หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 5 เจ้าคือเมิ่งเจียงหนี่กลับชาติมาเกิดหรือไร
ตอนที่ 5 เจ้าคือเมิ่งเจียงหนี่กลับชาติมาเกิดหรือไร ?
“ท่านหมอเหลียง หากเริ่มบำรุงร่างกายของท่านแม่ตั้งแต่ตอนนี้ไป ยังทันหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วพลางจ้องมองไปยังพี่สาวที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเหนื่อยใจ ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามหมอเหลียงแทน
หมอเหลียงเงยหน้ามองนาง เมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตของนางดูชัดเจนขึ้น อีกทั้งสีหน้ายังดูจริงจังและเอ่ยวาจาได้ฉะฉานมากราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ ภายในใจของเขาจึงรู้สึกตกใจอยู่มิน้อย
เขามิได้ตอบคำถามของหลินเว่ยเว่ยแต่อย่างใด ทว่าเขาเอ่ยถามนางแทน “ข้าขอตรวจชีพจรของเจ้าได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยจึงหันมามองหมอเหลียง จากนั้นก็ค่อย ๆ ยื่นมือออกไป
หลังจากที่จับชีพจรของนาง เขาก็สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าบุตรสาวคนรองของนางหวงกลับมาเป็นปกติแล้ว หมอเหลียงจึงรู้สึกงงงวยอยู่มิน้อย เขาเคยได้ยินแต่คนล้มหัวฟาดพื้นแล้วจะกลายเป็นคนโง่เขลาและปัญญาอ่อน แต่เขายังมิเคยได้ยินว่าการกลิ้งตกจากภูเขาลงไปในสระน้ำจะช่วยเปลี่ยนให้คนปัญญาอ่อนกลับมาเป็นคนปกติได้ ! เขาเป็นหมอมานานสามสิบกว่าปีก็เพิ่งเคยเห็นเป็นคราแรกเช่นกัน !
ทว่าหมอเหลียงก็เก็บงำความสงสัยนี้ไว้ในใจ หลังจากนั้นจึงตอบคำถามที่นางเพิ่งถามเมื่อครู่ “ด้วยสภาพร่างกายของแม่เจ้า หากนางได้ดื่มยาสมุนไพรตรงตามเวลาและได้รับการบำรุงที่ครบถ้วน อาการของนางก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่านางต้องดื่มยาสมุนไพรเหล่านั้นเป็นระยะเวลายาวนานและราคาของยาก็มิใช่สิ่งที่ครอบครัวเจ้าสามารถจ่ายได้ในตอนนี้”
“ท่านหมอเหลียง ข้ารบกวนให้ท่านเขียนใบสั่งยาให้หน่อยได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงตอนที่ตนใช้สองมือสังหารหมูป่าจนตาย ไหนจะมิติน้ำพุวิญญาณที่นางได้ครอบครองอยู่ในมือ หากว่านางไม่สามารถดูแลรักษามารดาให้หายป่วยได้ เช่นนั้นนางจะไม่ไร้ประโยชน์เกินไปหน่อยหรือ ?
หมอเหลียงชำเลืองมองไปยังบุตรสาวคนโตของนางหวงที่กำลังร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจตาย เขาจึงส่ายศีรษะช้า ๆ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบุตรสาวคนรองของนางหวงจะสามารถรับผิดชอบทั้งครอบครัวได้ ทว่าบัดนี้เขารู้สึกได้ว่าบุตรสาวคนรองยังพึ่งพาได้มากกว่าพี่สาวเสียอีก ดังนั้นเขาจึงเขียนใบสั่งยาให้นาง
หลังส่งหมอเหลียงกลับไปแล้ว ทันใดนั้นพี่สาวคนโตก็พุ่งเข้ามาผลักนางแล้วทุบตีราวกับคนเสียสติ “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้า ! เจ้ามันตัวหายนะ ! เจ้ามันจอมล้างผลาญ ! หากมิใช่เพราะเจ้า ท่านแม่ก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ! เหตุใดสวรรค์จึงไม่พาตัวเจ้ากลับไป…”
เจ้าหนูน้อยที่เห็นพี่ใหญ่บ้าคลั่งขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ตื่นตกใจจนหดตัวกลมคล้ายลูกหิน ดวงตากลมโตของเจ้าหนูน้อยที่เคยใสแป๋ว บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยแววแห่งความหวาดกลัว พี่ใหญ่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน น่ากลัวกว่าตอนที่พี่รองปัญญาอ่อนเสียอีก !
หลินเว่ยเว่ยเพียงยกแขนขึ้นมาผลักอีกฝ่ายเบา ๆ ทว่าก็ทำให้โซซัดโซเซไปด้านหลังแล้ว จากนั้นก็นั่งแหมะลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงพลางใช้มือตบพื้นแล้วร้องห่มร้องไห้ราวกับคนเสียสติ
“ท่านแม่ ท่านลืมตาขึ้นมาดูสิเจ้าคะ ! เจ้าเด็กโง่มิเพียงทำให้ท่านพ่อต้องตาย บัดนี้ยังทำให้ท่านป่วยหนักอีกและนางยังกล้าลงมือกับข้าที่เป็นพี่สาวอีกด้วย เจ้าเด็กโง่…เช่นนั้นเจ้าก็ตีข้าให้ตายเถิด หากท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออันใด ? ”
ดังนั้นหลินเว่ยเว่ยจึงเดินเข้าหานางแล้วโน้มกายลงพลางยื่นมือไปทางพี่สาว
เมื่อพี่สาวเห็นดังนั้นจึงรีบยกมือขึ้นมาป้องศีรษะเอาไว้ ปากก็ตะโกนร้องโวยวายว่า “เจ้าคิดจะทำอันใด ? เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะตีข้าจนตายใช่หรือไม่ เจ้าจะฆ่ากันหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยก้มหยิบใบสั่งยาที่ตกอยู่บนพื้นโดยไม่เหลือบมองหน้าพี่สาวเลยสักนิด ทำให้พี่สาวตกตะลึงไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าตนเป็นลิงที่กำลังเล่นละครให้ผู้อื่นดู !
หลังจากที่หลินเว่ยเว่ยเดินออกมานอกบ้านก็พบว่าถังน้ำของบ้านว่างเปล่า ดังนั้นนางจึงใช้น้ำจากมิติน้ำพุมาต้มยาแล้วป้อนให้นางหวงอย่างระมัดระวังแทน บางทีอาจเพราะฤทธิ์ยาหรืออาจเพราะน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณใช้ได้ผลอยู่บ้างจึงทำให้ไข้ของนางหวงค่อย ๆ ทุเลาลง
ในยามนี้ร่างกายของนางหวงไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่แรงที่จะลุกจากเตียง เป็นเหตุให้บุตรสาวคนโตต้องร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่
หลินเว่ยเว่ยเอาธัญพืชที่เหลืออยู่ในโถเพียงน้อยนิดออกมาต้มโจ๊กให้นางหวงทาน ทว่านางหวงจะทำใจทานมันลงได้อย่างไร นางจึงยืนกรานที่จะให้บุตรสาวและบุตรชายแบ่งกันกิน
เมื่อเป็นเช่นนั้นหลินเว่ยเว่ยจึงเอ่ยกับนางหวงว่า “ท่านแม่ ครอบครัวของเราต้องพึ่งพาท่านนะเจ้าคะ หากว่าท่านนอนซมติดเตียงอยู่เช่นนี้ พวกข้าจะมีความหวังได้เช่นไร ? หากท่านไม่ทานโจ๊กถ้วยนี้ก็เท่ากับว่าท่านต้องการพาทุกคนไปตาย ! ”
ในขณะที่เอ่ย…ดวงตาของหลินเว่ยเว่ยก็จับจ้องไปที่พี่สาวราวกับต้องการจะสื่อบางอย่าง เมื่อพี่สาวเห็นเช่นนั้นจึงรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที “ท่านแม่…ท่านกินเถิด ! ท่านจะต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง ข้ามิอยากให้ท่านตาย ฮึก ฮึก ฮือออ…”
เฮ้อ…ร้องไห้อีกแล้ว เจ้าเป็นเมิ่งเจียงหนี่1กลับชาติมาเกิดหรือไร ?
นางหวงลูบศีรษะของบุตรสาวคนโตอย่างอ่อนโยนแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “มันมิได้หนักหนาเช่นที่น้องสาวของเจ้าเอ่ยหรอก ร่างกายของแม่ แม่ย่อมรู้ดี บางทีอาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้แม่เหนื่อยจนเกินไป อีกทั้งเมื่อวานแม่ตกใจหมูป่า หากได้นอนพักสักวันก็คงหายเป็นปกติแล้ว”
นางหวงพยายามพูดโน้มน้าวบุตรสาวทั้งสองทว่าก็ไม่สำเร็จ นางถึงได้ยอมทานโจ๊กแต่ก็ทานไปเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น จากนั้นก็ให้บุตรทั้งสามนำส่วนที่เหลือไปแบ่งกันกิน
บัดนี้นางหวงรู้สึกปวดใจอยู่มิน้อย ‘ข้าป่วยจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ อาหารที่บ้านก็ไม่มีเหลือแล้ว เช่นนั้นบุตรของข้าจะใช้ชีวิตในวันต่อไปได้อย่างไร ! ’
หลินเว่ยเว่ยรอจนกระทั่งนางหวงดื่มยาแล้วหลับจึงเดินออกไปนอกบ้าน เวลานี้นางพอเข้าใจสถานการณ์ภายในหมู่บ้านบ้างแล้ว
นางเดินตรงไปยังบ้านของลุงหวังซึ่งเป็นพรานล่าสัตว์ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการขายสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ จากนั้นนางก็กลับมาเปลี่ยนชุดซึ่งเป็นชุดเก่าของบิดา มวยผมไว้บนศีรษะก่อนจะออกจากหมู่บ้านแล้วมุ่งหน้าไปยังเขตเริ่นอัน
เวลานี้พี่สาวได้จับจ้องไปที่นางด้วยความโมโห ‘เจ้าเด็กปัญญาอ่อนผู้นี้เกิดผีเข้าขึ้นมาอีกแล้วหรือ ? มิได้การ ! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกน้องชายคนโตถึงเรื่องที่เจ้าเด็กโง่ทำให้ท่านแม่ล้มป่วย น้องชายคนโตกำลังจะสอบเข้าเป็นขุนนาง จะปล่อยให้ตัวล้างผลาญทำให้เขาเหนื่อยมิได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดึงน้องชายคนโตมาอยู่ข้างตนเพื่อหาโอกาสขับไล่ตัวหายนะออกไปจากบ้าน ! ’
เมื่อหลินเว่ยเว่ยมาถึงเขตเริ่นอันจึงได้สอบถามถึงที่ตั้งของหอจุ้ยเซียน ลุงหวังบอกว่าหอจุ้ยเซียนเป็นร้านอาหารใหญ่ที่สุดภายในเขตเริ่นอัน ทุกคราที่เขาล่าสัตว์มาได้ก็มักจะส่งมาขายที่นี่ทั้งหมด อีกทั้งเถ้าแก่ยังให้ราคายุติธรรมด้วย
บัดนี้ยังไม่ถึงเวลาทานข้าว เสี่ยวเอ้อร์ในหอจุ้ยเซียนจึงหาวไปพลางเช็ดโต๊ะไปพลางด้วยความเกียจคร้าน หลังจากที่เห็นว่ามีคนเดินเข้ามา เขาจึงเงยหน้าและมองหลินเว่ยเว่ยในสภาพที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบมีรอยปะชุนเต็มตัว เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็โบกมือไล่ราวกับกำลังไล่ขอทานออกจากร้าน “ที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่เจ้าควรมา ไป ไป ออกไปให้พ้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน นางเอ่ยขึ้นว่า “หลงจู๊2ของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ? นายพรานหวังจากหมู่บ้านฉือหลี่โกวให้ข้ามาถามว่าร้านของพวกเจ้ารับซื้อเนื้อหมูป่าหรือไม่ ! ”
“เนื้อหมูป่าหรือ ? หวังต้ามีความสามารถในการล่าหมูป่าด้วยหรือ ? ” หลงจู๊ที่เดินลงมาจากชั้นบนได้ยินบทสนทนาเข้าพอดีจึงอดถามด้วยความสงสัยมิได้
เขตเริ่นอันมีความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์และเป็นเส้นทางสำคัญที่ใช้สำหรับเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ แม้ว่าเขตเริ่นอันจะมีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก ทว่าก็มีผู้คนสัญจรไปมาอย่างครึกครื้นจึงทำให้ธุรกิจร้านอาหารและโรงเตี๊ยมของเขตนี้ได้รับความนิยมสูงมาก อีกทั้งพ่อครัวของหอจุ้ยเซียนก็มีชื่อเสียงด้านการทำอาหารป่าจึงทำให้แขกหลายท่านเดินทางมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
ทว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีสัตว์ป่าบนภูเขาออกอาละวาด เป็นเหตุให้พรานล่าสัตว์หลายคนต้องตกตายไปตามกัน นับตั้งแต่นั้นมาก็แทบไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปในป่าลึกบนภูเขาอีกเลย เมื่อไม่มีการออกล่าหมูป่าจึงทำให้หอจุ้ยเซียนขาดเอกลักษณ์ของตนไป จากนั้นแขกที่เข้ามาใช้บริการก็เริ่มบางตาลงเรื่อย ๆ
เถ้าแก่ขู่เขาอยู่หลายคราว่า…ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสองเดือน หากรายได้ของหอจุ้ยเซียนมิได้เพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขาจะถูกถอดออกจากตำแหน่งหลงจู๊ทันที
หลงจู๊หานก็จนปัญญาแล้วเช่นกัน ! มิต้องเอ่ยถึงสัตว์ป่าตัวใหญ่เยี่ยงหมูป่าหรอก ทุกวันนี้แค่ไก่ป่าหรือกระต่ายป่าที่เป็นสัตว์ตัวเล็กก็ยังหายากยิ่งนัก แล้วเขาจะทำอันใดได้อีก ? จะพาตนเองขึ้นเขาไปล่าสัตว์เลยหรือ ? แม้แต่พรานล่าสัตว์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานก็ยังมิกล้าเข้าไปเลย หากเขาเข้าไป…มิใช่ว่าเป็นการส่งตนเองไปเป็นอาหารให้สัตว์ป่าหรอกหรือ ! ดังนั้นหลงจู๊หานจึงเตรียมใจที่จะโดนไล่ออกไว้แล้ว…
1 เมิ่งเจียงหนี่ คือ ชื่อของสตรีในตำนานที่ร้องไห้ทลายกำแพงเมืองจีน เป็นหนึ่งในสี่ของนิทานพื้นบ้านที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักอมตะและถูกเล่าขานสืบมาจนถึงปัจจุบัน
2 หลงจู๊ คือ ผู้จัดการร้าน