หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 467 บุตรชายผู้โง่เขลาของท่านเจ้าเมือง
ตอนที่ 467 บุตรชายผู้โง่เขลาของท่านเจ้าเมือง
ในที่สุดความสนใจของโหยวต๋าก็ผละไปจากอินทรีทองเสียที ‘มาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของข้าที่ไหนกัน ? เจ้าก็แค่ขอติดสอยห้อยตามพี่ชายมาด้วยเท่านั้น เพราะเจ้าติดเที่ยวติดเล่นต่างหาก ! ครั้งที่แล้วก็แอบแต่งกายเป็นบุรุษไปเข้าร่วมงานแข่งขันกวีที่คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง สุดท้ายพอท่านป้าจับได้ก็โดนทำโทษอย่างหนัก แต่ยังไม่เข็ดอีก ! ’
หลินชิงหยูเห็นว่าพวกเจียงโม่หานเพิ่งเดินทางมาถึง ร่างกายคงเหนื่อยล้าจึงกล่าวอำลาทุกคน ทว่าหลินฉานเอ๋อร์ยังเล่นเจ้านกน้อยไม่หนำใจ นางบ่นอุบเพราะไม่อยากกลับ
หลินเว่ยเว่ยจึงเอาถั่วออกมาอีกสองกำมือแล้วกวักมือเรียกนาง “เจ้าหงส์แดงตัวนี้เป็นของขวัญที่คนอื่นให้ข้ามา คงไม่เหมาะที่จะมอบมันให้ผู้อื่นต่อ แต่หากน้องฉานเอ๋อร์ชอบก็สามารถพามันกลับไปเล่นสักสองวันได้ ! ”
หลินฉานเอ๋อร์ดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น “จริงหรือ ? ข้านำมันกลับไปเล่นได้หรือ…”
หลินชิงหยูรู้ว่านกแก้วห้าสีตัวนี้ล้ำค่ามากเพียงใด จึงรีบพูดตัดบทน้องสาว “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีของหลินกู่เหนียง ทว่านกแก้วตัวนี้ล้ำค่าเกินไป ข้ากลัวว่าน้องสาวจะดูแลมันได้ไม่ดี…”
หลินฉานเอ๋อร์ได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันเหือดแห้ง คราวนี้นางไม่ดื้อดึงอีกต่อไป “พี่เว่ยเว่ย ข้าไม่เอามันกลับไปด้วยดีกว่า หากมันบินหนีหายไปขึ้นมา…ข้าคงชดใช้ไม่ไหว ! ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้มันบินหายไป ข้าก็ไม่ให้เจ้าชดใช้หรอก ! เจ้าไม่ต้องป้อนถั่วให้มันมากนัก ป้อนวันละสิบเมล็ดก็พอ หากเจ้าขนแหว่งดื้อก็ลงโทษมันด้วยการหักจำนวนถั่วที่ป้อนให้…”
หงส์แดงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจ “ไม่ใช่เจ้าขนแหว่ง ข้าคือหงส์แดง หงส์แดง ! หงส์แดงเป็นเด็กดีที่สุด นกดื้อคือต้าจิน ! ”
ต้าจินได้ยินแบบนั้นก็โมโหมาก มันบินโฉบลงมาหมายจะถอนขนเจ้านกแก้วตัวนี้…ไอ้นกแก้วขนแหว่ง ข้าอุตส่าห์พาเจ้ามาหาเจ้านายด้วยกัน ยังมาทำลายชื่อเสียงของข้าอีก ดูสิ หากข้าไม่ถอนขนเจ้าจนเกลี้ยงก็อย่ามาเรียกข้าว่าต้าจิน !
นับตั้งแต่ที่หงส์แดงถูกเจ้าดำถอนขนไปคราก่อน มันก็หวงแหนขนยิ่งชีพ เมื่อเห็นเช่นนั้นมันก็รีบบินหนีเข้าไปใต้แขนเสื้อของหลินฉานเอ๋อร์ จะงอยปากก็ร้องโหวกเหวกโวยวายราวกับหมูถูกเชือด “ช่วยด้วย นกน้อยจะโดนฆ่า ! รังแกคนตัวเล็กกว่า รังแกคนอ่อนแอกว่า ไม่สมกับเป็นชายชาตรี ! ”
โหยวต๋าได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกทึ่งมาก “เจ้านกแก้ว ใครเป็นคนสอนเจ้า ? นี่เจ้ารู้จักเล่นสำบัดสำนวนด้วยหรือ ! ”
หงส์แดงยื่นหัวเล็ก ๆ ของมันออกมาจากแขนเสื้อของหลินฉานเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าต้าจินไม่ได้ใส่ใจมันแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมา จากนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่มีใครสอน หงส์แดงเรียนรู้เอง ! ”
“เฮอะ ! เจ้านกน้อยตัวนี้ฉลาดยิ่งนัก ! ” หากเป็นคนอื่น โหยวต๋าคงคิดหาวิธีเอานกแก้วตัวนี้มาเป็นของตนแล้ว แต่เจ้าของหงส์แดงตัวนี้ดันเป็นสหายญาติผู้พี่ อีกทั้งยังกล่าวไว้แต่แรกแล้วว่าได้รับมันมาจากผู้อื่นในฐานะของขวัญ ตัวเขาจะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไร !
ก่อนที่หลินฉานเอ๋อร์จะพาหงส์แดงตัวน้อยจากไป นางได้หันมากล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า “ข้าพักอยู่ที่จวนของท่านเจ้าเมือง หากพี่เว่ยเว่ยมีเวลาว่างก็ไปหาข้าได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยบอกลาสองพี่น้อง กระทั่งเห็นพวกเขาจากไปแล้วถึงได้หันไปพูดกับเจียงโม่หาน “จวนเจ้าเมือง…ไม่ธรรมดา เกรงว่าสหายคนใหม่ของข้าจะมีฐานะไม่ธรรมดาเชียว ! ”
เจียงโม่หานเอาผ้าเช็ดหน้าไปชุบน้ำแล้วบิดหมาด ๆ จากนั้นก็นำมาช่วยเช็ดหน้าให้นาง เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ เขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเมืองเหอโจวมีแซ่โหยว…”
“หมายความว่าเจ้าเด็กเสียงเพิ่งแตกหนุ่มผู้นั้นคือ…คุณชายแห่งจวนท่านเจ้าเมือง ? ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงได้หยิ่งทะนงขนาดนั้น”
ชาติที่แล้วคนผู้นั้นเป็นถึงบุตรชายของเจ้าเมือง เป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ย่อมต้องมีคุณสมบัติในการทำตัวเย่อหยิ่ง
เจียงโม่หานหัวเราะ โหยวต๋าผู้นี้นับได้ว่ามีนิสัยไม่เลว ทั้งรู้ความและมีความฉลาดเฉลียว ต้องทราบก่อนว่า ‘คนพวกนี้ชอบทำนิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่’ หากเป็นคุณชายในจวนเจ้าเมืองที่มีนิสัยชั่วช้าก็อาจบีบบังคับจนมีคนตายเพียงเพื่ออินทรีทองตัวเดียว…
แน่นอนว่าคุณชายของท่านเจ้าเมืองผู้นี้ไม่ได้ลงมือช่วงชิงอินทรีทองไปเป็นของตน
พอตกกลางคืน หลินเว่ยเว่ยทำอาหารแสนอร่อยให้ทุกคน หลังจากแยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้ว ตกดึกสายฝนก็ค่อย ๆ เทลงมา ทำให้วันที่แสนร้อนอบอ้าวพอมีความเย็นขึ้นมาบ้าง
การสอบเซียงซื่อจัดขึ้นในวันที่เก้าของเดือนแปด ทั้งสามสนามสอบจะใช้เวลาสอบสามวันต่อหนึ่งสนาม ช่วงระหว่างการสอบนี้สามารถกลับบ้านไปพักผ่อนได้หนึ่งคืน ในการสอบเซียงซื่ออนุญาตให้นำเมล็ดข้าว วัตถุดิบสำหรับประกอบอาหาร หม้อทองเหลืองขนาดเล็ก ถ่าน ชามข้าวและอุปกรณ์ครัวอื่น ๆ ที่จำเป็นเข้าสนามสอบได้ และผู้เข้าสอบสามารถออกจากห้องสอบมาปรุงอาหารด้วยตนเองในบริเวณที่กำหนดให้
ในวันที่ 9 นี้ ได้มีการตรวจสอบก่อนเข้าสนามสอบตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จากนั้นผู้เข้าสอบทุกคนจะไปรวมตัวกันในห้องโถงใหญ่เพื่อตรวจสอบรายชื่ออีกครั้ง และเนื่องจากคราวนี้มีผู้เข้าสอบมาจากสองเมือง จำนวนคนจึงมีมากกว่าทุกครา กว่าจะตรวจสอบทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วต้องใช้เวลาเช้าจรดเย็นถึงได้แยกย้ายไปที่ห้องพักของตน
เมื่อผู้เข้าสอบเดินเข้าห้องพักไปแล้วก็เริ่มจัดห้อง เช่น คลุมผ้าใบกันน้ำไว้บนหลังคาเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมจากสายฝน ติดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อบังแดดบังลม ซึ่งพวกเขาต้องจัดแจงตอกตะปูยึดผ้าม่านเอง ทั้งยังต้องติดตั้งกระดานไม้สำหรับเขียนคำตอบด้วยตนเอง…ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้เข้าสอบถึงได้พกมาทั้งห่อผ้าใบใหญ่และใบเล็ก ไหนจะพวกกระบุงตะกร้าอีก ดูพะรุงพะรังเพิ่มความยากในการตรวจสอบเข้าไปใหญ่…
หลังจัดห้องพักระหว่างสอบเสร็จแล้ว ผู้เข้าสอบมีเวลาทำอาหารครึ่งชั่วยาม ในตอนนี้ยังไม่เริ่มการทดสอบ ผู้เข้าสอบที่รู้จักกันจึงสามารถช่วยกันเตรียมอาหารได้
หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนตามหาเจียงโม่หานเจอแล้ว ทั้งสามจึงเริ่มเอาน้ำซาวข้าวเพื่อหุง ตั้งแต่เช้ามืดจวบจนกระทั่งยามนี้ ผู้เข้าสอบยังไม่มีข้าวตกถึงท้องสักเม็ด พวกเขาทั้งหิวและเหนื่อยสายตัวแทบขาด
ระหว่างที่เดินมานี้ หลินจื่อเหยียนได้เห็นที่พักของว่าที่พี่เขยทั้งสองแล้วจึงกล่าวอย่างดีใจราวกับมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “นับว่าพวกเราโชคดี ห้องพักที่ได้รับการจัดสรรถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อครู่ตอนที่เดินผ่านมา ข้าพบพี่โอวหยางด้วยล่ะ แต่เขาโชคไม่ดีเลยเพราะได้อยู่ห้องเหม็น ๆ ”
ห้องเหม็นที่เอ่ยถึงนี้ก็คือห้องพักที่อยู่ใกล้ห้องน้ำ ยิ่งวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่ากลิ่นห้องน้ำจะเหม็นชวนเป็นลมขนาดไหน…
เจียงโม่หานขมวดคิ้ว ชาติที่แล้วโอวหยางชิงสอบไม่ผ่าน หรือจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ ? ทว่านับตั้งแต่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ดูเหมือนหลากหลายเรื่องราวจะไม่เป็นดั่งเช่นชาติก่อน อีกทั้งชะตาชีวิตของแต่ละคนล้วนเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น หนิงตงเซิ่ง ในชาติที่แล้วมีชีวิตที่แสนหดหู่อยู่ในเขตเริ่นอัน แต่ในยามนี้ได้กลายเป็นดาวเด่นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในโลกแห่งการค้าขายของสองเมืองทางเหนือ ธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ หมินอ๋องซื่อจื่อ ผู้ที่เคยโดนดาบแทงเสียชีวิตเมื่อชาติที่แล้ว ยามนี้กำลังต่อสู้กับชาวตงหูอย่างดุดัน ส่วนโอวหยางชิงนั้น…
ไม่รู้ว่าผลการทดสอบระดับเซียงซื่อของโอวหยางชิงในชาตินี้จะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ?
หลินจื่อเหยียนกำลังกินเนื้อแผ่นอย่างเอร็ดอร่อย เขานั่งลงด้านข้างพลางมองเจียงโม่หานอบข้าวกับถั่วฝักยาวที่ผ่านการปรุงรสมาแล้ว ซึ่งพี่รองเป็นคนผัดถั่วฝักยาวไว้ให้ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ในผัดถั่วยังใส่เนื้อหมูลงไปอีกด้วย ขอเพียงใส่ข้าวสวยหุงสุกและน้ำลงในหม้อทองเหลืองตามอัตราส่วนที่พี่รองบอก จากนั้นใส่ผัดถั่วลงไปอบสักหน่อยก็ได้แล้ว
ตอนอยู่ที่บ้านเช่า พี่รองสาธิตให้พวกเขาดูหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนผสมและขั้นตอนเดียวกัน ทว่าพี่เขยรองทำได้รสชาติออกมาดีกว่าเล็กน้อย แต่เขากับพี่เขยใหญ่นั้นถ้าไม่ดิบเกินก็เกือบไหม้ จะว่ากินก็กินได้อยู่หรอก แต่เรื่องรสชาตินั้นสู้พี่เขยรองไม่ได้เลย
แถมหลินจื่อเหยียนยังถูกพี่รองบ่นไปชุดใหญ่ นางบ่นว่า ‘เจ้าเป็นลูกชาวนาแท้ ๆ แต่หุงข้าวไม่เป็น’ นางบ่นจนเขารู้สึกราวกับตนเป็นขยะในหมู่ลูกชาวนา เป็นปลาตัวเล็กตัวน้อยในสังคม…พี่รองเป็นถึงพี่สาวแท้ ๆ และนี่เขามาเข้าสอบเซียงซื่อ แต่นางกลับพูดแทงใจดำเขาแบบนี้ ใจร้ายมาก !
รอกระทั่งหลินจื่อเหยียนเลิกนึกถึงเรื่องพวกนี้ ข้าวอบถั่วฝักยาวก็เสร็จเสียที เจียงโม่หานเห็นดังนั้นก็นึกว่าอีกฝ่ายหิวและเพลียเกินไปจึงตักใส่ชามใหญ่ให้เลย จากนั้นจึงใช้ผงปรุงรสที่หลินเว่ยเว่ยเตรียมใส่ห่อกระดาษน้ำมันไว้ให้มาต้มน้ำแกงไข่