หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 489 เจ้านั่นแหละอนุ บ้านเจ้าทั้งหมดเป็นอนุ
ตอนที่ 489 เจ้านั่นแหละอนุ บ้านเจ้าทั้งหมดเป็นอนุ
หลินเว่ยเว่ยก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน “อาวุโสท่านนี้ แม้ตกลงการค้าไม่สำเร็จก็ควรมีความเป็นมิตรต่อกันบ้าง ท่านไม่อยากให้เราเช่าบ้าน แต่ก็ไม่ควรพูดจาว่าร้ายคนอื่นแบบนี้ ! ”
ชายชราตัวผอมแห้งเดินออกมาจากบ้านหลัก เขามองพวกนางด้วยรอยยิ้มเย็นชา “มาสอบที่เมืองหลวง ? ยังเอาอนุมาด้วย ? จะเป็นคนดีอย่างไร ? ชายโฉดหญิงชั่ว รีบไสหัวออกไปจากบ้านของข้า ! ”
อนุบ้าบอที่ไหนกัน ! ตาข้างไหนของเจ้าเห็นข้าเป็นอนุ ?
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความโมโห “ท่านว่าใครเป็นอนุ ? พวกเรามีพ่อแม่คอยตัดสินใจ มีแม่สื่อเป็นพยาน เป็นคู่หมั้นที่ผ่านพิธีมาแล้ว ! ท่านดูตัวเองก่อนเถิด อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดยังพูดจาไม่คิดอยู่ได้ ! ”
หญิงชรารีบขอโทษ “เขาเลอะเลือนไปแล้ว กู่เหนียงอย่าถือสาเขาเลย”
ยายเจิ้งโมโหจนแทบหมดสติเพราะสามีอยู่แล้ว ตาเฒ่าคนนี้เอาแต่สร้างปัญหาได้ทุกวัน ปล่อยเช่าบ้านให้คนอื่นก็ยังเลือกแล้วเลือกอีก ใครประกอบอาชีพทำมาค้าขายจะไม่ยอมให้เช่า ใครไร้มารยาทหยาบคายก็ไม่ให้เช่า ขัดหูขัดตาก็ไม่ให้เช่า…ตั้งแต่ต้นปีจนจะสิ้นปี บ้านไม่มีผู้เช่าไปกว่าครึ่งปีแล้ว ถ้ายังปล่อยเช่าไม่ออกอีก พวกนางจะต้องพึ่งโรงรับจำนำในการหาเลี้ยงชีพแน่นอน !
ชายชราคนนั้นใช้สายตาขุ่นมัวกวาดมองสำรวจตัวหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หาน จากนั้นก็เดินวนรอบพวกนางสองรอบ ก่อนที่หลินเว่ยเว่ยจะระเบิดโทสะออกมา เขาก็ถามขึ้นว่า “ไม่ใช่อนุหรอกหรือ ? เป็นคู่หมั้นกันแล้ว ? ยังไม่ทันแต่งงานก็วิ่งตามผู้ชายมาแล้วหรือ ? คงจะคิดหนีตามกันสิท่า ? ”
“แต่งงานแล้วนับเป็นภรรยา แต่ถ้าหนีมานับเป็นอนุ เห็นข้ายอมทิ้งงานแต่งงานเพื่อเป็นภรรยาเอก แล้วหนีตามเขาเพื่อจะเป็นอนุแทนน่ะหรือ ? ความคิดบ้าอะไรของท่าน ? คิดว่าสมองของข้าเหมือนท่าน…สติไม่ดีเหมือนกันหรือไร ! ” เรื่องเช่าบ้านไม่ยอมพูดจา เอาแต่พูดเรื่องบ้าบอพวกนี้ทำไม ?
“ความคิดบ้าอะไรน่ะหรือ ? ก็คิดว่าเขาหน้าตาดีเกินไปน่ะสิ ! ผู้ชายที่รูปงาม ไม่มีนิสัยดีสักคน ! ” ปากของชายชราเต็มไปด้วยคำหยาบคาย
หลินเว่ยเว่ยดึงแขนเสื้อเจียงโม่หานด้วยความโมโห ขณะที่กำลังจะเดินออกมา หญิงชราก็เข้ามาจับนางไว้แล้วขอโทษอีกครั้งพลางอธิบายว่า “ตั้งแต่ลูกสาวคนเดียวของบ้านเราโดนอนุของลูกเขยคนนั้นบีบคั้นจนตาย สมองของตาเฒ่าก็เริ่มเลอะเลือน พวกท่านเป็นคนใจกว้าง…บ้านหลังนี้ของข้าสามารถปล่อยเช่าให้พวกท่านในราคาที่ถูกลงมาหน่อยได้…”
จู่ ๆ ชายชราก็เดินมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าหลินจื่อเหยียน ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องที่ตัวเด็กหนุ่ม หลินจื่อเหยียนตกใจทันทีจนรีบถอยหนีออกไปสองก้าว…สมองของตาแก่นี้ไม่ดี คงไม่ลงไม้ลงมือกับคนอื่นได้ทุกเมื่อหรอกกระมัง ?
“เจ้าเป็นใคร ? ” แม้ชายชราจะเลอะเลือนไปบ้าง แต่ร่างกายยังค่อนข้างแข็งแรงอยู่ เสียงก็ยังแจ่มชัด คำถามนี้เลยฟังแล้วทรงพลังมาก
หลินจื่อเหยียนตอบด้วยความมึนงง “ข้า ข้าเป็นน้องชายของนาง นางเป็นพี่รองของข้า…”
“เจ้าก็มาสอบที่เมืองหลวงด้วยหรือ ? ” ชายชราถามอีกประโยค
“ข้า…เหตุใดข้าต้องบอกท่านด้วย ? ” หลินจื่อเหยียนรีบสาวเท้าถอยต่อไป จนมาหยุดที่ข้างตัวพี่รอง…แบบนี้ถึงจะรู้สึกปลอดภัยหน่อย
ชายชราขมวดคิ้วเป็นปม จากนั้นก็ชี้ไปที่หลินเว่ยเว่ยแล้วถามหลินจื่อเหยียนว่า “นางไม่ใช่อนุของเขาจริงหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนเริ่มโมโห “ท่านพูดจาเหลวไหลอะไร พี่รองของข้าจะเป็นอนุได้อย่างไร ? พี่รองก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ? พวกนางหมั้นหมายกันแล้ว รอให้การสอบในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจบลงเมื่อใดก็จะแต่งงานกันทันที ! ”
“ไม่ใช่อนุ…เช่นนั้นบ้านหลังนี้ก็ให้พวกเจ้าเช่าได้ ! เดือนละ 30 ตำลึง ขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้ ! ” ชายชราทำมือไพล่หลังแล้วเดินกะเผลกกลับบ้านหลัก
หลินเว่ยเว่ยแค่นเสียงดัง ‘เฮอะ’ “พูดราวกับว่าคนอื่นอยากเช่าบ้านของตนใจจะขาด พวกเรามาเช่าบ้าน ไม่ได้มารองรับอารมณ์ผู้ใด ! บัณฑิตน้อย เราไปกันเถิด” ไม่ว่าอย่างไรก็มีรถม้าอยู่ อย่างมากก็หาเช่าที่ไกลกว่านี้หน่อย นางไม่เชื่อว่ามีเงินแล้วยังจะหาบ้านเช่าไม่ได้?
หญิงชรารีบคว้าข้อมือของนางไว้ ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “กู่เหนียง เรื่องเช่าบ้านยังพอคุยกันได้…”
“ท่านยาย ไม่ใช่แค่เรื่องของการเช่าบ้าน ปีหน้าบัณฑิตของบ้านเราต้องเข้าสอบขุนนาง จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ” หลินเว่ยเว่ยไม่อยากฟังเสียงบ่นของชายชราทั้งวัน
“เจ้าวางใจได้ ปกติตาเฒ่าบ้านเราเป็นคนเงียบมาก บางครั้งในหนึ่งวันยังพูดแค่คำสองคำก็มี…นี่ยังห่างจากการสอบอีกสามสี่เดือน ถ้าอย่างไร…พวกท่านลองมาอยู่สักสองสามวันก่อน ถ้าไม่พอใจก็จะไม่เก็บเงินพวกท่าน กู่เหนียงคิดว่าอย่างไร ? ” ยายเจิ้งหมดหนทางแล้วจริง ๆ เพราะในบ้านยังรอเงินค่าเช่ามาซื้ออาหารประทังชีวิต
ใบหน้าเหี่ยวชราเต็มไปด้วยความขอร้องอ้อนวอน ผมขาวปลิวไปตามสายลม ทำให้หลินเว่ยเว่ยเกิดความใจอ่อนขึ้นมาทันที นางหันไปมองเจียงโม่หาน…เจ้าตัดสินใจแล้วกัน
เจ้าหน้าที่ทางการซึ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่อยากกลับไปพร้อมความล้มเหลว จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ถ้าอย่างไร…พวกท่านลองอยู่สักสองสามวันก่อนดีหรือไม่ ? ทุกครั้งที่ถึงช่วงสอบในฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิ บ้านเช่าแถวก้งย่วนจะเป็นที่นิยมมาก วันนี้พวกท่านก็ดูมาสองหลังแล้ว หลังที่เหมาะสมเหลืออยู่ไม่มากจริง ๆ ! ”
เจียงโม่หานสบเข้ากับสายตาอ้อนวอนของหญิงชรา อย่างไรก็พูดปฏิเสธไม่ออก ชาติก่อนที่เขาเข้าสอบนั้นเป็นการสอบในช่วงฤดูใบไม้ผลิในอีกสามปีข้างหน้า ตัวเขาในเวลานั้นมีเงินอยู่ไม่มากจึงซื้อตั๋วเรือไม่ไหว กว่าจะรอคาราวานสินค้าของเมืองจงโจวที่จะไปยังเมืองหลวงผ่านมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเวลานั้นเขาได้ขอติดขบวนมาด้วย
ตอนมาถึงเมืองหลวงก็เกือบถึงเดือนสิบสองแล้ว เขาพักโรงเตี๊ยมไม่ไหว บ้านที่ดีหน่อยก็เช่าไม่ไหวอีก ตอนใกล้จะเข้าตาจน หญิงชราผู้นี้เห็นว่าเขาน่าสงสารจึงรับเงินอันน้อยนิดไว้พอเป็นพิธีแล้วนำฟืนสำหรับบ้านเช่ามาให้เขา ทั้งยังนำอาหารมาให้เป็นครั้งคราว…
หญิงชราในความทรงจำ ผมขาวหมดทั้งศีรษะแล้ว หลังก็ค่อม สภาพเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง สามีของนางก็เสียชีวิตไปกว่า 2 ปีแล้วเช่นกัน…
หลังจากรอให้เขาสอบได้จิ้นซื่อและออกมาจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวเพื่อกลับมาทดแทนบุญคุณของหญิงชรา นางก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว โดยหลานชายที่อยู่ต่างบ้านช่วยจัดงานศพให้นางและขายบ้านหลังนี้ทิ้งด้วย…
“ถ้าเช่นนั้นก็อยู่บ้านหลังนี้ ! ” คิดเสียว่าตอบแทนบุญคุณในชาติก่อนของนางแล้วกัน
หลินเว่ยเว่ยมองเจียงโม่หานด้วยความประหลาดใจ…บัณฑิตน้อยเป็นคนพูดง่ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? ในเวลาปกติคนเรื่องเยอะที่สุดก็คือเขา หรือจะติดเชื้อใจดีจากนาง แล้วกลายเป็นเทพบุตรน้อยผู้หน้าตาดีและจิตใจงดงามด้วย ?
หลินเว่ยเว่ยก็มองออกถึงความทุกข์ในชีวิตของหญิงชรา ขอแค่ชายชราคนนั้นไม่หาเรื่อง นางก็ไม่คิดอะไร เพราะเช่าบ้านไหนก็เหมือนกัน ?
“ได้ ทำตามที่เจ้าว่า ! ” จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ลากบัณฑิตทั้งสองกลับโรงเตี๊ยม…ลองไปอยู่สักสองสามวันก็ไม่เสียหายอะไร แถมยังช่วยประหยัดเงินไปได้หลายวันด้วย ออกมาจากบ้านเพื่อใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก สิ่งใดประหยัดได้ก็ควรประหยัด เชิญเรียกนางว่าเทพธิดาน้อยผู้รู้จักใช้เงิน…
ทว่าเพิ่งจะครึ่งเช้า จึงไม่รีบย้ายข้าวของ หลินเว่ยเว่ยกระตุกแขนเสื้อบัณฑิตน้อย ก่อนจะกวาดตามองถนนอันพลุกพล่าน เมืองหลวงรุ่งเรืองมากจริง ๆ แม้จะต่างกันอยู่มากเมื่อเทียบกับอดีตชาติแล้ว แต่สิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณก็แปลกตาดี คนที่เดินผ่านไปมาก็อยู่ในเครื่องแต่งกายโบราณ ทำให้นางรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในละครโทรทัศน์ ได้สัมผัสกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างออกไป
หมินอ๋องใช้งานองครักษ์เงาของตำหนักอ๋องเพื่อสืบหาการเคลื่อนไหวของบุตรสาวได้อย่างรวดเร็ว พระองค์คอยดำเนินตามเด็กสาวอยู่ห่าง ๆ เมื่อเห็นนางมองอะไรก็เป็นของแปลกตาไปหมด พระองค์ก็นึกถึงคำพูดของฮ่องเต้ว่าเด็กสาวมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ อันห่างไกล หมินอ๋องจึงอดไม่ได้ที่จะปวดพระทัย…หากนางเป็นบุตรสาวของพระองค์จริง ๆ เด็กที่ควรได้เติบโตมาด้วยความรัก ทว่าต้องไปทนลำบากอยู่ในถิ่นทุรกันดารแทน…
หลินเว่ยเว่ยหยุดยืนหน้าร้านน้ำตาลปั้นแล้วมองพ่อค้าปั้นตุ๊กตาน้ำตาลด้วยความตื่นเต้น…ทว่าก็แค่มองแต่ไม่ซื้อ เพราะนางรังเกียจที่พ่อค้าใช้ปากเป่าน้ำตาลปั้นจนน้ำลายกระเด็น