หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 51 คุยเรื่องแต่งงาน ?
ตอนที่นางแบกกระบุงผลชิงป่าพร้อมหิ้วกระต่ายป่าหนึ่งตัวกลับมานั้นกระบุงของชาวบ้านแต่ละคนที่ขึ้นมาเก็บผักป่าด้วยกันล้วนเต็มไปด้วยผักป่าที่สดใหม่ ในบรรดากลุ่มคนที่มาเก็บผ้าป่าด้วยกันมีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งที่ดูท่าจะเป็นหญิงแกร่งนิสัยโหดเพราะในมือของนางมีงูกินหนูซึ่งขนาดลำตัวเท่าแขนของเด็กน้อยอยู่ นางบอกว่าจะนำไปตุ๋นเป็นซุปไว้ดื่มแล้วยังถามอีกว่าหลินเว่ยเว่ยอยากแบ่งไปทานหรือไม่ !
หลินเว่ยเว่ยเป็นคนมีมารยาทพอ นางรู้ว่าควรตอบรับหรือปฏิเสธน้ำใจผู้อื่นเช่นไร นางจึงมิได้กล่าวอันใด แค่แกว่งกระต่ายในมือของตนเพื่อบ่งบอกว่า ‘ข้ามีเนื้อทานแล้ว ส่วนงูนั่น ผู้ใดจับได้ผู้นั้นก็ทานไปเถิด ! ’
บรรดาหญิงวัยกลางคนที่ขึ้นมาเก็บผักป่าด้วยกันต่างมองไปที่นางหวงด้วยความอิจฉา อดีตตอนที่บุตรสาวคนรองของนางหวงยังเป็นเด็กโง่เขลาอยู่ ทุกคนต่างคิดว่านางหวงช่างน่าสงสารเหลือเกิน แต่ตอนนี้บุตรสาวของนางไม่เพียงกลับมามีสติปัญญาเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ในขณะเดียวกันยังเป็นผู้มีความสามารถที่แม้แต่บุรุษในหมู่บ้านก็ยังสู้ไม่ได้ ! ในที่สุดวันคืนอันแสนยากลำบากของนางหวงก็ผ่านพ้นไปเสียที !
หญิงวัยกลางคนผู้มีผมสั้นคนหนึ่งหันไปกล่าวกับนางหวงว่า บุตรสาวคนรองของเจ้าอายุสิบสี่แล้วมิใช่หรือ ? นางถึงวัยที่ต้องคุยเรื่องแต่งงานแล้ว !
นางหวงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า บุตรสาวคนรองของข้าเกิดในช่วงต้นปีนักษัตร แม้บอกว่านางอายุสิบสี่ แต่ในความเป็นจริงนางยังอายุไม่เต็มสิบสามปีเลย ! นางรูปร่างใหญ่โตเทอะทะเช่นนี้จะไม่โตเกินกว่าบุรุษไปหน่อยหรือ !
รูปร่างสูงใหญ่เช่นนี้สิดี ! มีคำโบร่ำโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ร่างกายสูงใหญ่ย่อมมีพละกำลังมากมาย’ เจ้าดูสิ พวกเราแบกกระบุงแค่อันเดียวเดินลงเขาก็ยังเหนื่อยจนแทบยืนหลังตรงไม่ได้ แต่นางไม่เพียงแบกไว้บนหลังเท่านั้น ในมือแต่ละข้างก็ยังมีตะกร้าข้างละอันอีกด้วย แถมตอนที่แบกลงจากภูเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย หญิงวัยกลางคนผมสั้นมองไปยังหลินเว่ยเว่ยที่กำลังรับกระบุงจากมือของนางเฝิงด้วยสายตาที่เหมือนกำลังมองลูกสะใภ้ของตน
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางหวงก็เกิดความรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจเล็กน้อย เพราะตอนที่บุตรสาวยังสติปัญญาโง่เขลา นางหวงไม่กล้าคาดหวังสิ่งอื่นใด นางเพียงต้องการที่จะดูแลบุตรสาวทุกวันไปจนกว่านางจะดูแลไม่ไหว
ส่วนสาเหตุที่นางหวงอยากให้บุตรสาวคนโตแต่งงานออกไปโดยเร็วก็เพราะหวังว่าหากบุตรสาวคนโตแต่งงานออกไปจะช่วยเหลือให้น้องสาวคนรองได้มีที่อยู่อาศัยอย่างปลอดภัย อย่างน้อยก็ให้ได้มีข้าวทาน…
แต่ตอนนี้เหมือนว่าสวรรค์เมตตาครอบครัวของนางแล้ว บุตรสาวคนรองได้กลับมามีสติปัญญาเหมือนคนทั่วไป อีกทั้งยังมีความสามารถมากมาย หากสติปัญญาและความสามารถของบุตรียังเป็นเช่นนี้ต่อไป บางทีก็อาจมีโอกาสได้คุยเรื่องแต่งงานและมีชีวิตที่ดีได้เหมือนคนอื่นใช่หรือไม่ ?
ท่านแม่เจ้าคะ ท่านเหนื่อยหรือไม่ ? ให้ข้าแบกท่านดีหรือเปล่า ? เมื่อหลินเว่ยเว่ยหันกลับมาก็เห็นว่านางหวงเริ่มเดินรั้งท้ายไปทุกที ดังนั้นนางจึงรีบหยุดฝีเท้าแล้วถามไถ่มารดาด้วยความเป็นห่วง
นางหวงยิ้มให้บุตรสาวพลางส่ายหน้า แม่ไม่เหนื่อย ! เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก แม่รู้ดีว่าร่างกายไหวแค่ไหน !
…
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าประตูบ้านหลังถัดไปไม่ได้ลงกลอน นางก็รู้แล้วว่าบัณฑิตหนุ่มรูปงามกลับมาจากในเมืองแล้ว นางจึงวางกระต่ายลงแล้วยกกระบุงเดินไปบ้านหลังถัดไป
บุตรสาวคนโตที่รับหน้าที่ล้างผักป่าแล้วนำมาตากแห้งตรงลานบ้านเห็นเข้าก็หันไปฟ้องนางหวงด้วยความโมโห ท่านแม่ ท่านดูนางสิเจ้าคะ ! นางเอาผักป่าไปให้คนอื่นอีกแล้ว เมื่อวานก็เอาไปให้ตั้งหนึ่งกระบุง พอมาวันนี้ก็แบกไปให้เขาอีก ! เจ้าเด็กโง่คนนี้ต้องหลงใหลในรูปโฉมของบัณฑิตเจียงเป็นแน่ นางมัน…ไม่ใช่สิ นางคือคางคกที่หมายจะกินเนื้อห่านฟ้า ! เขาเป็นถึงห่านฟ้า เขาไม่มองนางหรอก !
หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว ! นางเป็นน้องสาวของเจ้า ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้น ! เรื่องพวกนี้ไว้พูดในบ้านก็พอ อย่าไปพูดนอกบ้านเด็ดขาด ! ชื่อเสียงของหญิงสาวสำคัญแค่ไหนหรือ ? ก็สำคัญขนาดที่ข่าวลือสามารถฆ่าคนได้ !
บุตรสาวคนโตที่โดนตำหนิเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม ท่านแม่เจ้าคะ เรื่องนี้จำเป็นต้องให้ข้าไปประกาศนอกบ้านหรือ ? ท่านก็ดูสิว่านางทำอันใดไปบ้าง ! ในแต่ละวันนางมักไปแย่งเขาแบกถังน้ำ พอที่บ้านทำของอร่อยก็มักเอาไปแบ่งให้เขา ผักป่าที่เก็บมาได้ก็เอาให้เขาเป็นกระบุง หากไม่บอกข้าก็คงนึกว่านางเป็น…ลูกของบ้านนั้นไปแล้ว !
นี่ ข้าได้ยินนะ ! เสียงของหลินเว่ยเว่ยดังมาจากนอกกำแพงบ้าน
บุตรสาวคนโตเปลี่ยนสีหน้าทันที จากนั้นนางก็ยังพูดอย่างปากแข็งว่า ได้ยินแล้วจะทำไม ? ในเมื่อเจ้าทำลงไปแล้ว ยังกลัวคนอื่นพูดถึงอีกหรือ ?
ผู้มีจิตใจซื่อตรงย่อมมองคนในแง่ดี เพียงผู้มีจิตใจดำมืดเท่านั้นถึงจะว่ากล่าวคนอื่นด้วยความคับแค้นใจ ! ข้ามีจิตใจดีชอบช่วยเหลือเพื่อนบ้าน เหตุใดเจ้าเอ่ยว่าข้าคือ ‘คางคกหมายจะกินเนื้อห่านฟ้า’ ? บัณฑิตหนุ่มเอ๋ย ไหนเจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าคือห่านฟ้าใช่หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยจับจ้องไปที่ใบหน้ารูปงามของเจียงโม่หานอย่างเย้าแหย่
ข้าจะเป็นห่านฟ้าหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สำคัญคือเจ้ายอมเป็น ‘คางคก’ หรือเปล่า ? เจียงโม่หานเบือนหน้าหนีพลางคิดในใจว่า ‘มีสตรีใดบ้างที่จับจ้องใบหน้าของบุรุษอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ? ’
เป็นคางคกแล้วอย่างไร ? อย่างน้อยข้าก็เป็นคางคกที่มีอุดมการณ์ มีความใฝ่ฝันและมีความทะเยอทะยาน ! เช่นนั้นหากไม่กล้าแม้แต่จะคิดก็คงขี้ขลาดตาขาวแย่ ! หากข้าได้กินเนื้อห่านฟ้าขึ้นมาจริง ต่อให้ต้องเป็น ‘คางคก’ ข้าก็ยอม ! หลินเว่ยเว่ยยังกล่าวเจื้อยแจ้วอย่างไม่สะทกสะท้านอันใด
ใบหน้าอวบอ้วนของนางช่าง…หนาเสียเหลือเกิน ! แม้เจียงโม่หานเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในสองภพสองชาติ พอได้ยินคำกล่าวของนางก็ยังรู้สึกขนลุกเล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกคล้ายเหงื่อเย็น ๆ กำลังจะผุดออกมา
แล้วเหตุใดเจ้าซื้อมาแต่น้ำตาลไม่ขัดสี ? เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าหากสีของผลไม้เชื่อมดูไม่ดีก็จะขายได้ราคาไม่สูง ? โชคดีที่หลินเว่ยเว่ยรู้จักยั้งปาก ในไม่ช้าความสนใจของนางก็พุ่งไปยังวัตถุดิบที่เจียงโม่หานซื้อกลับมา
เจียงโม่หานเคาะด้ามพัดในมือของตนอยู่หลายทีแล้วแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างใจเย็นว่า ปีนี้ผลผลิตของพืชที่นำมาทำน้ำตาลมีน้อย ทำให้ราคาน้ำตาลไม่ขัดสีพุ่งขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงน้ำตาลขัดสีเลย เขามีเงินเพียง 10 ตำลึงที่ได้มาจากการขายงานปักของมารดาเท่านั้น อย่างมากก็ซื้อได้ไม่กี่ชั่ง ! ทำให้เขาหวนนึกถึงวันคืนที่ได้เสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองเมื่อชาติที่แล้ว !
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย นางลูบคางของตนพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด แต่ในไม่ช้านางก็ดีดนิ้วดังเป๊าะแล้วกล่าวว่า ข้ามีวิธีที่จะทำให้น้ำตาลสีแดงเปลี่ยนเป็นน้ำตาลสีขาว…แต่ข้าไม่เคยทดลองกับของจริงมาก่อน !
เมื่อชาติที่แล้วนางเคยอ่านเจอวิธีทำน้ำตาลจาก ‘คัมภีร์เทียนกงไคอู้’ ซึ่งเป็นสารานุกรมสมัยปลายราชวงศ์หมิง ว่าด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบต่าง ๆ ของจีน ซึ่งวิธีที่ว่าเรียก วิธีชะล้างด้วยน้ำโคลนเหลือง ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลสีแดงให้เป็นน้ำตาลบริสุทธิ์ได้ เช่นนั้น…ลองสักหน่อยดีหรือไม่ ?
จากนั้นนางก็อธิบายวิธีที่ว่านี้ให้บัณฑิตหนุ่มฟัง เจียงโม่หานที่ได้ยินนางอธิบายก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่า…วิธีนี้จะได้ผล ?
จะได้ผลหรือไม่ต้องทดลองถึงรู้มิใช่หรือ ? หากทำไม่สำเร็จก็หักค่าน้ำตาลที่ข้าแทน แต่หากเราทำสำเร็จก็จะประหยัดเงินได้หลายตำลึง ! หลินเว่ยเว่ยยิ้มจนดวงตาสุกใสกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวที่สุดแสนน่ารัก
ในเมื่อหลินเว่ยเว่ยกล่าวออกมาถึงเพียงนี้แล้ว เจียงโม่หานจึงไร้เหตุผลที่จะโต้แย้ง เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง ส่วนอีกมือก็กำพัดเอาไว้ จากนั้นก็ยืนมองนางทำนู่นทำนี่อย่างวุ่นวาย
ใน ‘คัมภีร์เทียนกงไคอู้’ เขียนไว้ว่าให้เริ่มจากการคั้นน้ำตาลจากวัตถุดิบ แค่ต้องเตรียมถังสักใบก็พอ เจียงโม่หานเห็นว่าเด็กอ้วนเดินเข้ามาพร้อมถังใบใหญ่ที่สามารถยัดตัวนางลงไปได้ทั้งตัว เขาก็หมดคำจะกล่าวทันที ‘เจ้ายังเป็นสตรีอยู่หรือไม่ ? ’
หลินเว่ยเว่ยใช้กระเบื้องที่ซื้อมาทำเป็นกรวยวางบนปากถัง จากนั้นปิดปากกรวยด้วยฟางสานถี่แล้วเทน้ำตาลสีแดงลงในกรวย รอจนผลึกน้ำตาลสีแดงจับตัวเป็นก้อนค่อยเอาฟางออกแล้วเทน้ำโคลนเหลืองใส่ผลึกน้ำตาล
เจียงโม่หานกำพัดในมือเอาไว้แน่นเพราะจะทำสำเร็จหรือไม่นั้นต้องดูที่ขั้นตอนนี้ และตอนนี้เขาก็เห็นว่ามีตะกรันสีดำไหลลงสู่ถังเก็บน้ำด้านล่างและชั้นบนสุดของก้อนผลึกน้ำตาลสีแดงได้กลายเป็นสีขาวราวกับหิมะ
สำเร็จแล้วหรือ ? ตอนแรกเขานึกว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝันของพวกเด็ก ๆ เขาคาดไม่ถึงเลยว่านางจะสามารถเปลี่ยนน้ำตาลสีแดงให้กลายเป็นน้ำตาลบริสุทธิ์ได้จริง แม้แต่นางเฝิงยังเบิกตากว้างด้วยความตกใจพร้อมทำสีหน้าเหลือเชื่อออกมา
หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ หักส่วนที่กลายเป็นน้ำตาลสีขาวออกมา จากนั้นก็ใช้วิธีการเดิมจนสามารถเปลี่ยนน้ำตาลสีแดงที่บัณฑิตหนุ่มซื้อมาทั้งหมดให้กลายเป็นน้ำตาลสีขาวได้ ในขั้นตอนสุดท้ายนางได้ใช้ที่โม่แป้งมาบดก้อนน้ำตาลแต่ก็ยังไม่พอใจอยู่ดี ‘เฮ้อ มันหนาเกินไป ถ้ามีเครื่องบดด้วยจะดีมาก ! ’