าบอกพวกเขาไปสิว่าเรื่องที่ข้าพูดเป็นความจริงหรือไม่ ? ถ้าช่วงวันหยุดข้าไม่ได้ไปที่บ้านของหลินจื่อถิง ข้าก็คงไม่เชื่อว่าขนมที่ชอบกินบ่อย ๆ เป็นของที่ผลิตมาจากบ้านเขาเอง ถ้าพวกเจ้ายังไม่เชื่อก็นั่งรถม้าแล้วตามไปดูกับหลินจื่อถิงก็จะเห็นว่ามีรถม้าถึงสองคันขนของมาส่งยังร้านหนิงจี้…”
จางต้าหนิวหันมามองหน้ากับพวกพ้องอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เนื้อแผ่นกับผลไม้อบแห้งที่เรากินเหล่านั้นล้วนขนมาจากชนบท ? ”
“แบ่งแยกชนบทกับในเมืองอะไรกัน ? จางต้าหนิว เจ้าต้องเปลี่ยนทัศนคติ มีคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้สูงศักดิ์มักมีชาติกำเนิดยากจน’ และ ‘หงส์สามารถทะยานออกจากหุบเขาได้’ ขอไม่พูดเรื่องฐานะครอบครัวของหลินจื่อถิง พูดแค่คุณสมบัติในตัวเขา วันหน้าจะต้องสอบได้ดีไม่แพ้พี่ชายแน่นอน พวกเจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าอยากผิดใจกับว่าที่ซิ่วไฉหรือนายท่านจู่เหริน ? ” ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหลู่ซวนที่เชิดหน้าและปลายหางตามองอีกฝ่ายบ้างแล้ว