หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 494 โจรโฉดคือ…ท่านอ๋อง ?
ตอนที่ 494 โจรโฉดคือ…ท่านอ๋อง ?
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางในชาติที่แล้วก็เป็นนักศึกษาชั้นแนวหน้าของภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร มีความชำนาญด้านการผสมพันธุ์ข้าว ‘นางสามารถมองได้ไกล ก็เพราะนางยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์’ ดังนั้นการจะสร้างเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวให้มีผลผลิต 1,000 ชั่งต่อหมู่ นางยังมีความเชื่อว่าจะทำสำเร็จ !
หลินเว่ยเว่ยที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุคสมัยอันรุ่งเรืองของประเทศจีนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องปัจจัยสี่ ย่อมไม่รู้ว่าผลผลิตข้าว 1,000 ชั่งต่อหมู่ มีความหมายต่อราษฎรหรือราชสำนักอย่างไร
ยกตัวอย่างเรื่องภาษีที่ดินสิบห้าส่วนขึ้นมาพูดก็แล้วกัน หากผลผลิตต่อ 1 หมู่อยู่ที่ 150 ชั่ง ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวน 10 ชั่ง ส่วนราษฎรจะได้เก็บไว้กิน 140 ชั่ง และถ้าหักปัจจัยอื่นออกไปแล้วผลผลิตต่อหนึ่งหมู่ก็จะเพียงพอให้คนวัยหนุ่มจำนวนหนึ่งคนกินได้เพียงเดือนกว่าเท่านั้น…
จำนวนที่ดินซึ่งถูกเก็บบันทึกไว้ในสถิติของต้าเซี่ยคือ หนึ่งร้อยเก้าสิบล้านหมู่ ทว่าภาษีที่เก็บได้กลับมีน้อยกว่าสี่ถึงหกร้อยล้านชั่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือที่นาส่วนใหญ่ยังเป็นของครอบครัวขุนนางและผู้มีอำนาจที่ได้รับการยกเว้นภาษี…
ถ้าผลผลิตมีถึง 1,000 ชั่งต่อหมู่ อย่าว่าแต่ภาษี 15 ต่อหมู่เลย แม้จะเก็บ 20 ก็ได้ภาษีที่ดินกลับมามากกว่า 5 เท่า
ราษฎรยังเหลือข้าวไว้กินมากกว่าเดิม ดังนั้นราษฎรที่ได้รับผลประโยชน์จึงยินดีที่จะลงแรงบุกเบิกพื้นที่รกร้างแล้วขยับขยายพื้นที่ทางการเกษตร เมื่อราษฎรมั่งมีแล้วแผ่นดินย่อมแข็งแกร่ง ต้าเซี่ยยังต้องกังวลว่าจะไม่ยิ่งใหญ่อีกหรือ ?
ในเวลานี้หลินเว่ยเว่ยว่าที่ ‘มารดาแห่งข้าว’ กำลังเดินเล่นอยู่ตามถนนของเมืองหลวง นางได้เจอเขียงที่ถูกใจแล้ว เมื่อต่อรองราคาเสร็จก็จ่ายเงิน พอหันกลับไปมองก็ได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย…ลุงที่มีเคราเหมือนขนเม่น ณ โรงเตี๊ยม !
เฮอะ ! เจ้าหมอนี่ไม่ได้สะกดรอยตามนางเพียงวันเดียวเสียแล้วสิ หรือว่าจับตามองนางตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมาแล้ว ? โจรในเมืองหลวงกล้าลงมือโจ่งแจ้งขนาดนี้เลยหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาไปมาแล้วให้ซัวถัวกับหยาเอ๋อร์นำของที่ซื้อกลับไปบ้านเช่าก่อน จากนั้นก็ล่อลุงเคราขนเม่นไปยังตรอกที่มีผู้คนเข้าออกน้อย…
“เด็กคนนั้น ไม่มีธุระแล้วจะเข้าไปในตรอกมืดทำไม ? หากไปเจอคนชั่วเข้าจะทำอย่างไร ? ชอบทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงนัก ! ” หมินอ๋องบ่นพึมพำขณะดำเนินเข้าไปในตรอก แต่พอดำเนินไปจนสุดตรอกแล้วกลับไม่พบร่างของคนที่ตามหา หืม นางหายไปไหนแล้ว ?
“เจ้ากำลังตามหาข้าอยู่หรือ ? ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ออกมาปรากฏกายทางด้านหลังพร้อมถือไม้นวดแป้งที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่ไว้ในมือและใช้มันเคาะที่ฝ่ามือเบา ๆ
หืม ? เด็กคนนี้วิ่งมาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อใด ? ใช้ได้ไม่เบา มีพรสวรรค์ดี ! หมินอ๋องคาดไม่ถึงว่าพระองค์จะมีวันที่สะกดรอยตามเป้าหมายผิดพลาดและยังโดนขวางไว้ในตรอกด้วย !
“หากข้าจำไม่ผิด เมื่อวานข้าก็เจอเจ้าที่โรงเตี๊ยม วันนี้ยังบังเอิญมาเจออีก มันบังเอิญไปหน่อยใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยนำไม้นวดแป้งมาพาดไว้บนไหล่ ก่อนจะเปล่งเสียงแบบอันธพาลออกมาด้วยความเบื่อหน่าย
หมินอ๋องกระแอมไอแก้ขัดเขินแล้วพยักดวงพักตร์ “ใช่ บังเอิญมาก ! ”
“เจ้าตามข้ามานานขนาดนี้ ไม่ทราบว่าอยากได้ทรัพย์สินหรืออยากได้ตัวข้า ? หรือว่าอยากได้ทั้งสองอย่างกันแน่ ? ” หลินเว่ยเว่ยไม่พูดจาอ้อมค้อม นางเปิดประเด็นออกมาตามตรง
หมินอ๋องแทบสำลักน้ำลาย “เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาเหลวไหลอะไร ? โรงเตี๊ยมมีแค่เจ้าคนเดียวที่ไปได้หรือ ? บนถนนมีเจ้าแค่คนเดียวที่เดินได้หรือไร ? ”
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อยว่ามาทำอะไรในตรอกที่ไร้ผู้คนแบบนี้ ? ” หลินเว่ยเว่ยเผยแววตาเชือดเฉือนพร้อมร่างกายผอมบางที่ปลดปล่อยพลังงานอันน่าเกรงขามออกมา
หมินอ๋องอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในหทัย สมแล้วที่เป็นเมล็ดพันธุ์ตระกูลจ้าว แม้จะไม่ได้เติบโตข้างพระวรกาย แต่กลับมีรัศมีอันเป็นเอกลักษณ์ของคนตระกูลจ้าว รัศมีของพวกพระองค์มาจากการกรำศึกสงครามมานับพันสนาม แต่เด็กคนนี้มีตั้งแต่กำเนิด…ต้องขอบคุณที่สวรรค์ประทานลงมา ทำให้คนอดริษยาไม่ได้ !
หมินอ๋องแย้มพระโอษฐ์ “นางหนู ในเมื่อเจ้ามาเดินในตรอกนี้ได้ แล้วเหตุใดข้าจะมาบ้างไม่ได้ ? ”
“ทำไมน่ะหรือ ? แน่นอนว่าเป็นเพราะ…เหตุผลนี้ ! ” หลินเว่ยเว่ยเบื่อพูดกับอีกฝ่ายแล้ว นางพุ่งออกไปพร้อมไม้นวดแป้ง…แน่นอนว่าใครมือหนักกว่ากันก็ได้เป็นพี่ใหญ่ !
ฟิ้ว ! ในขณะฟังเสียงของไม้นวดแป้งปะทะเข้ากับสายลม พระองค์ก็รู้ได้ถึงพละกำลังของเด็กคนนี้และความรวดเร็วขนาดไหน…คุณสมบัติของผู้ที่เกิดมาเป็นนักรบ ! ฮ่าฮ่า ! หมินอ๋องเผยดวงเนตรชื่นชมและตัดสินพระทัยว่าจะทดสอบศิลปะการต่อสู้ของ ‘บุตรสาว’ สักพัก
หลินเว่ยเว่ยเรียนศิลปะการต่อสู้จากหลีชิงได้ระยะหนึ่ง เมื่อรวมกับพละกำลังที่มีแล้วแค่ไม้นวดแป้งอันเดียวก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก แต่น่าเสียดายที่ไม้นวดแป้งทั้งเบาและเปราะบางเกินไปจึงใช้ไม่ถนัดมือ หากเอากระบองเหล็กของนางมาด้วยก็คงดี !
ลุงคนนี้ยังถือว่าเก่งพอตัว เพราะสามารถสู้กับนางได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ หลินเว่ยเว่ยสะดุดและก้าวพลาด ส่วนไม้นวดแป้งก็ลอยผ่านศีรษะของหมินอ๋องไป
สวรรค์ หากคราวนี้พลาดท่าโดนเข้าจริง ๆ ศีรษะของพระองค์ต้องแตกแน่ ! หมินอ๋องเหน็บกระบี่ไว้ที่บั้นพระองค์หนึ่งเล่ม ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ผู้ที่จะสามารถบีบให้พระองค์ชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อรับมือ ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมา หลังจากได้รู้ว่า ‘บุตรสาว’ มีพละกำลังมหาศาล หมินอ๋องก็ไม่คิดจะรับมือกับนางโดยตรง…ทำเพียงหลบ และหลบหลีก จากนั้นก็หลบแล้วหลบอีก…
หลินเว่ยเว่ยควบคุมไม่ทัน พอไม้นวดแป้งกระทบกับกำแพงก็แตกเป็นสี่ห้าส่วนทันที ส่วนอิฐกำแพงก็แตกออกด้วย นี่ยังเป็นพลังแค่ 2-3 ส่วนของนางเท่านั้น เพราะหากใช้พลังทั้งหมดก็เกรงว่ากำแพงจะพังลงมาทั้งแถบ
ไม่มีอาวุธอยู่ในมือแล้ว ? ไม่เป็นไร ใช้หมัดก็ได้ ! หัวใจอันกล้าหาญของหลินเว่ยเว่ยถูกปลุกเร้า…ถ้าแม้แต่โจรคนเดียวยังจัดการไม่ได้ แล้วจะปกป้องบัณฑิตรูปงามของนางได้อย่างไร ?
หมินอ๋องปะทะกับนางมือเปล่าสองสามกระบวนท่า…โอ้ เด็กน้อยมีพละกำลังเหนือคนทั่วไปจริง ๆ หากไม่ได้เป็นเพราะมีประสบการณ์หลากหลาย ต่อสู้มือเปล่าจนชำนาญจึงลดทอนพละกำลังส่วนใหญ่ของนางได้ กระดูกแขนของพระองค์ก็คงหักเพราะนาง !
แม้ว่าหมินอ๋องจะไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลมาจากบรรพบุรุษ แต่กำลังแขนก็สูงกว่าคนทั่วไป น้อยครั้งที่จะได้พบกับคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียมกันขนาดนี้ ยิ่งสู้ก็ยิ่งเพลิน ยิ่งสู้ก็ยิ่งตื่นเต้น…
หลังจากสู้กันไปมา ทั้งสองก็ออกมาจากตรอกและไม่ทันสังเกตว่าผู้คนรอบข้างเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ…
“นั่นคือผู้ใด ? กล้าก่อเรื่องในเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ? ” กองกำลังรักษาความสงบในเมืองหลวงที่เข้าเวรอยู่ในวันนี้และกำลังพากันมาลาดตระเวนอยู่บนถนน พอเห็นการสัญจรติดขัดเพราะกลุ่มคนจากระยะไกลแล้วยังมีคนบอกว่าด้านหน้ามีการต่อสู้กัน กองกำลังรักษาความสงบก็พาคนมาทำลายวงล้อมของฝูงชนแล้วล้อมคนที่กำลังต่อสู้เอาไว้
“ไปจับตัว…หืม ? หมินอ๋อง ? ” หนึ่งในนายทหารกองกำลังรักษาความสงบทำท่าทางประหลาดใจ…หมินอ๋องกำลังรับมืออย่างยากลำบากกับเด็กสาวคนหนึ่งบนท้องถนน ? ตนคงไม่ได้ฝันไปหรอกกระมัง ?
เขาต้องฝันไปแน่ ! จะมีคนสติเลอะเลือนที่ใดมาหาเรื่องหมินอ๋อง ? ไม่ถูกสิ…จะมีใครที่ฝีมือสูสีกับหมินอ๋อง ? แถมอีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ?
หรือว่า…จะเป็นเด็กสาวที่หมินอ๋องโปรดปราน พระองค์จึงออมมือให้นาง ? แต่ก็ไม่ใช่อีก ! ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าหมินอ๋องและหมินหวางเฟยรักกันหมดหทัย ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ช่วงสิบกว่าปีมานี้ที่หมินหวางเฟยประชวร หมินอ๋องก็ไม่เคยหมดรัก ?
หรือว่า…บนโลกใบนี้ยังจะมีคนสองคนที่เหมือนกันไปเสียทุกอย่าง ?
มะ…หมินอ๋อง ? เท้าที่เตะออกไปของหลินเว่ยเว่ยทำให้ตัวโจรโฉดถอยออกไป ทันใดนั้นนางก็รีบหันไปมองรอบข้าง หมินอ๋องอยู่ที่ใด ? ทันใดนั้นสายตาของนางก็จับจ้องไปที่นายทหารบนหลังม้าและเห็นว่าเขารีบกระโดดลงมาพลางเดินเข้ามาคารวะลุงเคราขนเม่นที่เพิ่งสู้กับนางเมื่อครู่อย่างนอบน้อม
เวรกรรม ! หลินเว่ยเว่ยแทบจะสำลักคำพูดหยาบคายออกมา บุรุษที่นางคิดว่าเป็นโจรชั่ว กลายเป็น…หมินอ๋องที่ฮ่องเต้ให้ความไว้วางพระทัย เสาหลักแถวหน้าของแผ่นดินต้าเซี่ย…เทพสงครามหมินอ๋อง ?
[i]
1 สามารถมองได้ไกล ก็เพราะยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ หมายถึง การที่คนรุ่นใหม่มองอะไรได้ไกลกว่าคนยุคเก่า ไม่ได้เป็นเพราะเก่งกว่า แต่เป็นเพราะสิ่งที่คนยุคก่อนหน้าทำเอาไว้ได้ช่วยยกระดับการมองเห็นของเราให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้นเหมือนได้ยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์นั่นเอง