หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 492 เด็กสาวบ้านใครน่ะหรือ ? เด็กบ้านเปิ่นหวางเอง ! !
- Home
- หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง
- ตอนที่ 492 เด็กสาวบ้านใครน่ะหรือ ? เด็กบ้านเปิ่นหวางเอง ! !
ตอนที่ 492 เด็กสาวบ้านใครน่ะหรือ ? เด็กบ้านเปิ่นหวางเอง ! !
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด ก่อนจะหยิบต้นอ่อนกระเทียมออกมาอีกหนึ่งกำมือ หัวไชเท้าสองหัวและตะไคร้ จนตะกร้าไม่เหลือที่ว่างแล้ว เนื่องจากบนตะกร้าของนางถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาว คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงไม่มีใครเห็นว่าในตะกร้ามีผักเพิ่มขึ้นมามากมาย
เมื่อกลับถึงบ้านเช่า ยายเจิ้งก็เห็นของที่นางซื้อมา จึงเผยสีหน้าประหลาดใจทันที “ป่านนี้แล้วยังมีผักสดขนาดนี้ให้ซื้ออีกหรือ ? ”
ทันใดนั้นข้ออ้างก็ออกมาจากปากหลินเว่ยเว่ย “มีชาวบ้านคนหนึ่งมัวยุ่งอยู่กับงานบ้าน จึงออกมาขายผักในตอนบ่ายแล้ว ข้าบังเอิญไปเจอเข้าพอดี”
“ไอโหยว ! ซื้อเศษเครื่องในเหล่านี้มา แล้วจะทำกินอย่างไร ? นี่มัน…หางหมู ? หางหมูก็กินได้หรือ ? ” ขณะมองเครื่องในแพะและหางหมูในตะกร้า ยายเจิ้งก็กลัวว่ากู่เหนียงจะโดนพ่อค้าขายเนื้อหลอกขายของให้เสียแล้ว
หลินเว่ยเว่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “หางหมูมีสรรพคุณบำรุงธาตุดินและไขกระดูก ทั้งยังช่วยแก้อาการปวดหลังปวดเอวได้ด้วย เหมาะกับคนสูงอายุมาก”
พอยายเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ใจเต้นแรงขึ้นมาทันที หางหมูนี้ราคาถูก ใช้เงินแค่ 2 อีแปะก็ซื้อได้ 1 หาง ถ้าเป็นอย่างที่นางหนูพูดจริง ๆ ก็มีประโยชน์กับคนสูงอายุ นางกับสามียังพอซื้อไหว
“หลินกู่เหนียง ท่านเข้าใจวิชาแพทย์ด้วยหรือ ? ” หลังได้ยินคำพูดของนางแล้ว ยายเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ในหมู่บ้านของพวกเรามีท่านหมอผู้เก่งกาจอยู่คนหนึ่ง ข้าเรียนสูตรอาหารเพื่อสุขภาพมาจากเขาสองสามอย่าง จึงทำอาหารบำรุงสุขภาพเป็น ยายเจิ้ง ท่านดูนี่ สิ่งนี้คือตะไคร้ มีฤทธิ์ขับลม ใช้กับคนที่เจอลมหนาวหรืออากาศเย็นชื้นได้อย่างดี เย็นนี้ข้าจะทำหางหมูผัดตะไคร้ มันสามารถขับไอเย็นออกจากร่างกายเราได้”
ยายเจิ้งดีใจทันที “อาหารจานนี้ยังช่วยขับไอเย็นได้ด้วย ? ขอบอกตามตรง พอวันที่มีเมฆครึมหรือฝนตก หากตาเฒ่าของบ้านข้าโดนไอเย็นแล้วก็จะปวดหลังกับเจ็บเท้า หมอบอกว่าเป็นอาการของคนที่ได้รับพิษจากความชื้น ต้องกินยาระยะยาว…แต่ท่านก็เห็นฐานะของครอบครัวเรา ไฉนเลยจะกินยาไหว ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูด “ประเดี๋ยวตอนข้าทำหางหมูผัดตะไคร้ ท่านก็มาคอยนั่งมองอยู่ข้าง ๆ แล้วต่อไปก็ทำให้สามีกิน ไม่นานอาการก็จะบรรเทาลงเอง”
“ไอโหยว ! ขอบใจท่านมาก ! ” ยายเจิ้งคิดว่าแม่หนูน้อยคนนี้ใจดีจริง ๆ สามีพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปมากมายขนาดนั้น นางก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจเลยสักนิด แถมยังสอนทำอาหารบำรุงสุขภาพด้วย…ยายเจิ้งไม่รู้ว่าจะขอบคุณเด็กสาวอย่างไรดี
“เครื่องในเหล่านี้ ท่านคิดจะเอาไปทำอะไร ข้าจะช่วยเอง ! ” ยายเจิ้งมองผ้าขี้ริ้วและไส้แพะที่มีกลิ่นเหม็นสาบในตะกร้า…เจ้าของพวกนี้ก็กินได้เหมือนกันหรือ ?
ไฉนเลยหลินเว่ยเว่ยจะให้หญิงชรามาช่วยงาน นางรีบปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก มีพี่หยาเอ๋อร์คอยช่วยแล้ว ! หากท่านไม่มีอะไรทำก็มานั่งดูอยู่ข้าง ๆ ได้ หากแกงเครื่องในแพะทำเสร็จแล้วจะอร่อยมากเลย ทางการแพทย์มีคำกล่าวว่า ‘ใช้อวัยวะรักษาอวัยวะ’ แกงเครื่องในแพะมีม้ามกับกระเพาะ มีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับ สายตาและเลือดลม หากกินในฤดูหนาวยังช่วยคลายความหนาวได้ด้วย ! ”
“โอ้ ! ดี ดี ! ” ยายเจิ้งคาดไม่ถึงว่าเครื่องในที่แผงขายเนื้อแพะไม่เอาจะมีประโยชน์มากขนาดนี้ นางต้องตั้งใจเรียนรู้ เพราะซื้อเนื้อแพะไม่ไหว แต่เครื่องในแพะยังพอซื้อได้ หากนางรู้จักแม่หนูคนนี้ก่อนก็คงจะดี ในบ้านจะได้ไม่ต้องขาดแคลนอาหารจานเนื้อนานกว่าครึ่งปี
หลินจื่อเหยียนที่ออกไปซื้อฟืนก็เดินเข้ามา เขาได้ยินคำพูดเหล่านั้นของพี่รองพอดี… “ในเมื่อแกงเครื่องในแพะมีประโยชน์ถึงขนาดนั้น เหตุใดไม่เห็นพี่รองทำให้กินมาก่อนเลย ? ”
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่เขา แม้ว่าแกงเครื่องในแพะจะมีประโยชน์ แต่การจัดการกับเครื่องในเป็นงานหนักที่แทบเอาชีวิตคนได้เลย ! โชคดีที่มีหยาเอ๋อร์คอยช่วย เช่นนั้นนางไม่มีทางอยากกินและยิ่งไม่มีทางเปลืองแรงเองด้วย
ยายเจิ้งก็ไม่ได้นั่งมองเฉย ๆ นางย้ายเก้าอี้ตัวเล็กเข้ามาเพื่อช่วยงาน ไส้แพะต้องใช้ตะเกียบคีบกลับด้านในออกมา จากนั้นก็ใช้เกลือขัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไส้แพะถึงจะสะอาดหมดจดและหมดกลิ่นเหม็นสาบจริง ๆ
กระเพาะแพะถูกล้างสิ่งสกปรกด้านในด้วยน้ำเย็นก่อน จากนั้นถึงจะต้มด้วยน้ำร้อนแล้วใช้มีดลอกพังผืดออกตอนยังร้อนอยู่ จากนั้นนำไปใส่อ่างและล้างน้ำซ้ำไปซ้ำมา
หัวแพะต้องเผาขนออกให้หมดแล้วใช้มีดขูดอีกรอบ หรือจะถลกหนังตรงหัวออกเลยก็ได้ เก็บไว้เพียงส่วนด้านใน จากนั้นก็แช่น้ำทิ้งไว้ครึ่งวันเพื่อล้างเลือดออกให้หมด หลินเว่ยเว่ยคิดจะเก็บหัวแพะไว้ทำอย่างอื่นจึงเลือกตุ๋นเครื่องในก่อน
เครื่องในแพะถูกต้มทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วยาม หลังกรองน้ำเลือดออกมาจนหมดแล้วก็ใส่หัวหอม ขิง โป๊ยกั๊กและเครื่องเทศจำพวกอบเชย จากนั้นก็ตุ๋นอีกประมาณครึ่งชั่วยาม กว่าจะตุ๋นเสร็จก็เป็นยามซวี ( 19.00 – 20.59 น. ) แล้ว
“หอมมาก ! บ้านใครตุ๋นเนื้อในเวลานี้ จะให้คนอื่นนอนหลับได้อย่างไร ? ” ชาวเมืองหลวงส่วนใหญ่ก็กินอาหารแค่ 2 มื้อในฤดูหนาว ยามซื่อ ( 09.00-10.59 น. ) รับประทานอาหารเช้า ส่วนยามเซิน ( 15.00-16.59 น.) รับประทานอาหารเย็น ในเวลาประมาณยามซวีเช่นนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว
หอมมาก หอมจนแทบจะเอาชีวิตคนได้เลย !
หมินอ๋องรู้ว่า ‘บุตรสาว’ ย้ายออกจากโรงเตี๊ยม จึงมาดูที่พักอาศัยของนางว่าเป็นอย่างไรบ้าง พอได้กลิ่นหอมเข้มข้นลอยมาในอากาศก็อดไม่ได้ที่จะขมวดพระขนง “ละแวกนี้มีร้านอาหารด้วยหรือ ? เหตุใดเปิ่นหวางถึงไม่รู้ ? หากบุตรีมาอยู่ที่นี่แล้วได้กลิ่นอาหารหอมหวนทุกวัน นางจะไม่หิวจนเป็นบ้าเอาหรือ ? แล้วเจ้าบัณฑิตน้อยทั้งสองคนนั้นจะมีสมาธิอ่านตำราอย่างไร ? เจ้าหน้าอ่อนเลือกสถานที่บ้าบออะไรกัน ! ”
หมินอ๋องทอดพระเนตรไปยังเด็กสาวที่ได้รับการยืนยันตัวตนจากฮ่องเต้แล้วพระองค์ก็อยากจะรับ ‘บุตรสาว’ กลับตำหนักโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องทุกข์ทรมานไปพร้อมเจ้าบัณฑิตหน้าขาวแน่นอน !
หมินอ๋องยกพระหัตถ์ลูบพระอุทรแล้วบ่นอุบ “หิวแล้ว ! ไปดูสิว่าในร้านอาหารมีสิ่งใดน่าอร่อยให้กิน กลิ่นหอมถึงได้ยั่วยวนขนาดนี้ ? ”
ราชองครักษ์คนสนิทก็ตามกลิ่นหอมไปด้วย ผ่านไปไม่นานก็กลับมารายงานแล้ว “ทูลท่านอ๋อง บริเวณนี้ไม่มีร้านอาหารพ่ะย่ะค่ะ”
หมินอ๋องเริ่มสับสน “ไม่มีร้านอาหาร แล้วกลิ่นหอมนั้นลอยมาจากที่ใด ? ”
ราชองครักษ์คนสนิทเงยหน้ามองพระองค์ “ปะ…เป็นแกงแพะที่ ‘เด็กสาว’ คนนั้นทำเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เด็กสาว ? เด็กสาวบ้านไหนจึงเก่งขนาดนี้ ? ” พอเห็นราชองครักษ์มองดวงพักตร์อีกครั้ง หมินอ๋องก็มีดวงเนตรเบิกกว้างในทันทีและชี้มาที่พระองค์เอง “เด็กสาวของบ้านเปิ่นหวาง ? เป็นบุตรสาวสุดที่รักคนนั้นจริงหรือ ? ฮ่าฮ่าฮ่า…เก่งกาจ ฉลาด มีไหวพริบและมีฝีมือถึงขนาดนี้ จะไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ของตระกูลจ้าวได้อย่างไร ? ”
หมินอ๋องรีบใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นต้นไม้ในตรอกนั้นเพื่อทอดพระเนตรเข้าไปในบ้านที่พวกหลินเว่ยเว่ยเช่าอยู่ ห้องครัวเล็ก ๆ สว่างด้วยแสงเทียนสลัวพร้อมกลิ่นหอมที่กำลังลอยออกมา ร่างผอมเพรียวเดินไปเดินมาในลานบ้าน…
หมินอ๋องสูดกลิ่นหอมเข้าลึก…ไม่ได้เสวยแกงแพะที่ ‘บุตรสาว’ ทำ แต่ได้ดมกลิ่นมากหน่อยก็ยังดี
ตอนที่ร่างของเจียงโม่หานปรากฎในลานบ้าน หมินอ๋องก็จ้องอย่างเอาเป็นเอาตายทันที…เจ้าไก่อ่อนได้กินอาหารฝีมือ ‘บุตรสาว’ แต่คนเป็นฟู่หวางกลับต้องมาปีนต้นไม้เพื่อดมกลิ่น ความยุติธรรมอยู่แห่งหนใด ? เมื่อไรจะได้เสวยอาหารจากความกตัญญูของ ‘บุตรสาว’ ?
เจียงโม่หานที่ยืนหันหลังให้ต้นไม้ก็หยุดเดินไปพักหนึ่ง เพราะเขามีความรู้สึกอยากเอื้อมมือมากุมหน้าผากตัวเอง…หมินอ๋องช่วยยกระดับการสะกดรอยตามหน่อยได้หรือไม่ อย่าซ่อนศีรษะแต่โผล่หางออกมาได้หรือเปล่า ?
หลังก้มหน้ามองแกงเครื่องในแพะที่ชวนน้ำลายไหลในมือแล้ว แววตาของเจียงโม่หานก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแสนภาคภูมิใจ…พอได้กลิ่นนี้แล้ว หมินอ๋องอยากจะเสวยบ้างหรือเปล่า ?