หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 474 พูดได้น่าซึ้งใจ
ตอนที่ 474 พูดได้น่าซึ้งใจ
นางหวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างไม่วางใจ “แต่เจ้า…เป็นสตรี แม่ไม่วางใจเลย ! ”
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าไม่ใช่สตรีธรรมดา ท่านเห็นท่อนแขนของข้าหรือเปล่า ? มันแข็งแกร่งมาก ! สามารถจัดการคนเลวนับสิบคนได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยทำท่าเหมือนนักเพาะกาย ทำเอาเจียงโม่หานยังอดมองไปที่แขนของนางไม่ได้
นางหวงคิดแล้วจึงส่ายหน้าพลางพูดว่า “เจ้าดูสิ พี่สาวของเจ้าจะออกเรือนในอีกหนึ่งเดือนกว่า ๆ แล้ว น้องชายกับน้องสาวไม่ยอมอยู่บ้าน มันสมควรแล้วหรือ…”
เจ้าหนูน้อยกระตุกชายเสื้อของมารดา “ท่านแม่ขอรับ ข้ายังอยู่ทั้งคน ! ”
นางหวงไม่ได้สนใจเด็กน้อยเลยแม้แต่น้อย นางยังคงกล่าวต่อไป “อีกอย่างคือพอเดือนสิบสองมาเยือน เจ้าก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่น ( อายุ 15 ปี ) นั่นเป็นพิธีสำคัญในชีวิตของผู้หญิงเชียวนะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคงเข้าร่วมงานแต่งของพี่ใหญ่ไม่ทันแล้ว แต่ข้าจะส่งเครื่องประทินโฉมและเครื่องประดับมาให้นางมาก ๆ หน่อย ถือเป็นการชดเชยให้นางดีหรือไม่เจ้าคะ ? ส่วนเรื่องพิธีปักปิ่นก็แค่พิธีฉลองครบรอบวันเกิดปีที่สิบห้าไม่ใช่หรือ ! ปีนี้พลาดไป ปีหน้าก็ค่อยชดเชยใหม่แล้วกันเจ้าค่ะ”
นางไม่ใช่ผู้ที่เกิดในยุคสมัยโบราณอย่างแท้จริงจึงมองว่าตนไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมพิธีปักปิ่นก็ได้
พี่สาวคนโตหันขวับมามองค้อนนางทันที “ข้าขาดแคลนเครื่องประทินโฉมเหล่านั้นหรือ ? ความหมายที่ท่านแม่ต้องการจะสื่อก็คือตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่คนของตระกูลเจียง หากตามไปด้วยก็มีแต่จะทำลายชื่อเสียง สร้างความไม่เหมาะสม ! หากในอนาคตว่าที่สามีของเจ้าได้เป็นขุนนางใหญ่ขึ้นมา เจ้าจะถูกสตรีชนชั้นสูงเหล่านั้นวิจารณ์เอาได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองไปยังเจียงโม่หาน “เจ้าจะขายหน้าเพราะเรื่องนี้หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานตอบกลับอย่างแน่วแน่ “เป็นไปได้อย่างไร ? เจ้าวางใจได้ หากฮูหยินของตระกูลใดมาดูแคลนเจ้า ข้าจะไม่ทำความรู้จักกับพวกนางที่เป็นสตรีชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น แต่จะให้พวกนางสวดภาวนาดี ๆ อย่าให้สามีของพวกนางมาตกอยู่ในกำมือของข้าแล้วกัน พูดกันว่าสามีและภรรยาคือคนเดียวกัน พวกนางหัวเราะเยาะเจ้าก็เท่ากับหัวเราะเยาะข้าด้วย”
ในขณะเดียวกัน ภรรยาทำหน้าที่สะสางบัญชีแค้นแทนสามีก็ย่อมได้ !
หลังจากได้ทำความรู้จักกับหลินเว่ยเว่ยมานาน เขาจึงคุ้นเคยและมักเผลอพูดคำพูดแนวเดียวกับนาง อีกทั้งยังพูดได้น่าซึ้งใจมากด้วย !
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้มเบาบาง นางมองไปยังคู่หมั้นหนุ่มพลางกล่าวว่า “ข้านับถือสายตาของตนจริง ๆ ที่สามารถเลือกคู่หมั้นแสนดีขนาดนี้มาได้…ท่านแม่เจ้าคะ ลูกเขยดี ๆ แบบนี้ท่านแม่ยอมตัดใจปล่อยให้เขาหลุดมือไปได้หรือ ? เมืองหลวงเป็นดินแดนที่ผู้คนหลงใหลในรูปโฉม ข้าต้องคอยไปเฝ้าคู่หมั้นให้ดี ไม่เช่นนั้นอาจโดนนางปิศาจจิ้งจอกคาบไปกินได้ ! ”
นางเฝิงเห็นดังนั้นก็พยายามโน้มน้าวนางหวงเช่นกัน “พี่สะใภ้ ท่านดูสิ เด็กทั้งสองรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดไหน ? ท่านเองก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงไม่ใช่หรือ ? ให้เสี่ยวเว่ยตามไปเถิด ! ”
“เมืองหลวงเป็นดินแดนของชนชั้นสูง เจ้ารองเป็นเด็กสาวชาวป่าชาวเขา มีนิสัยหยาบกระด้าง ข้ากลัวว่านางจะไปสร้างปัญหาให้แก่พวกชนชั้นสูงแล้วจะสร้างภาระให้แก่หานเอ๋อร์…” บุตรเดินทางไปไกลนับพันลี้ ผู้เป็นมารดาย่อมกังวลเป็นธรรมดา นางหวงจะวางใจได้อย่างไร ?
นางเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ภายนอกของเสี่ยวเว่ยจะดูหยาบกระด้างไปบ้าง แต่ใจของนางได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกอย่างก็มีหานเอ๋อร์คอยดูแลไม่ใช่หรือ ? พวกเราพูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่เท่าหานเอ๋อร์พูดเตือนนางเพียงหนึ่งประโยคหรอก ! ”
ในใจของนางหวงยังไม่อยากให้บุตรสาวเดินทางไกล กระนั้นก็ยังเป็นกังวลกลัวว่าเจียงโม่หานจะได้รับอันตรายตอนเดินทางไปเมืองหลวงจนทำให้บุตรสาวพลาดโอกาสออกเรือน สุดท้ายนางจึงอดกลั้นความกังวลและความไม่เต็มใจเหล่านั้นพลางหันไปพูดกับว่าที่ลูกเขย “เช่นนั้น…หานเอ๋อร์ เจ้าช่วยดูแลนางดี ๆ หน่อย อย่าให้นางก่อ…”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มกว้าง แต่แล้วก็ไม่วายบ่นอุบว่า “ข้าเคยก่อเรื่องที่ไหนกันเจ้าคะ ? ”
หนึ่งวันก่อนออกเดินทาง แม่ซัวถัวพาซัวถัวและหยาเอ๋อร์สองสามีภรรยาหนุ่มสาวมาหาที่บ้าน แม่ซัวถัวมองเจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยพลางกล่าวเสียงเบากับนางหวงว่า “ได้ยินว่าวันพรุ่งนี้นางหนูรองและเจียงเจี้ยหยวนจะออกเดินทางเข้าเมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่ ? ”
นางหวงเห็นความกังวลในแววตาของอีกฝ่ายจึงพยักหน้ารับ “ใช่ ! ”
“น้องสะใภ้ ข้าขอพูดคำที่ไม่ควรพูดสักหน่อยแล้วกัน นางหนูรองอายุอานามไม่น้อยแล้ว เดินทางไปคราวนี้คงไม่สะดวกสักเท่าใด ? ” จากนั้นแม่ซัวถัวได้แสดงความคิดของตนออกมา “เช่นนั้น…ให้ซัวถัวและหยาเอ๋อร์ติดตามพวกเขาไปดีหรือเปล่า ? คนหนึ่งให้เป็นคนขับรถม้า ส่วนอีกคนก็ให้อยู่เป็นเพื่อนนางหนูรอง น้องสะใภ้คิดเห็นเช่นไร ? ”
ตลอดหลายวันมานี้ซัวถัวได้ติดตามเจียงโม่หานไปด้วย โลกในมุมมองของเขาจึงกว้างขึ้นมาก ย่อมไม่พอใจที่จะหมกตัวอยู่แต่ในป่าเขาเช่นนี้ ในความคิดของเขาแล้ว เสี่ยวเว่ยเป็นคนเก่ง ในอนาคตไม่ว่าจะอยู่ที่ใดย่อมไม่มีทางยอมเป็นคนธรรมดาสามัญแน่นอน หากได้ติดตามนางไปก็ต้องมีอนาคตที่ดี เหมือนดั่งเช่นหลิวว่ายจื่อที่ตอนนี้กลายเป็นหลงจู๊ใหญ่ดูแลกิจการร้านขายของขบเคี้ยวไปแล้ว !
อีกอย่างคือคู่หมั้นของเสี่ยวเว่ยเป็นถึงผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบเซียงซื่อ ย่อมไม่มีปัญหาในการสอบได้จิ้นซื่อที่เมืองหลวงแน่นอน ! ปีหน้าเจียงเจี้ยหยวนจะมีอายุครบ 17 ปี เส้นทางในอนาคตยังไร้ขีดจำกัด หากเขาติดตามทั้งคู่ไปก็ย่อมมีโอกาสก้าวหน้ากว่าอยู่ในป่าในเขาเป็นร้อยเท่า ?
ซัวถัวจึงกล่าวเช่นนี้ให้คนในครอบครัวฟังและได้รับการสนับสนุนจากทุกคนเป็นอย่างดี แม่ซัวถัวจำได้ว่าพวกขุนนางใหญ่และฮูหยินมักจะมีบ่าวรับใช้อยู่ข้างกายหลายคน หยาเอ๋อร์เป็นคนละเอียดอ่อนและขยันหมั่นเพียร จึงอยากแนะนำให้ติดตามไปด้วย
นางหวงไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้เองจึงเรียกหลินเว่ยเว่ยมาตัดสินใจ หลินเว่ยเว่ยมีความประทับใจที่ดีต่อซัวถัวและหยาเอ๋อร์ โดยเฉพาะหยาเอ๋อร์ซึ่งมีความสามารถและมันสมอง รอไปถึงเมืองหลวงแล้วตัวนางก็คงไม่ทนอยู่เฉยหรอก ทว่าการทำการค้าไม่สามารถต่อสู้เพียงลำพังได้ ต่อให้เป็นผู้มีความสามารถขนาดไหนก็ต้องการลูกมือ
หลังจากปรึกษาหารือกับเจียงโม่หานแล้ว สุดท้ายทั้งสองจึงตัดสินใจพาซัวถัวและหยาเอ๋อร์ไปด้วย แม่ซัวถัวดีใจมากจึงรีบพาลูกชายและลูกสะใภ้กลับไปเก็บของอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ซัวถัวกล่าวติดตลกว่า “น้องหญิง ฟังจากคำพูดของเสี่ยวเว่ยแล้ว เหมือนข้าจะพลอยได้รับบารมีจากเจ้าจนได้ติดตามไปครั้งนี้ด้วย ! ”
หยาเอ๋อร์พับเสื้อคลุมที่เพิ่งเย็บขึ้นมาใหม่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ไม่อาจกล่าวได้ว่าใครได้รับบารมีจากใคร ต่อไปนี้เราต้องวางท่าทีของตนให้ดี เจียงเจี้ยหยวนและเสี่ยวเว่ยเป็นเจ้านายของพวกเรา อย่าได้พูดคุยด้วยถ้อยคำเหมือนก่อน”
วันต่อมา ในยามฟ้าสาง เจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยบรรทุกสัมภาระขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมออกเดินทางแล้ว ดูเหมือนในเวลานี้ชาวบ้านที่สนิทสนมกับพวกตนเกือบทั้งหมู่บ้านจะมารวมตัวกันเพื่อส่งพวกเขาออกเดินทางไกล
เจียงโม่หานโน้มกายออกมาจากรถม้าแล้วมองไปยังนางเฝิงที่อยู่หน้าสุด ก่อนจะกล่าวกับมารดาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ท่านแม่ขอรับ กลับเข้าบ้านไปก่อนเถิด รอให้ข้าสอบได้ตำแหน่งสูงแล้ว จะมารับท่านเข้าเมืองหลวงด้วยกัน ! ”
นางเฝิงคลี่ยิ้มออกมา ขอบตาของนางเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อ นางโบกมืออำลาเจียงโม่หาน “ขอให้เดินทางปลอดภัย รักษาสุขภาพตนเองด้วย แม่จะรอข่าวดีจากเจ้า…” หลังจากที่อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืนมาเป็นเวลานานกว่า 15 ปี การแยกจากกันคราวนี้คงต้องรอไปอีกครึ่งปีให้หลังกว่าจะพบกันใหม่ นางย่อมอาลัยอาวรณ์ไม่อยากพรากจาก
หลินเว่ยเว่ยหันไปโบกมือให้ครอบครัวของตนและเหล่าชาวบ้านที่สนิทสนมกัน “ทุกคนกลับไปเถิด ! ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลบัณฑิตน้อยให้เป็นอย่างดี ! ”
นางหวงใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาของตน จากนั้นก็กำชับบุตรสาวที่ไม่รู้ว่ากำชับเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว “เจ้ารอง ระวังตัวด้วย ! แล้วอย่าสร้างปัญหาให้คนอื่น…”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวกับผู้ออกเดินทางทั้งหมดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ครอบครัวของพวกเจ้ายังมีเพื่อนบ้านคอยดูแลอยู่ ! ”
หลิวต้าซวนทุบอกเป็นการรับประกัน “หากถึงช่วงเก็บเกี่ยวที่ดินทั้งร้อยหมู่ของพวกเจ้า ข้าจะช่วยดูแลให้เอง ข้าได้จดบันทึกเงินเดือนและรายได้พิเศษของคนงานเอาไว้หมดแล้ว…”
จากนั้น รถม้าของพวกนางก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านไปพร้อมคำอวยพรของชาวบ้านทุกคนแล้วมุ่งหน้าไปยังท่าเรือเขตเริ่นอัน ใช่แล้ว ในเมื่อมีเวลาเหลือเฟือจึงตั้งใจว่าจะนั่งเรือไปยังเมืองหลวง