หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 461 นางจิ้งจอกในคราบบุรุษ
ตอนที่ 461 นางจิ้งจอกในคราบบุรุษ
หลินเว่ยเว่ยตัวสั่นเล็กน้อยเพราะสัมผัสได้ถึงแววตาขุ่นเคืองของผู้มาใหม่ นางลูบแขนที่ขนลุกชันพลางกล่าวว่า “เอ่อ…พวกข้ากินอิ่มแล้ว คุณชายโอวหยางเชิญตามสบาย ! ”
เจียงโม่หานก็ลุกขึ้นตามนางเช่นกัน เขาหันไปพยักหน้าให้โอวหยางชิงเป็นเชิงทักทายแล้วเดินตรงดิ่งไปยังห้องพักของตน แววตาของโอวหยางชิงยิ่งดูขุ่นเคืองเข้าไปใหญ่ เขานั่งลงตรงที่นั่งซึ่งเจียงโม่หานเพิ่งลุกไปเมื่อครู่แล้วบอกเสี่ยวเอ้อร์ว่า “เมื่อครู่คุณชายเหล่านั้นสั่งอาหารอะไรกิน ? เอามาให้ข้าหนึ่งชุด ! ”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบอย่างเก้อเขิน “ต้องขออภัยคุณชายด้วยขอรับ พวกเขาเป็นคนทำอาหารเอง…ถ้าอย่างไรให้ข้าน้อยสั่งห้องครัวต้มบะหมี่ให้ท่านสักชามมากินกับเครื่องเคียงเป็นยำผักดีหรือไม่ขอรับ ? ”
หลินจื่อเหยียนเอาน้ำแตงโมที่ตนยังไม่ได้ดื่มมายื่นให้โอวหยางชิงแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ที่พวกข้าเพิ่งกินคือบะหมี่เย็นฝีมือพี่รองของข้าเอง กล่าวกันว่าเป็นของว่างในมณฑลเสฉวนและส่านซี เหมาะสำหรับกินในฤดูร้อนที่สุด แต่เนื่องจาก…มันช่างอร่อยเหลือเกิน พวกข้าจึงกินหมดแล้ว ครั้งหน้าหากมีโอกาสเราจะเชิญพี่โอวหยางมาชิม ส่วนน้ำแตงโมนี้ ถ้าพี่โอวหยางไม่รังเกียจก็เอาไว้ดื่มเถิด เย็นชื่นใจแบบนี้ช่วยคลายความร้อนได้ดีนัก ! ”
โอวหยางชิงรับน้ำแตงโมพลางดื่มไปหนึ่งอึก ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา “น้องชายหลิน คนอื่นมาสอบ ข้าล้วนได้ยินว่าพวกเขามีพ่อแม่หรือไม่ก็พี่ชายพามา แต่คาดไม่ถึงว่าน้องชายหลินจะมีพี่สาวมาส่ง…”
หลินจื่อเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่โอวหยางพูดผิดแล้ว ! พี่รองของข้าไม่ได้ตั้งใจมาส่งข้าหรอก นางมาเพราะศิษย์พี่เจียง ข้าที่เป็นน้องชายแท้ ๆ ของนาง ทำได้แค่ขอติดรถม้ามาด้วยเท่านั้น ! ”
โอวหยางชิงเบิกตากว้าง “ว่าอย่างไรนะ ? เช่นนั้น…น้องชายหลินและน้องเจียงมีความสัมพันธ์อันใดกันหรือ ? ” แท้จริงคำถามที่เขาอยากถามที่สุดคือพี่รองของหลินจื่อเหยียนเป็นอะไรกับเจียงโม่หาน ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นกู่เหนียงน้อยนางหนึ่ง หากเข้าใจผิดแล้วไปถามอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นนั้นจะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของนางเอาหรือ ?
หลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เจียงคือว่าที่พี่เขยรองของข้าเอง ทั้งสองคนหมั้นหมายกันแล้ว ส่วนบัณฑิตซิ่วไฉอีกคนที่มากับพวกเราก็คือว่าที่พี่เขยใหญ่ของข้าเช่นเดียวกัน งานแต่งงานของเขาจะจัดขึ้นในปลายปีนี้แล้ว ! ”
โอวหยางชิงตอบรับ “อ้อ” เสียงเบาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “คาดไม่ถึงเลยว่าเครือญาติเกี่ยวดองกันทั้งสามคนของพวกเจ้าจะสอบได้บัณฑิตซิ่วไฉในปีเดียวกัน มันช่าง…น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ! ”
หลินจื่อเหยียนหัวเราะแหะแหะ “ข้าและพี่เขยใหญ่ล้วนอาศัยบารมีของพี่เขยรองทั้งสิ้น เขาคือผู้ที่สอบได้อั้นโฉ่วในการสอบเยวี่ยนซื่อแห่งเมืองจงโจว หากไม่มีการชี้แนะและการกระตุ้นจากเขา ตัวข้าและพี่เขยใหญ่ก็อย่าหวังจะสอบได้ซิ่วไฉเลย ดีไม่ดีอาจสอบถงเซิงไม่ติดด้วยซ้ำ ! ”
โอวหยางชิงพยักหน้าด้วยสีหน้าแปลก ๆ “คาดไม่ถึงเลยว่าน้องเจียงจะมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้…”
“ใช่แล้ว ข้าจะเล่าอะไรให้ท่านฟัง ศิษย์พี่เจียง…” หลินจื่อเหยียนไม่ได้ระแวดระวังบัณฑิตที่อ่อนโยนและดูมีมารยาทผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขากำลังจะเล่าต่อนั้นก็ถูกเสียงของพี่รองขัดจังหวะเสียก่อน
“หลินจื่อเหยียน น้ำร้อนได้ที่แล้ว รีบอาบน้ำและเข้านอนเถิด พรุ่งนี้เรายังต้องเร่งเดินทางแต่เช้าตรู่ ! ” ในช่วงที่อากาศร้อนจัดแบบนี้ การเดินทางแต่เช้าตรู่จะยังเย็นสบายอยู่บ้าง ดังนั้นหลายคนจึงเลือกออกเดินทางในยามที่ฟ้าสาง
หลินจื่อเหยียนคิดได้ว่าพรุ่งนี้ยังต้องอยู่บนรถม้าที่ร้อนอบอ้าวทั้งวัน ทันใดนั้นเขาก็หมดอารมณ์เล่าต่อทันที “พี่โอวหยางเชิญตามสบาย ข้าจะกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว ! ”
พูดจบก็เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังมามอง เหลือทิ้งไว้เพียงโอวหยางชิงและบะหมี่ที่เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งเอามาให้ โอวหยางชิงนั่งเงียบอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขาทอดสายตามองบะหมี่ที่มีควันกรุ่นลอยขึ้นมา ยามนี้ราวกับมีไฟร้อนแผดเผาขึ้นในใจ เขาไม่มีความอยากอาหารอีก…บุรุษผู้นั้น…หมั้นหมายแล้ว !
ช่วงเวลาแห่งค่ำคืนผ่านไปอย่างไร้ซุ่มเสียง วันต่อมาในยามที่ฟ้ายังไม่สว่าง ภายในโรงเตี๊ยมเริ่มมีเงาคนเดินไปเดินมาแล้ว เช้าวันนี้หลินเว่ยเว่ยทำเมนูง่าย ๆ อย่างชงโหยวปิง (แพนเค้กต้นหอม) และข้าวต้ม เมื่อบัณฑิตทั้งสามเตรียมตัวเสร็จแล้ว อุณหภูมิของข้าวต้มก็อุ่นกำลังดี
ชงโหยวปิงส่งกลิ่นหอมชวนหิว ดึงดูดแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างโอวหยางชิงได้ชะงัด “หอมมาก ! น้องชายหลิน นี่ก็เป็นอาหารที่พวกเจ้าทำเองหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนซดน้ำข้าวต้มแล้วกลืนชงโหยวปิงลงคอ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างภาคภูมิ “ถูกต้อง พี่โอวหยางอยากลองชิมฝีมือของพี่สาวข้าหรือเปล่า ? ”
เมื่อคืนนี้โอวหยางชิงกินบะหมี่ของทางโรงเตี๊ยมไปเพียงไม่กี่คำ ดังนั้นท้องของเขาจึงร้องประท้วงตั้งแต่เช้าตรู่ ยิ่งพอได้กลิ่นอาหารหอม ๆ แบบนี้เข้าแล้ว เขาก็เกิดความลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “เช่นนั้น…ข้าไม่เกรงใจแล้ว…”
ชงโหยวปิงที่ทอดจนกรอบและกลายเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลหอมฟุ้ง รวมเข้ากับซอสเนื้อที่หลินเว่ยเว่ยนำติดมาด้วย แม้แต่ผู้ที่ได้กินฝีมือของนางจนชินอย่างเจียงโม่หานก็ยังรู้สึกว่ามันอร่อยมาก นับประสาอันใดกับโอวหยางชิงที่ได้ชิมฝีมือของหลินเว่ยเว่ยเป็นครั้งแรก
กระทั่งชามตรงหน้าของตนว่างเปล่าแล้ว โอวหยางชิงถึงตระหนักได้ว่าตนกินชงโหยวปิงไปถึงห้าแผ่นใหญ่ด้วยกัน ไหนบอกว่าแค่ชิม ? ทันใดนั้นใบหน้าที่สุภาพและอ่อนหวานของเขาก็ขึ้นสีแดงเรื่อ ในแววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความเหนียมอาย ตอนแรกเขาประเมินไว้ว่ารสชาติของชงโหยวปิงนี้ต้องได้คะแนนสักหกเต็มสิบ แต่พอได้ชิมแล้วจึงพบว่าควรให้คะแนนสิบเต็มสิบไม่มีหัก
“ข้า…ต้องขออภัยด้วย เป็นเพราะชงโหยวปิงนี้อร่อยเหลือเกิน ข้าจึงกินเยอะไปหน่อย…พวกท่านพอกินหรือเปล่า ? หากไม่พอกิน ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์ยกติ่มซำเข้ามา…” แววตาของโอวหยางชิงกวาดมองไปยังหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานที่นั่งเคียงข้างกัน
เจียงโม่หานหันไปมองคู่หมั้นของตนถึงได้พบว่าเด็กน้อยกำลังเบิกตากว้างพลางจับจ้องไปยังอีกฝ่าย เขาจึงค่อย ๆ โน้มตัวไปเพื่อกั้นระหว่างการสบตากันของทั้งคู่ แล้วตอบโอวหยางชิงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ต้อง”
หลินจื่อเหยียนเหลือบมองไปยังซาลาเปาบนโต๊ะของลูกค้าด้านข้าง เนื้อซาลาเปาดูหยาบมาก อีกทั้งไม่รู้ว่าด้านในใส่อะไรลงไปบ้าง แถมเนื้อยังน้อยเสียจนน่าใจหาย มองแล้วแม้แต่เขาก็ยังหมดความอยากอาหาร เขาจึงพูดเห็นด้วยกับเจียงโม่หาน “ใช่ ไม่ต้องหรอก พวกข้ากินอิ่มแล้ว ! ”
แท้จริงชงโหยวปิงที่แสนอร่อยแบบนี้ ต่อให้อิ่มก็ยังกินไหว อีกอย่างพี่รองเคยบอกไว้แล้วว่าเขาคือเด็กที่กำลังโต เป็นวัยที่ร่างกายต้องได้รับสารอาหารเพียงพอ กินเยอะได้โดยไม่เป็นไร แต่วันนี้มีคนมาขอกินเพิ่มอีกคน เขาจึงทำได้เพียงบอกตนเองว่าห้ามใจเอาไว้ก่อน !
ที่จริงโอวหยางชิงรู้สึกกระดากอายมากที่ตนเผลอกินชงโหยวปิงของคนอื่นเยอะขนาดนี้ ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าตนซื้อขนมมาจากในเมือง จึงรีบพูดว่า “ข้ามีขนมที่ซื้อมาจากร้านหนิงจี้ ต่อให้อากาศร้อนก็ยังสามารถเก็บรักษาได้นานหลายวัน น้องเจียง น้องชายหลิน หากพวกท่านไม่รังเกียจก็สามารถนำไปกินระหว่างทางได้…”
หลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกข้าก็มีเหมือนกัน พี่โอวหยางไม่ต้องเกรงใจหรอก…”
“จื่อเหยียน ออกเดินทางกันเถิด ! ” เจียงโม่หานกังวลว่าหลินจื่อเหยียนจะอวดเรื่องอาหารที่พี่รองทำอีกจึงเอ่ยปากเตือน
หลินจื่อเหยียนคิดได้ว่าช่วงนี้อากาศร้อน แถมยังต้องนั่งอยู่ในรถม้าทั้งวัน ทันใดนั้นเขาก็หมดแรงจะพูดต่อทันที “เข้าใจแล้ว เดินทางกันเถิด…”
หากออกเดินทางช้าก็จะไปถึงเมืองเหอโจวช้าเช่นกัน ดังนั้นเร่งออกเดินทางตั้งแต่ตอนที่อากาศยังไม่ร้อนดีกว่า !
โอวหยางชิงมองไปยังรถม้าของตนที่อยู่นอกประตูโรงเตี๊ยม…ยามนี้คนขับรถม้าและเด็กรับใช้ได้ขนสัมภาระขึ้นรถพร้อมแล้ว เขาสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ เขาจึงหันไปยิ้มอ่อนโยนให้เจียงโม่หาน “น้องเจียง ถ้าอย่างไร…พวกเราออกเดินทางพร้อมกันดีหรือเปล่า ? เผื่อว่ามีอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันระหว่างทาง”
เจียงโม่หานนึกได้ว่าตนเคยปฏิเสธน้ำใจจากอีกฝ่ายเมื่อชาติที่แล้ว บัดนี้จึงไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธได้อีก