หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 488 ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ตระกูลจ้าวของกระหม่อมหรอกหรือ
- Home
- หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง
- ตอนที่ 488 ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ตระกูลจ้าวของกระหม่อมหรอกหรือ
ตอนที่ 488 ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ตระกูลจ้าวของกระหม่อมหรอกหรือ
ท่านหมอผู้เลื่องชื่อหลายคนก็ยังบอกว่า หากช้าไปอีก 2 ปี แม้แต่เทพเซียนก็คงเรียกสติของหมินหวางเฟยกลับมาไม่ได้แล้ว !
“แต่ไม่รู้ว่านางหนูคนนั้นจะยอมหรือเปล่า…” ฮ่องเต้หยวนชิงนึกถึงคู่หมั้นหนุ่มของนาง เป็นเสาหลักที่สนพระทัยมาตั้งนานแล้ว พระองค์จึงบังเกิดความลังเลขึ้นมา
หมินอ๋องขมวดพระขนง “มีเหตุผลใดไม่ยอมพ่ะย่ะค่ะ ? นี่เป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานมาเชียว ! ฐานะบุตรสาวเพียงคนเดียวของพระชายาแห่งตำหนักหมินอ๋อง ยังจะทำให้นางน้อยเนื้อต่ำใจอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
หมินอ๋องตัดสินพระทัยแล้ว หากเด็กน้อยคนนั้นไม่รู้จักดีชั่ว เพื่อเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว แม้จะต้องใช้อำนาจบีบบังคับ จะเป็นอย่างไร ?
“เจ้าดูตัวเองเถิด นิสัยใจร้อนนี้แก้ไม่หายสักที ! นางหนูคนนั้นอาจเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจ้าวของเจ้าจริง ๆ ก็ได้” ฮ่องเต้หยวนชิงหวนนึกถึงพละกำลังอันมหาศาลที่สามารถล้มอาชาพยศได้อย่างง่ายดายของเด็กสาวและท่าทางการยกพระวรกายไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวนั้นแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงก็ตรัสเสริมด้วยรอยยิ้ม “บรรพบุรุษของเจ้าก็มีท่านลุงคนหนึ่งที่เปี่ยมพละกำลังเหมือนวัวเหมือนม้าจนยกกระถางทองสัมฤทธิ์ขึ้นได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวไม่ใช่หรือ ? นางหนูคงนั้นก็เหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยน ! ”
หลังจากหมินอ๋องได้ยินเช่นนั้น เคราที่ดูเหมือนขนเม่นก็กระตุกอีกครั้ง “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง ! อายุก็ใช่ นิสัยก็เหมือนเสวี่ยเอ๋อร์มาก ซ้ำยังเกิดมามีพละกำลังมหาศาล ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ตระกูลจ้าวของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ ! ”
พอฮ่องเต้หยวนชิงเห็นแบบนั้นก็รีบเตือนอีกฝ่ายทันที “เจ้าห้ามวู่วามเด็ดขาด อย่าทำให้นางหนูตกใจตื่นกลัว เรื่องเกิดจากฮองเฮาและองค์รัชทายาท ดังนั้นยกเรื่องนี้ให้เจิ้นจัดการก็แล้วกัน ! ”
หมินอ๋องรู้ว่าด้านการใช้สติปัญญาและการวางอุบาย พระองค์ยังห่างชั้นจากฮ่องเต้มากนัก หากเป็นหลุมพรางของผู้ที่มีเจตนาร้ายแอบแฝง มันก็อาจตบตาพระองค์ได้ แต่ไม่มีทางรอดพ้นจากสายพระเนตรอันแหลมคมของฮ่องเต้ได้อย่างแน่นอน หมินอ๋องพยักดวงพักตร์ แต่ก็อดทูลกระตุ้นอีกไม่ได้ “ฝ่าบาท พระองค์ลงมือเร็วหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ได้ เจิ้นรู้ว่าต้องทำอย่างไร ! ประเดี๋ยวจินเฉิงก็จะกลับมาแล้วไม่ใช่หรือ ? เตรียมงานฉลองไปถึงไหนกันแล้ว ? ” ตรัสถึงจ้าวจินเฉิงหรือหมินอ๋องซื่อจื่อแล้ว แววพระเนตรของฮ่องเต้หยวนชิงก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมทันที หมินอ๋องซื่อจื่อยังไม่ถึงวัยสวมกวานก็สร้างผลงานในการออกศึกแล้ว เหมือนบิดาไม่มีผิด !
แต่หมินอ๋องกลับทำสีพระพักตร์ดูแคลน “ชัยชนะแค่นั้น จะฉลองอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ ! แค่มนุษย์โอสถตัวเล็ก ๆ คนเดียวก็แทบเอาชีวิตของเขาได้แล้ว เสียหน้าตระกูลจ้าวไปหมด ! ไม่ลงโทษเขาก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“มนุษย์โอสถตัวเล็ก ? มนุษย์โอสถมีพละกำลังมหาศาล ฟันแทงไม่เข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าแล้วสามารถรับประกันได้ว่าตัวเองจะปลอดภัยกลับมาครบทั้งสามสิบสองหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงชี้หมินอ๋อง “เจิ้นรู้จักเจ้าดี โรคปากไม่ตรงกับใจนี้ เจิ้นคิดว่าเจ้ารักษาไม่หายแล้ว ! ”
“ก็ไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้นโชคดีจึงได้ยอดฝีมือช่วยชีวิตไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ ! ” หมินอ๋องแค่นสุรเสียง ฮึ ฮึ…เจ้าตัวแสบ ก็ยังไม่ถือว่าทำให้ตระกูลจ้าวของเปิ่นหวางขายหน้าเสียทีเดียว !
ฮ่องเต้หยวนชิงตรัสพร้อมรอยยิ้ม “โชคดีก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ! เอาเถิด เจิ้นเบื่อจะคุยกับคนขี้อวดอย่างเจ้าแล้ว กลับไปรอฟังข่าวที่ตำหนักเถิด ! ”
หลังออกมาจากวังหลวง พระหัตถ์ทั้งสองข้างของหมินอ๋องก็กำแล้วคลายอยู่แบบนั้น พระองค์กำลังครุ่นคิดว่าจะแอบไปดูหน้าเจ้าของจี้หยกดีหรือเปล่า ? ไม่ได้บอกว่าพ่อลูกมีจิตใจเชื่อมถึงกันได้หรือ ? ไม่แน่ว่าพอไปเห็นแล้วพระองค์อาจจำอีกฝ่ายได้ทันที !
ใช่ ก็แค่ไปแอบดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจ ไม่ถือว่าขัดพระประสงค์ของฝ่าบาท ต่อจากนั้นหมินอ๋องก็สืบเจอโรงเตี๊ยมที่เด็กสาวคนนั้นพักอยู่ได้อย่างรวดเร็ว พระองค์รีบเร่งออกไปตามหาทันที
หลังได้ทราบว่าหมินอ๋องไปอยู่ที่ไหนแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายพระพักตร์…นิสัยใจร้อนของเจ้านั่นแก้ไม่ได้แล้วจริง ๆ !
ส่วนหลินเว่ยเว่ยในเวลานี้ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้และอ๋องคู่นี้ นางกำลังลากเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนออกไปตามหาบ้านเช่าที่เหมาะสมด้วยความตื่นเต้น !
เมืองหลวงใหญ่โตขนาดนี้ พวกนางไม่มีทางเข้าไปสอบถามทีละหลังได้หรอก นางจึงไปหาเจ้าหน้าที่ทางการผู้มีชื่อเสียงไม่เลวเพื่อรบกวนให้ตามหาบ้านเช่าอย่างที่พวกตนต้องการ
เจ้าหน้าที่ฉีกยิ้มทักทาย “ใกล้กับก้งย่วน (สถานที่จัดสอบขุนนางส่วนภูมิภาค) มีบ้านพักตามที่พวกท่านต้องการอยู่ 3 หลัง หลังหนึ่งเป็นเรือนสี่ประสานขนาด 2 ส่วน มีเรือนเล็ก ๆ 4 หลัง แต่เหลือแค่หลังที่อยู่ติดกับลานนอกสุดเท่านั้น อีกที่หนึ่งเป็นบ้านมีประตูเพียงชั้นเดียว บ้านหลังนี้มีสองสามีภรรยาเฒ่าคู่หนึ่งอาศัยอยู่ พวกเขาปล่อยเช่าห้องทางปีกตะวันตกและตะวันออกจำนวน 4 ห้อง ส่วนอีกหลังนั้นปล่อยเช่าทั้งลานและตัวบ้านส่วนนั้นเต็ม ๆ…พวกท่านต้องการไปดูที่ใดก่อน ? ”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ดูบ้านหลังที่ให้เช่าทั้งลานทั้งตัวบ้านก่อนก็แล้วกัน…”
เจ้าหน้าที่พาทั้งสามคนมายังถนนเส้นที่ก้งย่วนตั้งอยู่แล้วเลี้ยวเข้าตรอกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล บ้านส่วนเดียวหลังนั้นตั้งอยู่ใจกลางของตรอก หน้าประตูมีรถม้าวิ่งผ่านบ่อยครั้ง ขนาดของตรอกก็แคบ พวกนางจำต้องเบี่ยงตัวหลบรถม้า
เจ้าหน้าที่แนะนำว่า “ด้านในเป็นโกดังเก็บสินค้าของพ่อค้าคนหนึ่ง ใกล้ถึงสิ้นปีแล้วรถม้าบรรทุกสินค้าที่เข้าออกจากตรอกนี้จึงค่อนข้างมีให้เห็นอย่างหนาตา แต่พวกเขาขนสินค้ากันตอนกลางวันเท่านั้น ประเดี๋ยวตอนเย็นก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากลานบ้านหลังข้าง ๆ พวกนางฟังอยู่พักหนึ่ง น่าจะเป็นเสียงแม่สามีกำลังด่าลูกสะใภ้
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจ้าหน้าที่…นี่น่ะหรือเป็นสถานที่เงียบสงบที่พวกเราต้องการ ?
เจ้าหน้าที่มีสีหน้าเขินอายขึ้นมาทันที “ไม่แน่ว่า…อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ ? ”
ทันใดนั้น ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินผ่านพวกนางไป พอได้ยินเสียงเอะอะ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เฮ้อ ! ยายหลี่ด่าลูกสะใภ้อีกแล้ว ทำเสียงดังอย่างนี้ทุกวัน มีเพื่อนบ้านแบบนี้ถือเป็นโชคร้ายจริง ๆ ! ”
สีหน้าขัดเขินของเจ้าหน้าที่ดูเด่นชัดขึ้นทันตา เขาพูดด้วยความอับอาย “ถ้าอย่างไร…เราไปดูบ้านอีกสองหลังกันไหม ? ”
ต่อจากนั้นยังไปดูเรือนสี่ประสาน 2 ส่วน ด้านในแบ่งเป็นเรือนเล็ก ๆ 4 หลัง แม้ว่าจะแยกเป็นอิสระออกจากกัน แต่เรือนที่ว่างก็อยู่ใกล้ประตู ถ้าคนในเรือนสี่ประสานทั้งหมดจะเข้าออกก็ต้องผ่านเรือนหลังนี้ คนที่เช่าอยู่ด้านในก็ค่อนข้างปะปน มีทั้งพ่อค้ารายย่อย ช่างไม้…แล้ว ‘เงียบสงบ’ คำนี้จะมาจากที่ใด ?
เจ้าหน้าที่จึงได้แต่พาพวกนางมาดูบ้านเช่าหลังสุดท้าย เขาอธิบายว่า “เดิมทีบ้านเช่าในละแวกที่พวกท่านต้องการมีอยู่พอสมควร แต่ถูกปล่อยเช่าไปหลังการสอบฤดูใบไม้ร่วง (เซียงซื่อ) แทบจะหมดแล้ว บ้านหลังสุดท้ายหลังนี้ พวกท่านโปรดดูกันก่อน ถ้ายังไม่ได้จริง ๆ ข้าจะหาให้พวกท่านใหม่อีกรอบ…”
บ้านหลังสุดท้าย ตั้งอยู่ห่างออกมาสองเส้นถนน อยู่ค่อนข้างไกลจากก้งย่วนพอสมควร ถ้าเดินเท้าอาจต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเค่อ ! ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสองสามีภรรยาเฒ่าพักอยู่ หลินเว่ยเว่ยจึงแทบหมดความหวัง
เจ้าหน้าที่เคาะประตูบานเล็ก คนที่มาเปิดประตูคือหญิงชราท่าทางใจดีคนหนึ่ง นางฉีกยิ้มทักทายพวกหลินเว่ยเว่ย “มาดูบ้านกันล่ะสิ ? รีบเข้ามาเร็ว ! ”
ลานบ้านถูกกวาดจนสะอาด ประตูชั้นในอยู่ติดกับผนังทางทิศใต้ เมื่อเปิดออกก็จะพบกับสวนผักน้อย ๆ ซึ่งตอนนี้ปลูกผักที่ทนลมหนาวเอาไว้ ห้องปีกทั้งสองห้องจะมีห้องเก็บฟืนและห้องครัวอยู่ด้านข้าง ซึ่งด้านในมีอุปกรณ์ครบครัน…
หลังจากดูทุกอย่างหมดแล้ว ที่พักก็น่าพึงพอใจมาก เจ้าของก็ดูเหมือนจะคุยไม่ยาก หากเทียบกับสองแห่งก่อนหน้านี้แล้วที่นี่ยังถือว่าพอรับไหวอยู่บ้าง หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หานเพื่อขอความคิดเห็นจากเขา
ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนี้ ความทรงจำในอดีตของเจียงโม่หานก็ย้อนคืนมาอีกครั้ง เขามองลานบ้านเล็ก ๆ อย่างละเอียด เมื่อเทียบกับสามปีต่อจากนี้แล้ว ตัวบ้านยังไม่ได้ทรุดโทรมขนาดนั้น หญิงชราผู้แสนใจดีก็ไม่ได้ดูแก่เหมือนในความทรงจำด้วย
แต่แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น “บ้านหลังนี้ไม่ปล่อยเช่าแล้ว ! ไม่ว่าคนประเภทใดก็อยากจะเช่าบ้านของเรา อย่ามาทำให้บ้านเราสกปรก ! ”
พอเจียงโม่หานได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นพร้อมเผยแววตาไม่พอใจออกมาทันที