หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 447 คุณหนูรองมาตรวจงานหรือเจ้าคะ ?
ตอนที่ 447 คุณหนูรองมาตรวจงานหรือเจ้าคะ ?
ตอนนี้เจียงโม่หานผู้ชอบตามใจคู่หมั้นจนเกินเหตุกำลังถกเถียงเรื่องของหมินอ๋องซื่อจื่อกับคู่หมั้นอยู่บนภูเขา “ราชสำนักเปิดศึกกับชาวตงหูแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยเก็บสตรอเบอร์รี่ป่ามาหนึ่งกำมือแล้วหยิบใส่ปากตัวเอง…เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ รสชาติพอได้ ทว่าพอเทียบกับสตรอเบอร์รี่ในมิติน้ำพุวิญญาณแล้ว รสชาติต่างกันลิบลับ !
“ว่าอย่างไรนะ ? ทำสงคราม ? ถ้าเช่นนั้นชาวบ้านแถบชายแดนก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยนำสตรอเบอร์รี่ป่าที่ล้างจนสะอาดแล้วป้อนใส่ปากคู่หมั้นหนุ่ม พอได้ยินเช่นนั้น นางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ภาคเหนือเผชิญภัยแล้งติดต่อกันเป็นปี กว่าราษฎรจะอดทนจนได้รับเสบียงบรรเทาทุกข์จากทางราชสำนักก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดไม่ถึงว่ายังต้องมาลำบากจากภัยสงครามอีก เฮ้อ ! รู้แล้วว่าเหตุใดคนรุ่นหลังจึงชอบพูดว่า ‘ยอมเป็นสุนัขที่มั่งคั่ง ดีกว่ากลายเป็นมนุษย์ที่วุ่นวาย ! ’
เจียงโม่หานกลืนสตรอเบอร์รี่ป่าลงคอ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผลไม้สีแดงเข้มแล้วยื่นให้หลินเว่ยเว่ย “เดิมทีชาวตงหูก็ใช้ชีวิตกันอย่างเร่ร่อน เขตทุ่งหญ้าแห้งแล้งยิ่งกว่าภาคเหนือ หญ้าเหี่ยวเฉา และวัวแกะไม่ใช่ทางเลือกที่น่าพอใจสำหรับพวกเขา จึงต้องข้ามเขตแดนมาปล้นชิงบ่อยครั้ง สงครามนี้จึงไม่อาจเลี่ยงได้ แต่ไม่ต้องกลัวว่าตงหูจะบุกเข้ามาได้หรอก แม้หมินอ๋องซื่อจื่อจะยังเยาว์วัย แต่ก็ได้หมินอ๋องสั่งสอนมากับมือ…อย่าลืมว่าตอนนั้นหมินอ๋องก็เป็นแม่ทัพผู้ได้รับสมญานามว่าเทพสงคราม ! ”
หลินเว่ยเว่ยรับผลไม้สีแดงเข้มที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วค่อย ๆ เอาใส่ปาก เมื่อเห็นบัณฑิตน้อยไม่ได้คิดจะห้าม นางก็เริ่มเคี้ยวมัน…อื้อ หวานมาก อร่อยกว่าสตรอเบอร์รี่ป่าด้วยซ้ำ !
“บัณฑิตน้อย เจ้าดูเหมือนรู้จักเรื่องราวของหมินอ๋องดีมากเลย นี่ยังไม่ทันได้เป็นขุนนางก็เริ่มสนใจเรื่องในราชสำนักแล้วหรือ ? ” ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มหาผลไม้สีแดงเข้มในละแวกนั้น
ขณะช่วยเก็บผลไม้สีแดงเข้ม เจียงโม่หานก็พูดว่า “ภาคเหนือเป็นดินแดนของหมินอ๋องและฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เรื่องราวของทั้งสอง หากไม่ได้หูหนวกก็ต้องเคยได้ยินมาจากทุกหนทุกแห่ง…”
“ดีนักนะบัณฑิตน้อย เจ้าหมายความว่าข้าเป็นคนหูหนวก ! ” หลินเว่ยเว่ยหยิบผลชังเอ๋อร์1มาทำเป็นอาวุธลับแล้วปาใส่ศีรษะของบัณฑิตหนุ่ม “จงเตรียมรับมือ ! ”
เจียงโม่หานหยิบผลชังเอ๋อร์ออกจากเส้นผมแล้วพูดกับนางว่า “อย่ามัวแต่เล่น…สุราองุ่นในห้องใต้ดินของพวกเราใกล้หมดแล้วหรือยัง ? ผลไม้สีแดงเข้มนี้เรียกว่าผลนมแพะ (สลอดเถา) สามารถเอาไปหมักสุรา ทำน้ำผลไม้และแยมได้…”
หลังได้ยินแบบนั้น หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที “บนภูเขามีเจ้านี่เยอะหรือเปล่า ? จะได้ให้พวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านมาเก็บ แล้วเอาไปหมักสุราหรือเคี่ยวเป็นแยมเก็บไว้กิน ! ”
เจียงโม่หานพยักหน้า “น่าจะมีไม่น้อยเลย…” หลังเห็นเด็กน้อยทุ่มเทความสนใจไปที่ผลนมแพะแล้ว เขาก็แอบถอนหายใจโล่งอก แอบรู้สึกผิดที่พูดเรื่องสงครามชายแดนกับนาง เขากลัวว่านางจะหุนหันพลันแล่นแล้ววิ่งไปเปิดหูเปิดตาดูฉากสงครามชายแดนจริง ๆ…นางสามารถทำเช่นนั้นได้ !
หลินเว่ยเว่ยเก็บผลนมแพะและสตรอเบอร์รี่ป่าที่อยู่บริเวณโดยรอบ พอมาเจอต้นโอ๊กอีกสองต้น นางก็ขุดขึ้นมา แล้วลากไปที่เนินเขาหลังบ้าน…ตอนนี้ต้นโอ๊กที่หลังบ้านยังมีอยู่ไม่มากเท่าไร ถ้าอยากจะให้โรงงานทอผ้าของพี่สาวพัฒนาขึ้นก็ยังต้องพยายามมากกว่านี้ ดีที่สุดต้องทำให้เนินเขาหลังบ้านเปลี่ยนเป็นป่าโอ๊ก…
พี่สาวคนโตเพิ่งทอผ้าไหมเสร็จหนึ่งผืนจึงเดินออกมายืดเส้นยืดสายที่ลานหน้าบ้าน เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยลากต้นโอ๊กเข้ามา นางก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ย้ายต้นไม้ในเวลานี้ มันจะรอดหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยใช้หางตามองพี่สาว “ตอนข้าย้ายต้นโอ๊กในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เจ้าก็ถามแบบนี้”
พี่สาวคนโตนึกถึงต้นโอ๊กอันเขียวขจีหลายสิบต้นที่หุบเขาด้านหลังแล้วจึงเม้มปาก ก่อนจะพูดว่า “ช่างเถิด ถือว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน…ข้าทอผ้าไหมได้ 10 ผืนแล้ว พอจะส่งไปให้สกุลเซวียได้หรือยัง ? ” นางอดไม่ได้ที่จะกังวล นางกลัวว่าผ้าไหมของตนจะไม่งดงามจนเข้าตาอีกฝ่าย
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “พรุ่งนี้ข้าจะให้เหลยหยู่น้องชายหยาเอ๋อร์ขับรถม้าเอาผ้าไหมไปส่ง”
นางย้ายต้นโอ๊กไปที่เนินเขาหลังบ้านและยังไปดูห้องที่ใช้เลี้ยงหนอนไหมอีกครู่หนึ่ง…ถ้าอยากให้โรงทอผ้าไหมของสกุลหลินเจริญรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็ว ตัวหนอนไหมก็ต้องเลี้ยงให้มากและเมื่อเป็นเช่นนั้นต้นโอ๊กที่อยู่บนเนินเขาก็จะไม่เพียงพอ !
พี่สาวคนโตหอบรังไหมเข้ามา พอเห็นน้องสาวแล้วจึงหยอกล้อว่า “ไอหยา คุณหนูรองมาตรวจงานหรือเจ้าคะ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเอามือไพล่หลัง จมูกเชิดขึ้นฟ้า วางมาดเป็น ‘คุณหนู’ ขึ้นมาทันที “ใช่ ! มาดูว่าลูกจ้างประจำอย่างเจ้าแอบอู้งานหรือเปล่า ! ”
พี่สาวคนโตกลอกตาใส่ “เจ้าเข้าใจวิธีทอผ้าหรือ ? ดูไปก็ไร้ประโยชน์ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองอีกฝ่าย “รู้หรือไม่ว่าสิ่งใดที่เรียก ‘คนไร้ปัญญามาชี้นำผู้มีปัญญา’ ? เจ้าดูอย่างเถ้าแก่โรงทอผ้าเหล่านั้นสิ จำเป็นต้องทอผ้าเองหรือเปล่า ? ส่วนผู้ที่ทอผ้าเป็นก็ได้แต่มาเป็นลูกมือช่วยทอผ้าให้คนอื่น ! ”
เป็นธรรมดาที่พี่สาวคนโตจะเถียงไม่ชนะ จึงเหนื่อยที่จะพูดกับนาง “เจ้าอยากไปไหนก็ไป อย่ามายืนขวางหูขวางตาข้าอยู่ตรงนี้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยยังเอามือไพล่หลังและเดินเล่นไปรอบ ๆ บ้าน พอเห็นเส้นไหมในห้องเก็บของแล้ว นางก็พูดกับพี่สาวว่า “ไหมพวกนี้เจ้าคิดจะทอเองหมดเลยหรือ ? ”
พี่สาวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ทอแล้วเจ้าจะมาทอหรือไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังคิดว่าจะปลูกต้นโอ๊กเพิ่มอีกและเลี้ยงหนอนไหมเยอะกว่าเดิม แค่เจ้าคนเดียว ต้องทอไปถึงชาติไหน ? ”
พี่สาวคนโตขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้น…จะทำอย่างไร ? ”
“รับสมัครคนงานหญิงเพิ่มสักสองสามคน ! เจ้าลองคิดดู สกุลเซวียรับซื้อผ้าไหมของเจ้าผืนละ 5 ตำลึง เจ้าสามารถให้ค่าแรงพวกนางประมาณ 2 ตำลึง คนงานหนึ่งคนทอผ้าหนึ่งผืน เจ้าก็ยังได้เงิน 3 ตำลึง ภายในหนึ่งเดือน คนงานหนึ่งคนทอได้อย่างน้อย 10 ผืน เจ้าก็จะได้เงินอย่างน้อย 30 ตำลึง…” หลินเว่ยเว่ยช่วยคำนวณให้
หากโรงงานทอผ้าพัฒนาขึ้นมาได้จริง ๆ การจ้างคนงานสัก 10 คน พี่สาวก็ได้เงินถึง 300 ตำลึง ! พอพี่สาวคนโตได้ยินแบบนั้น เลือดในกายก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที
ทว่านางยังคงลังเล “ผ้าผืนเดียวให้ค่าแรงแค่ 2 ตำลึง มันจะ…น้อยไปหน่อยหรือเปล่า ? ”
ขณะมองอีกฝ่าย หลินเว่ยเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าลูกจ้างของสกุลเซวียได้เงินเดือนเท่าไหร่ ? เดือนละ 5 ตำลึง ! ราคาเท่ากับผ้าผืนหนึ่งเท่านั้น เราให้ผืนละ 2 ตำลึงก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว ! อีกอย่างการทอผ้าเองที่บ้านจะขายได้เท่าไหร่ ? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย ! ”
แม้ว่าคนงานจะทอผ้าไหมเป็นแล้ว แต่ถ้าเอาผ้าทอดิบ ๆ ไปขายข้างนอก ถ้าหักต้นทุนออกแล้วก็ได้เงินแค่ 2-3 ตำลึงเท่านั้น แต่ผ้าไหมดิบขายออกได้ง่ายขนาดนั้นหรือ ? ถ้าไม่มีผู้รับซื้อประจำก็ไม่มีทางขายออก !
พี่สาวคนโตกะพริบตา “ถ้าเช่นนั้น…เจ้าช่วยถามพี่น้องและพวกป้าน้าอาในหมู่บ้านให้ข้าหน่อยได้หรือเปล่า ? ”
ยังต้องถามอีก ? ทอผ้าผืนเดียวก็ได้เงิน 2 ตำลึงแล้ว เรื่องดี ๆ แบบนี้จะไปหาจากที่ไหนได้ ? หลินเว่ยเว่ยเพิ่งปล่อยข่าวออกไปก็มีคนมาถามถึงที่บ้านเป็นจำนวนมาก
เพื่อประหยัดเงินแล้วเสื้อผ้าที่คนในชนบทสวมใส่จะเป็นผ้าหยาบที่ทอกันเอง ส่วนหญิงชนบทที่เย็บปักถักร้อยไม่เป็นเหมือนหลินเว่ยเว่ยก็จะมีอยู่แค่น้อยนิด แม้แต่หลานสาวสุดที่รักของผู้ใหญ่บ้าน…วังม่านเหนียงที่ไม่ค่อยถูกกับหลินเว่ยเว่ยก็ยังเย็บปักได้
เพราะวังม่านเหนียงเป็นหลานสาวคนเดียวในบ้านและยังได้รับความรักจากคนในครอบครัว นางจึงไม่เคยต้องทำงานหนักมาก่อน แต่สามารถเรียนการทอผ้าได้ดีมาก แม้ว่านางจะไม่สนใจ สามลูกแตง สองผลพุทรา2จากการทอผ้าของตนจึงไม่ได้ประกอบเป็นอาชีพ แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือทอผ้าของนางถือเป็นอันดับต้น ๆ ของเด็กสาวในหมู่บ้าน
[i]
1 ผลชังเอ๋อร์ คือ พืชสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง มีหนามที่สามารถปาใส่แล้วติดตามผมหรือเสื้อผ้าได้
2 สามลูกแตง สองผลพุทรา หมายถึง ลูกคนมีเงินที่ไม่สนใจเงินจำนวนเล็ก ๆ น้อย ๆ