หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 496 ทางเลือกของเจียงโม่หาน
ตอนที่ 496 ทางเลือกของเจียงโม่หาน
เจียงโม่หานลูบศีรษะเด็กน้อย ระหว่างที่นางหมุนตัวเดินออกไปทำอย่างอื่น เขาก็เหลือบตามองพื้น…สิ่งที่เด็กน้อยต้องการคือฐานะสูงส่งมากพอ ทำให้นางไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์เหมือนในวันนี้ นางไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก เพราะสิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพียงอย่างเดียวของนางก็คือ ‘ชาติกำเนิด’ !
จี้หยกห้อยคอชิ้นนั้นเคยผ่านสายพระเนตรของฮ่องเต้และหมินอ๋องมาแล้ว เช่นนั้นส่วนที่เหลือก็คือทางเลือกของเขาเอง…
หมินอ๋องทราบจากองครักษ์เงาว่าพอกลับไปแล้ว นางหนูน้อยก็เสียขวัญไม่เบา พระองค์ทั้งขบขันและปวดหทัย…ท่านหญิงแห่งตำหนักหมินอ๋องควรจะได้รับความรักจากคนนับหมื่นนับแสน แม้จะเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจขนาดไหน หรือไปสร้างหายนะก็ยังมีพระองค์และฮ่องเต้คอยให้ท้าย…เหตุใดฮ่องเต้ถึงได้ทำอะไรชักช้าขนาดนี้ ? เมื่อใดจะให้พระองค์กับ ‘บุตรสาว’ ได้ทำความรู้จักกัน !
สิ่งที่ทำให้หมินอ๋องปวดพระทัยยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากวันที่พระองค์และ ‘บุตรสาว’ ต่อสู้กันแล้ว นอกจากออกไปตลาดเพื่อซื้อของใช้จำเป็น นางก็แทบไม่ออกมาจากบ้านเช่าอีกเลย
วันนั้น ตอนที่นางหนูเดินซื้อของบนถนนดูมีความสุขมากไม่ใช่หรือ แค่มองก็รู้ว่าชอบความคึกคัก แต่ตอนนี้กลับอยู่ห่างประตูบ้าน…แม้แต่พระองค์ก็ยังรู้สึกอุดอู้แทนนาง
เพราะคิดถึง ‘บุตรสาว’ ที่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกัน หมินอ๋องจึงไม่มีกะจิตกะใจอยากเข้าร่วมประชุมประจำราชสำนักสักเท่าไร ฮ่องเต้หยวนชิงเห็นอีกฝ่ายเหม่อลอย จึงรั้งตัวเอาไว้หลังจบการว่าราชการยามเช้า
ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรสหายสนิทด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม “ได้ยินมาว่าเจ้าไปทะเลาะกับนางบนถนนและยังมีสภาพไม่รู้แพ้รู้ชนะด้วย…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
หมินอ๋องดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท! เด็กสาวที่พระองค์ตรัสถึงคนนั้น ไม่ต้องสืบหาอะไรอีกต่อไปแล้ว นางจะต้องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่พลัดพรากไปของตระกูลจ้าวแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ! ”
พอฮ่องเต้หยวนชิงได้ยินแบบนั้นก็ตรัสว่า “หืม ? เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนัก ? ”
หมินอ๋องแย้มพระโอษฐ์จนแทบจะฉีกถึงใบหู สีพระพักตร์กระจ่างใส “วันนั้น ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด แต่คนที่สามารถสู้กับกระหม่อมได้นานถึง 2 ก้านธูปแล้วยังไม่ตกที่นั่งลำบาก ถือว่ามีอยู่ไม่กี่คน ! พละกำลังของนางหนูคนนั้นได้มาจากท่านลุงของกระหม่อมจริง ๆ กำปั้นแบบนั้น ถ้ากระหม่อมไม่ได้ใช้วิธีลดทอนกำลังของนางลง กระดูกของกระหม่อมคงหักไปหลายท่อนแล้ว…แล้วก็ กระบวนท่าของนางธรรมดาเกินไป ถ้าเติบโตข้างกายกระหม่อมตั้งแต่เด็ก แม้แต่จินเฉิงสามคนรวมพลังกันก็ยังสู้นางไม่ได้แน่นอน…”
“ทำไมหรือ ? เจ้ายังคิดจะแต่งตั้งแม่ทัพหญิงขึ้นมาหรือไร ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงเห็นว่าช่างน่าขัน พระองค์อยากเห็นสภาพของพระสหายสนิทโดนเตะต่อยจนมือไม้อ่อนเหลือเกิน พูดกันว่าเจ้านี่ไปถามหายาแก้ฟกช้ำจากสำนักหมอหลวงเป็นจำนวนมาก ดูแล้วสภาพคงไม่ดีสักเท่าไร !
หมินอ๋องเบิกดวงเนตรให้ดุดันขึ้น “เหตุใดจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ? บุตรสาวตระกูลจ้าวของกระหม่อม จะด้อยกว่าคนอื่นได้อย่างไร ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงย้อนถามด้วยความเชื่องช้า “เจ้าถามพระชายาหรือยัง ? เจ้าแน่ใจว่านางอยากให้บุตรสาวแสนบอบบางไปอยู่ในหมู่ผู้ชายหยาบกระด้างหรือไร ? ”
“เอ่อ…” หมินอ๋องเงียบไปพักหนึ่ง “กระหม่อมย่อมเคารพการตัดสินใจของฮูหยินอยู่แล้ว แต่กระหม่อมก็เชื่อว่านางเป็นมารดาที่มีเหตุผลและจะต้องเคารพการตัดสินใจของพวกลูก ๆ แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หยวนชิงยังตรัสอีกว่า “แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่า ‘บุตรสาว’ จะเลือกขี่ม้ายิงธนู แต่ไม่เลือกดีดพิณวาดภาพ ? ”
“กระหม่อมต้องมั่นใจอยู่แล้ว เพราะในกายนางมีเลือดของตระกูลจ้าวไหลเวียนอยู่! แน่นอนว่าหากมีกระหม่อมกับพี่ชายของนางอยู่ หากนางเลือกที่จะเป็นสตรีบอบบางในห้องหอ กระหม่อมก็ยินดีที่จะตามใจนางพ่ะย่ะค่ะ”
มีเด็กสายตัวน้อยน่ารักคอยเรียกว่า ‘ฟู่หวางเพคะ’ คอยทำนิสัยออดอ้อนเอาใจ ความรู้สึกแบบนั้นดีจะตายไป ! แค่คิดแล้วระหว่างพระขนงของหมินอ๋องก็ดูผ่อนคลายทันที
แต่ฮ่องเต้หยวนชิงยังจงใจแกล้งต่อ “ยังแน่ใจไม่ได้หรอกว่าชายาของเจ้าให้กำเนิดทารกเพศหญิงออกมา ! ไม่แน่ว่าอาจเป็นหนุ่มน้อยก็ได้ ? ”
สีพระพักตร์ของหมินอ๋องเปลี่ยนไป พระขนงก็ขมวดมุ่นอีกรอบ “เป็นไปไม่ได้ ! พ่อลูกมีจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน กระหม่อมมั่นใจว่าเด็กสาวคนนั้นคือบุตรสาวแท้ ๆ ของกระหม่อม ! กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทไม่ต้องเปลืองแรงสืบหาอะไรแล้ว ให้เราสองพ่อลูกได้เจอหน้ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าไม่กลัวเข้าใจผิดแล้วทำให้สายเลือดตระกูลจ้าวแปดเปื้อนหรอกหรือ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระโอษฐ์แล้วส่ายดวงพักตร์
“แปดเปื้อนอะไรกันพ่ะย่ะค่ะ ? ครอบครัวของกระหม่อมไม่มีบัลลังก์ให้ต้องสืบทอดเสียหน่อย ! ” คำพูดนี้มีแค่หมินอ๋องที่กล้าตรัส ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงโดนข้อหากบฏไปแล้ว !
ฮ่องเต้หยวนชิงตรัสอย่างเกษมสำราญ “หากเจ้าต้องการบัลลังก์นี้ เจิ้นก็จะประเคนให้เจ้าทันที…”
“อย่า ! อย่าพ่ะย่ะค่ะ ! กระหม่อมมีนิสัยอย่างไร คนอื่นไม่รู้ แต่ฝ่าบาทจะทรงไม่รู้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? บุกยึดใต้หล้าจำเป็นต้องมีนักรบอย่างกระหม่อม แต่การดูแลใต้หล้า อย่างไรก็ต้องมีผู้ที่กล้าหาญและเปี่ยมไหวพริบเช่นพระองค์ ! ทุกคนมีข้อดีและข้อเสียของตน หากพระองค์ให้กระหม่อมนั่งบัลลังก์ สู้เอาชีวิตกระหม่อมไปยังจะดีเสียกว่า ! ” หมินอ๋องกลัวจนถอยออกไปหลายก้าว ราวกับอยากจะวิ่งหนีออกไป
ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวลดังลั่นทันที “หยูอัน ยากเหลือเกินที่จะได้เห็นเจ้าหวาดกลัวขนาดนี้ แม้จะต้องต่อสู้กับทหารนับหมื่นนายด้วยจำนวนไพร่พลเพียง 100 นาย เจิ้นก็ยังไม่เห็นเจ้าหวาดกลัวเหมือนตอนนี้เลย ! เจ้าเห็นตำแหน่ง ‘ฮ่องเต้’ นี้เป็นสัตว์ร้ายหรือภัยพิบัติกันแน่ ? ”
หมินอ๋องเผลอพยักดวงพักตร์ แต่แล้วก็ต้องส่ายดวงพักตร์อีกรอบ “สำหรับพระองค์แล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้เป็นเหมือนปลาที่ได้น้ำพ่ะย่ะค่ะ สามารถตวัดคมดาบได้อย่างอิสระ แต่สำหรับกระหม่อมแล้ว น่ากลัวยิ่งกว่าภัยพิบัติหรือสัตว์ร้าย…กระหม่อมเป็นนักรบธรรมดาคนหนึ่ง ออกไปลงแรงที่สนามรบจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“นักรบธรรมดา ? ผู้ใดกล้าบอกว่าหมินอ๋องผู้อาจหาญและมีไหวพริบเป็นแค่นักรบธรรมดาคนหนึ่ง ? เจิ้นรู้ว่าเจ้าคิดจะทอดทิ้งและหันหลังให้ราชสำนักเพื่อกลับเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง แต่ผู้ที่เจิ้นสามารถใช้งานและไว้วางใจได้ในเวลานี้ช่างมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หยูอัน หากเจ้าไม่อยู่คอยช่วยเหลือ เจิ้นก็ได้แต่เผชิญหน้ากับ ‘สัตว์ร้ายและภัยพิบัติ’ เพียงลำพัง ! ” ราชวงศ์ต้าเซี่ยเพิ่งสถาปนาได้เพียงไม่กี่ปี ยังมีสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมให้ต้องฟื้นฟู มีฝูงหมาป่าที่รอคอยโอกาส…ฮ่องเต้ไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ หรอก ! ถ้ามีคนที่เหมาะสม พระองค์ก็อยากสละบัลลังก์เช่นกัน !
หมินอ๋องรู้ถึงความยากลำบากที่ฮ่องเต้ต้องเผชิญ จึงรีบตรัสว่า “ฝ่าบาท หากมีสิ่งใดที่กระหม่อมทำได้ก็บัญชามาได้เลย พระองค์จะได้สบายขึ้นหน่อย พระวรกายสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“หยูอันพูดถูก ! เจิ้นยังรอสร้างแผ่นดินที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองกับหยูอันอยู่ ! จะปล่อยให้ความใฝ่ฝันต้องสูญสลายเพราะตายไปก่อนไม่ได้ ! จะปล่อยให้ญาติมิตรและพี่น้องมากมายต้องสิ้นชีพไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้เด็ดขาด ! ”
ช่วงหลายปีมานี้ ฮ่องเต้หยวนชิงทรงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก พระองค์ทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถทั้งหมด ในแต่ละคืนต้องเข้าบรรทมดึก แต่ฟ้ายังไม่ทันสางก็ต้องออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงอีก…แม้จะมีร่างกายเป็นเหล็กกล้าก็ทนไม่ไหวหรอก ! บาดแผลที่ได้จากสนามรบเมื่อครั้งอดีต แทบจะพรากครึ่งชีวิตของพระองค์ไป กระนั้นพระองค์ก็ยังต้องฝืนวรกายเพื่อเข้าสู่ท้องพระโรง ขณะเดียวกันก็ยังไม่แสดงอาการใดต่อหน้าข้าราชบริพาร เพราะไม่ประสงค์ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในราชสำนัก…ต้าเซี่ยในเวลานี้ เปรียบเสมือนต้นกล้าที่เพิ่งเติบโต จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่อย่างดีถึงจะมีโอกาสเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่อันสูงตระหง่านได้
“มีพระองค์อยู่ ! ความฝันของพวกเราต้องเป็นจริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ” พระอาการบาดเจ็บและความอ่อนแอที่บังเกิดกับฮ่องเต้หยวนชิงไม่สามารถปิดบังหมินอ๋องได้ หมินอ๋องรู้ว่าช่วงนี้พระปีหก (ม้าม) และพระอามาศัย (กระเพาะอาหาร) ของฮ่องเต้หยวนชิงอ่อนแอ มีอาการเบื่ออาหาร พระวรกายจึงซูบผอมลงไม่น้อย หมินอ๋องได้เชิญพ่อครัวแม่ครัวที่มีชื่อเสียงมากมายมาปรุงเครื่องเสวยเพื่อหวังว่าฮ่องเต้จะเสวยได้เยอะขึ้นอีกหน่อยแล้วทำให้พระพลานามัยดีขึ้นกว่าเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังไม่น่าพอใจสักเท่าไร…