หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 493 นางคือชาวนามืออาชีพ
ตอนที่ 493 นางคือชาวนามืออาชีพ
ตามที่เจียงโม่หานรู้จักฟู่หวางซึ่งไร้วาสนาต่อกันในชาติก่อน คนผู้นี้เป็นนักกินตัวยง แม้แต่ร้านอาหารลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกที่สุดของเมืองหลวง พระองค์ก็ไปเป็นลูกค้ามาแล้ว ถ้าได้ยินว่าที่ใดมีอาหารโอชะไม่เหมือนร้านใด หากไม่ไกลเกินพันลี้ พระองค์ก็จะไปลองชิมแน่นอน วันนี้จึงไม่รู้ว่าพระองค์สามารถอดทนได้อย่างไร !
ยายเจิ้งช่วยงานมาตลอดทั้งบ่าย หลังต้มแกงเครื่องในแพะเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ตักให้นางสองชาม…เพื่อนบ้านนี่นา การไปมาหาสู่กันถึงจะมีความราบรื่น !
ยายเจิ้งปฏิเสธไม่เคยชนะ วันรุ่งขึ้นจึงเก็บผักสองสามชนิดในแปลงไปให้หลินเว่ยเว่ย
ในขณะที่แกงยังไม่ทันต้มเสร็จและกลิ่นหอมเพิ่งลอยฟุ้งในอากาศ ตาฉู่ก็นั่งไม่ติดแล้ว เขารับประทานอาหารเย็นมาได้ 2 ชั่วยาม บะหมี่ผัดซอสเต้าเจี้ยวชามนั้นที่กินไปแล้วจึงย่อยพอสมควร เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงเตาอุ่น ๆ แต่ไม่ว่าจะพลิกตัวไปมาเหมือนแป้งทอดอย่างไร เขาก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดี
ตอนที่หลินเว่ยเว่ยนำแกงเครื่องในแพะมาให้ ตัวเขาก็ได้ยินแล้วจึงรีบแต่งตัวออกไปนั่งข้างนอก ตอนยายเจิ้งยกแกงเครื่องในแพะเข้ามา เขาก็กลั้นความตะกละเอาไว้แล้วแค่นเสียง ฮึ ฮึ “ปกติเจ้าไม่ยอมเอาเปรียบคนอื่น ? แล้วเหตุใดวันนี้ยังรับมาอีกชาม ? ”
“หลินกู่เหนียงน่ารักมาก ปฏิเสธมากเกินไปก็จะดูไม่ดี แกงเครื่องในแพะนี้ข้าก็เรียนทำมาแล้ว คราวหน้าตอนพวกเราทำก็ค่อยเอาไปให้พวกนางสักสองสามชาม ! ” ยายเจิ้งอ่านท่าทางเสแสร้งของตาเฒ่าออก นางจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รีบกินตอนยังร้อนเถิด ! กินเสร็จแล้ว ข้าจะได้เอาชามไปล้างแล้วคืนพวกนาง ! ”
ตาฉู่มองภรรยาด้วยความประหลาดใจ…นางเปลี่ยนเป็นคนใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน แกงสองสามชามที่ว่าจะต้องถูกนางเก็บไว้อีก 2 วันแล้วค่อยเอาออกมากินแน่นอน !
ยายเจิ้งยิ้มจนตาหยีแล้วมองเขา “แกงเครื่องในแพะหม้อใหญ่ รวมค่าวัตถุดิบแล้วยังเป็นเงินแค่ 10 อีแปะ แต่ทำแล้วกินได้ตั้งหลายวัน ! นอกจากได้ซดน้ำแกงแล้วยังเอาผักกาดขาวลงไปต้ม หรือกินกับบะหมี่ได้ด้วย…เจ้าดูเถิด อย่ามองว่าหลินกู่เหนียงคนนี้อายุยังน้อยเลย นางใช้ชีวิตอย่างมีสติ หางหมู 2 หางสามารถทำอาหารออกมาได้หนึ่งจาน วัตถุดิบที่ใช้รวมกันแล้วเป็นเงินแค่ไม่กี่อีแปะเอง
นางยังบอกว่า ไม่ใช่แค่พวกเครื่องในแพะเหล่านี้ ถ้าจัดการเครื่องในหมูดี ๆ แล้วเวลาทำออกมาจะอร่อยกว่าเจ้านี่อีก ! รอให้ข้าทำเป็นเมื่อใด ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องเอาแต่บ่นว่าในบ้านไม่มีอาหารจานเนื้ออีก ! ”
“นางมีฝีมือดีขนาดนี้ ทั้งยังยอมสอนคนอื่นง่าย ๆ อีกหรือ ? ” ตาฉู่คิดว่าเด็กสาวจะเป็นคนโง่ขนาดนี้เชียว เพิ่งรู้จักกันก็สอนคนอื่นทำอาหารแล้ว ?
ยายเจิ้งกลอกตาใส่เขา “หลินกู่เหนียงเป็นคนดี เข้าใจความลำบากของเรานานแล้ว นางกำลังช่วยพวกเรา ! พวกเราจะเนรคุณไม่ได้ ต้องทำกินกันในครอบครัวเท่านั้น จะเอาสูตรของนางไปบอกคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด ! ”
ตาฉู่พยักหน้า “นางหนูคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป เชื่อใจคนอื่นง่ายมาก ! ต่อไปเจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาแทนนางหน่อย อย่าให้โดนชายชั่วหลอกไปได้ ! ”
ยายเจิ้งถลึงตาใส่เขา “เจ้าพูดต่อหน้าข้าก็พอ อย่าไปพูดจาเหลวไหลต่อหน้าหลินกู่เหนียงกับคู่หมั้นเด็ดขาด ข้าคิดว่าเจียงเจี้ยหยวนคนนั้นดูไม่เหมือนคนโลเล”
“เฮอะ ! ตอนแรกผู้ชายของญาญาก็ไม่ได้รักนางหมดหัวใจหรือ ? ต่อมาพอมีเงินเข้าหน่อยก็รับอนุคนแล้วคนเล่าเข้าบ้าน สุดท้ายก็รักอนุจนหลงลืมภรรยาเอก บีบคั้นญาญาของเราจนตาย ! ถ้าเฉียงจื่อของเรายังอยู่ เจ้าเดรัจฉานนั่นไม่มีทางกล้าทำตัวโอหังขนาดนั้นแน่นอน…” เมื่อพูดถึงบุตรสาวที่จากไปและบุตรชายที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายหลังจากเข้าร่วมกองทัพ ตาฉู่ก็ไม่อยากอาหารขึ้นมาทันที
ขณะพูด ยายเจิ้งก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังจะพูดเรื่องพวกนี้ทำไมอีก ? ตอนนี้ข้าเหลือแค่เจ้าคนเดียว เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ขณะมองผมสีขาวบนศีรษะของคู่ชีวิต ตาฉู่ก็ตบหลังมืออันผอมแห้งของนาง “ใช่ เราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่างไรเจ้าเดรัจฉานนั่นก็ต้องได้รับผลกรรม ! ใครก็บอกว่าไม่มีข่าวถึงจะเป็นข่าวดีที่สุด ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งเฉียงจื่ออาจกลับมาก็ได้ เราต้องดูแลบ้านหลังนี้แทนเขาดี ๆ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ลูกสะใภ้ก็อาจแต่งเข้าบ้านไม่ได้…”
ยายเจิ้งไม่มีความหวังอะไรต่อการกลับมาของบุตรชายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำลายความหวังของคู่ชีวิต นางดันชามแกงเครื่องในแพะใส่มือตาเฒ่าแล้วฝืนยิ้ม “ใช่ ! เจ้าจะต้องดูแลร่างกายให้ดี จะได้มีแรงอุ้มหลาน ! กินเถิด ถ้ายังไม่กินอีกมันจะเย็นเอาได้ หลินกู่เหนียงบอกแล้วว่าแกงเครื่องในแพะดีต่อสุขภาพ ! ”
ส่วนพวกหลินเว่ยเว่ย ตอนนี้กำลังนั่งล้อมวงและรับประทานอาหารเย็นกันอยู่ แกงเครื่องในแพะ หางหมูผัดตะไคร้และยังมีผัดกะหล่ำดอกอีกจาน อาหารหลักคือเครื่องในแพะกับข้าวขาว
แกงเครื่องในแพะกลิ่นหอมหวนกับหางหมูกรอบ ๆ ผัดใส่ตะไคร้ เวลากินแล้วมีรสสัมผัสสุดยอด หลินเว่ยเว่ยแทะหางหมูไปพลางพูดไปด้วย “พรุ่งนี้ไปซื้อเขียงใหม่สักอันแล้วก็โต๊ะกับเก้าอี้อีกสักสองสามตัว อย่างไรก็จะใช้โต๊ะเขียนหนังสือมาทำเป็นโต๊ะกินข้าวตลอดไม่ได้ ทำให้เปื้อนแล้วจะเขียนอักษรได้อย่างไร ? ”
“ไม่รีบ พรุ่งนี้พักผ่อนสักวัน ขาดเหลืออะไรพวกเราค่อยซื้อเข้ามาก็ได้” ระหว่างเดินทางนี้ คนเหนื่อยที่สุดก็คือเด็กน้อย ลำบากมาตลอดทางยังไม่เคยบ่น แถมยังต้องคิดหาของกินให้พวกเขาอีก ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่มีเวลาว่างสักอึดใจเดียว ขณะมองร่างกายที่ผอมเพรียวของนางแล้ว เจียงโม่หานก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เหนื่อย ! พรุ่งนี้เจ้ากับต้าฮว๋าพักกันเถิด ประเดี๋ยวข้า พี่ซัวถัวแล้วก็พี่หยาเอ๋อร์จะออกไปซื้อของเอง อย่างไรก็ต้องซื้อเขียงกับอ่างกลับมาก่อน เพราะจะเอาแต่ยืมของคนอื่นไม่ได้” บนตัวหลินเว่ยเว่ยราวกับมีพลังที่ไม่มีวันหมด เมื่อก่อนตอนอยู่หมู่บ้านฉือหลี่โกว นางก็มักทำตัวให้ยุ่งเสมอจึงชินชากับมันแล้ว
ห้องปีกทางตะวันตกและตะวันออกรวมมีด้วยกัน 4 ห้อง หลินเว่ยเว่ยและพวกเจียงโม่หานพักคนละห้อง ส่วนซัวถัวและหยาเอ๋อร์สองสามีภรรยาอยู่ห้องเดียวกัน หยาเอ๋อร์ยังอยากจะอยู่ห้องเดียวกับหลินเว่ยเว่ยเพื่อคอยดูแล…เพราะนางได้ยินมาว่าสาวใช้ในบ้านตระกูลใหญ่ก็จะอยู่กับเจ้านายตลอดทั้งคืน
หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “พี่หยาเอ๋อร์ ที่ข้าให้เจ้าตามมาด้วย ไม่ได้ให้มาเป็นสาวใช้ แต่เป็นหัวหน้าแม่บ้านคอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ! และตัวข้าเองก็อยู่คนเดียวจนชินแล้ว มีคนเพิ่มก็จะนอนไม่หลับ”
สองสามีภรรยาคู่นี้เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ระหว่างหนึ่งเดือนที่เดินทางมานี้ก็นอนแยกห้องกันตลอด ยิ่งห่างไกลยิ่งทำให้คิดถึงกัน หากนางเห็นด้วยที่ให้หยาเอ๋อร์มานอนค้างในห้องกับตน นางก็จะไม่ได้กลายเป็นคนใจร้ายที่แยกคู่รักข้าวใหม่ปลามันออกจากกันหรือ ? อีกอย่างคือนางมีความลับที่บอกใครไม่ได้อยู่ หากมีคนมาร่วมห้องก็ไม่สะดวก !
หลังจากผลักหยาเอ๋อร์กลับห้องไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็บอกฝันดีกับบัณฑิตน้อยแล้วลงกลอนประตูห้องเพื่อเข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณทันที นางแช่ตัวในบ่อที่มีน้ำพุวิญญาณอยู่อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังเด็ดลูกท้อซึ่งหวานและสดใหม่มากินอย่างเพลิดเพลิน
นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ข้าวสาลีที่ปลูกไว้สูงเท่าต้นขา ข้าวโพดก็สูงกว่าครึ่งตัวคน ที่เติบโตได้ดีสุดต้องยกให้ข้าวขาว 20 หมู่…ใช้น้ำพุวิญญาณหล่อเลี้ยงจะไม่เจริญเติบโตอย่างงดงามได้หรือ ?
ทว่าเนื่องจากเมล็ดข้าวขาวในสมัยโบราณมีจำกัด ดังนั้นผลผลิตของข้าวขาวอย่างมากสุดก็ได้ไม่เกิน 500-600 ชั่ง แต่ผลผลิตปริมาณเท่านี้ก็แทบกลายเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่มีอยู่จริงในยุคนี้ ! ข้าวขาวนอกห้วงมิติน้ำพุวิญญาณให้ผลผลิตประมาณ 200 ชั่งต่อหมู่ หากได้ 300 ชั่งก็ถือว่าเป็นผลผลิตที่สูงมากแล้ว หากนำเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวที่ให้ผลผลิต 500 ชั่งต่อหมู่ออกไป แม้แต่ฮ่องเต้ก็คงแตกตื่นพระทัย !
แต่หลินเว่ยเว่ยที่เคยได้เห็น ‘อานุภาพ’ ของข้าวพันธุ์ผสมปู่หยวน ( บิดาแห่งข้าวไฮบริดของจีน ) แล้วย่อมไม่พอใจต่อผลผลิตแค่ 500-600 ชั่งต่อหนึ่งหมู่อย่างแน่นอน