หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 491 บ้านเจ้าอยู่ริมทะเลหรือไร เหตุใดจึงชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านขนาดนี้ ?
- Home
- หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง
- ตอนที่ 491 บ้านเจ้าอยู่ริมทะเลหรือไร เหตุใดจึงชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านขนาดนี้ ?
ตอนที่ 491 บ้านเจ้าอยู่ริมทะเลหรือไร เหตุใดจึงชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านขนาดนี้ ?
ตอนที่พวกนางย้ายสัมภาระเข้าในบ้านเช่า ชายชราเจ้าของบ้านคอยยืนจ้องอยู่ที่หน้าประตูตลอดเวลา ไม่รู้ว่ายายเจิ้งกำชับอะไรไว้หรือเปล่า เขาถึงไม่พูดอะไรสักคำ
“พี่รอง อีกประเดี๋ยวพวกเราจะกินอะไรกัน ? ” หลินจื่อเหยียนเห็นซัวถัวแย่งจัดของและทำความสะอาดห้องให้เสร็จสรรพ เขาจึงลูบท้องที่กำลังร้องพลางถามหลินเว่ยเว่ยที่อยู่หน้าประตู พวกตนยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันเลย !
ซัวถัวนำวัตถุดิบที่เหลือย้ายเข้าไว้ในห้องครัวหลังเล็กและเรียบง่ายของที่นี่ หลินเว่ยเว่ยเข้าไปค้นดู “มื้อเที่ยงนี้เรากินบะหมี่ผัดซอสเต้าเจี้ยว ( จ๋าเจี้ยงเมี่ยน ) ก็แล้วกัน ส่วนตอนเย็นค่อยทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน ! ”
หลินจื่อเหยียนรีบอาสาทำงาน “ข้านวดแป้งเอง ! ” แม้เขาทำอาหารไม่เก่งสักเท่าไร ทว่าตอนอยู่ในบ้านก็ช่วยเป็นลูกมือให้พี่สาวทั้งสองตั้งหลายครั้ง งานนวดแป้งจึงกลายเป็นงานที่ทำจนถนัด ทว่า…ไม่มีอ่างใส่แป้งแล้วจะนวดแป้งอย่างไร ?
หลินเว่ยเว่ยมาหายายเจิ้ง “ท่านยาย ขอข้ายืมอ่างใส่แป้งและเขียงไม้ของบ้านท่านหน่อยได้หรือไม่ ? ”
ระหว่างเพื่อนบ้านจะยืมของใช้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยายเจิ้งไร้เหตุผลที่จะปฏิเสธ หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ได้ใช้ของบ้านพวกเขาโดยเปล่า ตอนทำซอสเต้าเจี้ยวก็ทำให้มากขึ้นหน่อย แล้วยกไปให้ยายเจิ้ง “ขอบคุณท่านยายที่ให้ยืมอ่างและเขียง ซอสเต้าเจี้ยวชามนี้ พวกท่านเก็บไว้กินกับบะหมี่ผัดตอนมื้อค่ำเถิด…”
ยายเจิ้งเห็นในชามซอสเต้าเจี้ยวมีเนื้อบดผสมอยู่กว่าครึ่ง จึงรีบปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก ! ”
“ท่านยาย ซอสเต้าเจี้ยวที่พี่รองของข้าทำออกมานี้อร่อยมากเลย ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองชิมสิ ! ” หลินจื่อเหยียนนำเส้นบะหมี่ที่ทำเสร็จแล้วไปต้มในครัว
ยายเจิ้งคิดในใจ ‘ใส่เนื้อมากมายขนาดนี้ จะไม่อร่อยได้อย่างไร ? ’ นางยังคงส่ายหน้า “ก็แค่ยืมของไม่กี่อย่างเอง ? ไม่ต้องเกรงใจหรอก ! ”
หลินเว่ยเว่ยไม่ยอม “ท่านยาย หากท่านไม่ยอมรับไว้ แล้วต่อไปข้าจะกล้ายืมของจากบ้านท่านได้อย่างไร ? ”
หลังจากปฏิเสธไปยกใหญ่ ท้ายที่สุดยายเจิ้งก็ต้องรับซอสเต้าเจี้ยวไว้ด้วยความเกรงใจ
ส่วนพวกหลินเว่ยเว่ยก็เริ่มรับประทานอาหารเที่ยงที่เลยเวลามาแล้ว หลินจื่อเหยียนตักซอสเต้าเจี้ยวใส่ชามบะหมี่สองสามช้อน ขณะมองหมูบดที่ผสมในตัวซอส เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พี่รอง เหตุใดข้าจำไม่ได้ว่าเรายังมีเนื้อหมูเหลืออยู่ด้วย ? ”
“มีวัตถุดิบเหลืออยู่เท่าไร เจ้าจะรู้ดีไปกว่าข้าหรือ ? เนื้อหมูเก็บอยู่ใต้ของอย่างอื่น เจ้าแค่ไม่ทันสังเกตเห็นเท่านั้นเอง กินบะหมี่ของเจ้าไปเถิด แม้แต่ของกินก็ยังอุดปากเจ้าไม่ได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยก็หิวแล้ว จึงเริ่มกินบะหมี่ผัดซอสเต้าเจี้ยวคำโต นางกินเร็วมาก แต่ดูไม่เสียมารยาทเลย ท่าทางตอนกินของนางทำให้คนอื่นอยากอาหารกันสุดฤทธิ์
ในซอสเต้าเจี้ยวมีเนื้อหมูอยู่ไม่น้อยและยังรวมเข้ากับห้าเครื่องเทศสูตรลับของหลินเว่ยเว่ยอีก กลิ่นจึงหอมหวนเป็นพิเศษ ภายนอกดูเป็นบะหมี่ผัดซอสเต้าเจี้ยวสีดำทั่วไป แต่ทำให้คนกินบังเกิดความเพลิดเพลินมากเป็นพิเศษและหยุดกินไม่ได้ด้วย
ตาฉู่หรือก็คือสามีของยายเจิ้งคนนั้นกำลังลุกขึ้นแล้วก็นั่งลง ลุกขึ้นแล้วก็นั่งลงอยู่แบบนั้น ขณะเดียวกันปากก็บ่นพึมพำว่า “เวลานี้แล้วยังจะกินอะไรอีก ? เจ้าพวกใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ! เงินบ้านใครก็ไม่ได้ปลิวมาหาง่าย ๆ แต่ไม่รู้จักประหยัดเงิน…”
ยายเจิ้งนำซอสเต้าเจี้ยวเข้าไปเก็บในตู้ของห้องครัว พอได้ยินคู่ชีวิตบ่นแบบนั้นแล้วก็พูดกับเขาว่า “บ้านเจ้าอยู่ริมทะเลหรือไร เหตุใดจึงชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านขนาดนี้ ? พวกเขามากินหรือดื่มของเจ้าหรือ ? ผู้เช่ารายนี้ถือว่ายังเป็นคนจิตใจดี ยืมเขียงไปแล้วก็ยังเอาซอสเต้าเจี้ยวมาให้เราตั้งหนึ่งชาม เพื่อนบ้านแบบนี้จะไปหาได้จากที่ไหน ? ถ้าเจ้ายังสร้างเรื่องวุ่นวายให้ข้าอีก เดือนหน้าพวกเราได้กินลมแทนข้าวกันแน่ ! ”
“ได้ ! ข้าเข้าใจแล้ว ! ” ตาฉู่ขานรับเสียงดังลั่น จากนั้นก็เดินเอามือไพล่หลังออกจากห้อง เขาเหลือบมองเข้าในห้องครู่หนึ่ง ใช้โอกาสที่ยายเจิ้งไม่ทันสังเกตเห็นก็แอบเข้าไปในครัวแล้วหยิบชามซอสเต้าเจี้ยวอันหอมหวนออกจากตู้ หลังสูดกลิ่นแล้วก็น้ำลายไหลทันที พอลังเลอยู่พักหนึ่งเขาก็หยิบช้อนมาตักซอสเต้าเจี้ยวเข้าปาก…อืม เค็มกำลังพอดีแถมยังมีกลิ่นหอม พอกลิ่นซอสและกลิ่นเนื้อมาผสานรวมกันแล้วมันก็ช่างอร่อยจริง ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะตักเพิ่ม…
หลังจากรอให้ยายเจิ้งมาเห็น ตาฉู่ก็กินเข้าไปกว่าครึ่งชามแล้ว ยายเจิ้งโมโหขึ้นมาทันที ขณะที่กำลังจะด่าก็กลัวว่าจะรบกวนผู้เช่าจึงแย่งซอสที่เหลือมาถือไว้พลางกดเสียงต่ำเพื่อด่าเบา ๆ ว่า “กินไปเยอะขนาดนี้ ไม่กลัวสำลักตายหรือไร ! ”
ขณะมองซอสเต้าเจี้ยวที่เหลืออยู่ครึ่งชาม ยายเจิ้งก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที…ถ้านำไปตุ๋นใส่ผักกาดขาวและถู่โต้วก็สามารถกินได้อีกตั้งหลายวัน ตาเฒ่านี่ เหตุใดถึงได้ตะกละแบบนี้ ?
ตาฉู่ยังเฉไฉอีก “เจ้าเด็กคนนั้นไม่ได้บอกหรือว่าพี่รองทำอาหารอร่อย ? ข้าก็แค่ลองชิม…อร่อยจริง ๆ ด้วย ! ”
ในบ้านไม่ได้มีอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากว่าครึ่งปีแล้ว ตอนที่ฐานะครอบครัวยังไม่ตกต่ำ ชายชราเป็นเจ้านายที่ต้องมีเนื้อถึงจะยอมกินข้าว…ช่างเถิด อย่างไรก็กินไปแล้ว ! ยายเจิ้งวางแผนจะต้มบะหมี่ในเย็นนี้เพื่อกินกับซอสเต้าเจี้ยวที่เหลือ !
หลังกินข้าวเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็นั่งพักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหิ้วตะกร้าใบน้อยมาถามหาสถานที่ขายของสดจากยายเจิ้ง “ท่านยาย ปกติท่านซื้อผักซื้อเนื้อจากที่ใดหรือ ? ”
ยายเจิ้งปัดฝุ่นในมือแล้วพูดว่า “ออกจากตรอกไปและเลี้ยวขวา เดินไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะมีตลาดสดตั้งอยู่…แต่ถ้าไปตอนนี้ น่าจะหาซื้ออะไรไม่ได้มากแล้ว ท่านเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นทาง ประเดี๋ยวข้าพาท่านไปก็แล้วกัน ? ”
หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธทันที “ไม่ต้องหรอก อีกอย่างตลาดที่ยายเจิ้งบอกทางก็อยู่ไม่ไกลมาก ข้าไปเองได้” ยายเจิ้งอายุปูนนี้แล้ว ขาก็ไม่ค่อยดี แล้วนางจะกล้ารบกวนหญิงชราได้อย่างไร ?
อีกอย่าง การออกไปซื้อผักก็เป็นแค่ข้ออ้างของนางเท่านั้น เพราะการออกไปคนเดียวจะสะดวกในการนำเนื้อและผักออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณมากกว่า ในห้วงมิตินางเลี้ยงไก่ป่าเอาไว้ แถมในเวลาปกติยังกักตุนเนื้อหมู เนื้อแพะไว้ด้วย นอกจากนี้ยังมีของป่าอีกสองสามอย่าง เพราะกังวลว่าระหว่างทางจะหาซื้อของที่อยากกินไม่ได้และทำให้บัณฑิตน้อยต้องหิวจนผอมโซ สำหรับพวกผักก็ปลูกไว้ในห้วงมิติตลอด เพียงเข้าสู่ฤดูหนาว นางก็แค่หยิบออกมาบางชนิดเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
หลินเว่ยเว่ยมาถึงตลาดสดที่ยายเจิ้งบอกอย่างรวดเร็ว ตอนบ่ายมีของขายอยู่ไม่มาก แผงเนื้อก็เหลือแค่หางหมูกับเนื้อติดกระดูก หลินเว่ยเว่ยเหมามาทั้งหมด แผงขายเนื้อแพะกำลังเก็บร้าน พอเห็นหลินเว่ยเว่ยซื้อหางหมู เขาก็ลองขายเนื้อที่เหลือในแผงของตน “กู่เหนียง ตับ หัวใจ กระเพาะ ม้ามและปอดแพะทั้งหมดนี้คิดแค่ 10 ตำลึง ! ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าบนแผงยังมีหัวแพะอยู่ด้วย นางจึงนึกถึงรสชาติของผัดหัวแพะขึ้นมา “หัวแพะแล้วก็ผ้าขี้ริ้วกับไส้แพะพวกนี้ 20 อีแปะ ขายหรือเปล่า ? ”
คนขายเนื้อแพะอยากให้นางเพิ่มราคาอีกหน่อย “กู่เหนียง ปกติแค่หัวแพะก็ขาย 15 อีแปะแล้ว เอาเป็น 25 อีแปะก็แล้วกัน น้อยกว่านี้ไม่ได้จริง ๆ ! ”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มให้เขาแล้วทำท่าจะเดินจากไป ขณะเดียวกันปากก็ยังพูดว่า “ราคาที่ข้าให้ โดยหลักคืออยากได้หัวแพะ เศษเครื่องในที่ไม่มีคนซื้อและกลิ่นเหม็นสาบอย่างกับอะไรดี อย่าว่าแต่ 5 อีแปะเลย ถ้าเป็นคนอื่นยกให้เปล่า ๆ ก็ยังไม่เอา…”
พ่อค้าขายเนื้อแพะเห็นนางจะเดินออกไปจึงคิดว่าป่านนี้แล้วถ้ายังไม่ได้ขายอีกก็คงจะขายไม่ออกจริง ๆ ขายได้ไม่กี่อีแปะก็ช่างเถิด เขาจึงร้องเรียกนาง “ได้ ยี่สิบก็ยี่สิบอีแปะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเก็บเครื่องในต่าง ๆ ของแพะใส่ตะกร้า จากนั้นก็เดินรอบตลาดอีกหนึ่งรอบ นางไม่ชอบผักเหี่ยวเฉาพวกนั้นจึงเดินออกมาจากตลาด พอเห็นรอบข้างไม่มีคนอยู่แล้ว นางก็ล้วงมือเข้าไปในตะกร้าเพื่อนำหมูสามชั้นที่มีน้ำหนักประมาณ 2 ชั่งจำนวนหนึ่งชิ้น กะหล่ำดอก 2 หัวและผักกวางตุ้งเขียวขจีอีกหนึ่งกำมือออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณ