หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 452 กลายเป็นคน ‘หูเดียว’
ตอนที่ 452 กลายเป็นคน ‘หูเดียว’
หลินเว่ยเว่ยรีบเข้าไปดึงตัวน้องชายที่ปากไม่มีหูรูดออกมา “ไม่ว่าได้อันดับที่เท่าไหร่ก็ลองสอบได้หมด ! ถ้าไม่มีความกล้าตั้งแต่แรกแล้วจะเอาชัยชนะมาจากที่ใด ? พี่เผิงกล้าหาญแบบนี้ ถือว่าคุ้มค่าต่อการได้รับกำลังใจ ! ”
หลังจากหลินจื่อเหยียนได้ยินแบบนั้นก็พูดว่า “ถ้าพี่เขยใหญ่จะเข้าร่วมการสอบ ข้าก็จะลองไปสอบบ้าง…เพราะไม่ว่าอย่างไรอันดับในการสอบเยวี่ยนซื่อของข้าก็อยู่สูงกว่าเขาตั้งเยอะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยดึงใบหูของเขาทันที “หลินต้าฮว๋า ข้าคิดว่าช่วงนี้เจ้าหลงตัวเองเกินไปหน่อย ! อวดอ้างว่าตนเป็นซิ่วไฉอายุน้อยที่สุดทุกวัน…เจ้ารู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘สุขุม ซื่อสัตย์ กล้าหาญ’ หรือเปล่า ? ”
“โอ๊ย พี่รอง ท่านเบามือหน่อย หูข้าจะโดนท่านดึงจนหลุดอยู่แล้ว เจ็บ เจ็บ เจ็บ…” หลินจื่อเหยียนรีบอ้อนวอนร้องขอความเมตตา “พี่รอง ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะทำตัวให้สุขุม ไม่ทำตัวโอ้อวด ตั้งใจอ่านตำรา พอใจท่านหรือยัง ? ”
“จำเอาไว้ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า ‘ความอ่อนน้อมถ่อมตนนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า ความยโสโอหังนำมาซึ่งความตกต่ำ’ เจ้าเพิ่งเป็นแค่ซิ่วไฉตัวเล็ก ๆ เพิ่งเริ่มเดินแค่ก้าวแรกของเส้นทางแสนยาวไกล อย่าเย่อหยิ่งและหุนหันพลันแล่น ถ้าอยากก้าวหน้า…”
“พี่รองสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว น้องชายน้อมรับ ! ” หลินจื่อเหยียนหยุดเสียงหัวเราะทั้งหมดที่มีแล้วโค้งคารวะหลินเว่ยเว่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม พี่รองพูดถูก ช่วงนี้เขาโดนคนรอบข้างชื่นชมมากเกินไปจึงลืมตัวไปบ้าง พี่รองถือเป็นไฟส่องนำทางและไม้ตีที่ช่วยเตือนสติเขาได้ดีจริง ๆ !
“ทว่า…พี่รอง ท่านใช้แรงมากเกินไปหน่อย ท่านดูใบหูของข้าสิ บวมจนจะกลายเป็นหูหมูได้อยู่แล้ว ! ” หลินจื่อเหยียนลูบใบหูที่ร้อนผ่าวของตนขณะแสร้งบ่น
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่เขา “ข้ายังไม่ทันออกแรงเลยนะ ! ”
“ท่านแรงเยอะขนาดไหนยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ? หากท่านออกแรงจริง ๆ ขึ้นมา ข้าคงกลายเป็นคน ‘หูเดียว’ ไปเลย” หลินจื่อเหยียนชี้ไปที่ใบหูอันบวมแดงของตนเพื่อกล่าวหาว่านางใช้ความรุนแรง
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีสิ ดี ! ประเดี๋ยวจะทำหูหมูตุ๋นน้ำแดงเพื่อชดเชยให้เจ้า ! ”
“พี่รองหลิน บ้านท่านมีแขกมาหาอีกแล้ว ! ” โก่วเชิ่งเอ๋อร์และเสี่ยวหนี่ชิวที่วิ่งเล่นอยู่หน้าหมู่บ้านได้เห็นรถม้าคันหนึ่งขับเข้ามาใกล้หมู่บ้าน ทั้งสองจึงรีบวิ่งมารายงาน ส่วนคนที่นั่งอยู่ในรถม้าต้องมาหาบ้านสกุลหลินหรือไม่ก็สกุลเจียงแน่นอน ดังนั้นไม่มีทางรายงานผิดพลาด !
หลินเว่ยเว่ยเดินออกมาดูก็บังเอิญเห็นรถม้ามาจอดที่หน้าบ้านสกุลเจียงพอดี หลังเห็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามเดินลงมาแล้วนางก็รีบตะโกนเข้าไปในบ้านว่า “บัณฑิตน้อย อาจารย์ฟ่านมาหา ! ”
เจียงโม่หานรีบเดินออกมาเพื่อจะไปต้อนรับอาจารย์ฟ่านซึ่งกำลังมองประตูบ้านสกุลเจียง จากนั้นก็มองไปที่บ้านสกุลหลินแล้วแอบสงสัยในใจ…หรือว่าตนจำผิด ลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจที่สุดออกมาจากบ้านหลังข้าง ๆ ได้อย่างไร ?
เจียงโม่หานรีบเชิญอาจารย์ฟ่านไปที่ห้องหนังสือของบ้านสกุลเจียง อาจารย์ฟ่านจึงได้มั่นใจว่าจำถูกแล้ว พอได้รู้ว่าบ้านข้าง ๆ เป็นบ้านของคู่หมั้นลูกศิษย์ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดหยอก “เมื่อครู่เห็นเจ้าเดินออกมาจากบ้านสกุลหลิน อาจารย์ก็หลงคิดว่าจำบ้านของเจ้าผิดหลังเสียอีก ! ”
เจียงโม่หานไม่ได้ต่อบทสนทนา แค่รินชาให้อาจารย์หนึ่งถ้วย “ไม่ทราบว่าอาจารย์มาด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ ? ”
อาจารย์ฟ่านทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันทีพร้อมเอ่ยจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้ “ได้ยินว่าเป็นเพราะสงครามจึงทำให้การสอบเซียงซื่อในครั้งนี้ย้ายไปจัดที่เมืองเหอโจว ข่าวนี้คงจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วัน เจ้าใส่ใจกับมันให้มากหน่อย หากพลาดคราวนี้แล้วต้องรอไปอีก 3 ปี…”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มาแจ้งข่าวขอรับ ศิษย์จะเดินทางไปยืนยันสิทธิ์ที่ตัวเมืองทันทีขอรับ” ชาติก่อนเขาสอบเยวี่ยนซื่อไม่ผ่าน ตัวเขาในเวลานั้นจึงทุ่มเทอยู่กับการสอบเยวี่ยนซื่อ สงครามที่ชายแดนทำให้พวกบัณฑิตในเมืองจงโจวเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจว่าการสอบเซียงซื่อจะเปลี่ยนสถานที่จัดสอบหรือเปล่ามาก่อน
อาจารย์ฟ่านพยักหน้า “ถ้าเป็นเรื่องจริง เจ้าก็ควรเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ ผู้เข้าสอบจากสองเมืองมารวมตัวที่เหอโจวแห่งเดียว พอถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ที่พักหรือการเดินทางก็ต้องเตรียมล่วงหน้าให้พร้อม”
“ต้องรบกวนให้ท่านอาจารย์ฟ่านเดินทางมาเตือนศิษย์เช่นนี้ ศิษย์ขอจดจำไว้ในใจเสมอขอรับ” หัวใจของเจียงโม่หานเต็มไปด้วยความซาบซึ้งที่มีต่ออาจารย์ผู้สง่างามตรงเบื้องหน้าท่านนี้ ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ อาจารย์ฟ่านก็ดูแลเขาอย่างสุดหัวใจ โชคดีที่การกลับชาติมาเกิดใหม่ เขายังทันได้ช่วยชีวิตอดีตอาจารย์ท่านนี้…
อาจารย์ฟ่านยกถ้วยชาขึ้นแล้วจิบชาที่หวานหอมหนึ่งอึก ทันใดนั้นก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยว่า “ชานี้ไม่เลวเลย ถึงแม้ใบชาจะเป็นของชั้นรอง แต่น้ำที่ใช้ชงชาเป็นของที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ”
น้ำในบ้านเจียงโม่หานเป็นน้ำที่หลินเว่ยเว่ยหาบกลับมาด้วยความกระตือรือร้น ไม่ว่าครั้งใดเขาก็แย่งงานนี้มาทำเองไม่สำเร็จ หลินเว่ยเว่ยบอกว่า ‘เพื่อถนอมร่างกายที่อ่อนแอของเจ้า แล้วก็ยังมีน้าเฝิงที่สุขภาพไม่ค่อยดี ข้าจึงต้องแย่งงานหาบน้ำกับเจ้าทุกวัน เข้าใจยากนักหรือ ! ’
น้ำทุกถังมีการแอบเติมน้ำพุวิญญาณลงไป แล้วชาที่ชงออกมาจะไม่เลิศรสได้อย่างไร ? แต่เจียงโม่หานไม่รู้ เขาจึงตอบตามตรง “น้ำที่ใช้ชงชาเป็นน้ำบริสุทธิ์จากหุบเขา รสชาติหวานกลมกล่อมกว่าน้ำในบ่อตรงเชิงเขาอยู่บ้างขอรับ”
อาจารย์ฟ่านดื่มชาไปมากพอสมควรและก็เป็นธรรมดาที่จะทดสอบความรู้ของศิษย์ไปด้วย ไม่ว่าจะถามอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเจียงโม่หาน ใบหน้าของอาจารย์ฟ่านจึงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพอใจ…หากลูกศิษย์คนนี้ได้ทะยานสู่ฟ้าจะต้องกลายเป็นมังกรอย่างแน่นอน อนาคตก้าวหน้าไร้ขีดจำกัด !
ตอนทั้งสองสนทนากันจบแล้วก็มีศีรษะน้อย ๆ ยื่นเข้ามาที่ประตูห้องหนังสือ “บัณฑิตน้อย อาหารเสร็จหมดแล้ว จะให้ยกเข้าไปได้หรือยัง ? ”
โดยปกติแล้วเวลาที่พวกสหายร่วมห้องเรียนหรือสหายคนอื่นของเจียงโม่หานมาเยือนก็จะยกอาหารมาให้กินเป็นการส่วนตัว นอกจากพวกที่สนิทกันมาก ๆ อย่างเมิ่งจิ่งหงหรือหลิ่วจงเทียนจึงจะมานั่งกินร่วมโต๊ะกันที่บ้านสกุลหลิน
เนื่องจากบ้านสกุลหลินมีผู้หญิงหลายคนและยังทำเนื้อแผ่นที่นั่น แม้ว่าตอนนี้พื้นที่ทำเนื้อแผ่นและแยมผลไม้จะย้ายไปยังลานบ้านอย่างเป็นสัดส่วนแล้ว แต่เพราะกลิ่นและมีคนพลุกพล่านมากเกินไปจึงกังวลว่าจะต้อนรับแขกระดับปัญญาชนได้ไม่ดี
ต่อจากนั้นอาหารก็ทยอยยกเข้ามา ขณะมองอาหาร 6 อย่างบนโต๊ะ อาจารย์ฟ่านก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “โม่หาน นี่เป็นฝีมือของคู่หมั้นเจ้าหมดเลยหรือ ? พอแต่งงานไปแล้ว เจ้าได้มีลาภปากทุกวันแน่ ! ”
หลินจื่อเหยียนที่ถูกเรียกให้มานั่งเป็นเพื่อนต้อนรับแขกก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ว่าที่พี่เขยรองก็มีลาภปากทุกวันขอรับ เราสองครอบครัวเป็นเสมือนคนบ้านเดียวกัน ล้วนกินอาหาร 3 มื้อด้วยกันขอรับ”
เผิงหยูเหยี่ยนก็พยักหน้ารับ “ฝีมือทำอาหารของสองพี่น้องตระกูลหลินไม่ธรรมดาจริง ๆ ขอรับ ! ”
อาจารย์ฟ่านหัวเราะฮ่าฮ่าทันที “ได้ยินมาว่าเรื่องงานแต่งของหยูเหยี่ยนก็เกิดขึ้นเพราะอาหารมื้อเดียวไม่ใช่หรือ ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที “บุตรคนโตของตระกูลหลิน…นางนิสัยดีมาก…”
เจียงโม่หานเหลือบมอง ‘พี่เขยของภรรยาตนเอง’ ที่แทบจะมุดศีรษะลงใต้โต๊ะอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็ช่วยแก้สถานการณ์แทนอีกฝ่าย “ท่านอาจารย์ลองชิมปลาเปรี้ยวหวานซีหูนี่สิขอรับ มันเป็นอาหารขึ้นชื่อของหังโจว”
อาจารย์ฟ่านลองชิมหนึ่งคำ ก่อนจะรีบพยักหน้าเห็นด้วย “เนื้อนุ่มสดใหม่ เปรี้ยวหวานสดชื่น รสชาติอาหารจานนี้เหมือนในความทรงจำของอาจารย์ไม่ผิดเพี้ยน”
หลินจื่อเหยียนถามด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์เคยไปที่หังโจวมาก่อนหรือขอรับ ? ”
อาจารย์ฟ่านพยักหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความคะนึงถึงวันวาน “ใช่ ! ตอนสมัยยังหนุ่มก็เคยไปเที่ยวทางใต้ระยะหนึ่ง ที่นั่นเจริญรุ่งเรือง เป็นดินแดนศูนย์รวมเหล่าปัญญาชน…จื่อเหยียน หากเจ้าโตขึ้นอีกหน่อยก็ออกไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ได้แล้ว เพราะอ่านตำราหมื่นเล่มก็ยังไม่สู้เดินทางหมื่นลี้ ! ”