หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 511 เชื่อเรื่องเวรกรรมตามสนอง
ตอนที่ 511 เชื่อเรื่องเวรกรรมตามสนอง
หลินเว่ยเว่ยแค่นเสียง ฮึ ฮึ ด้วยความโมโห “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้วหรือ ? เมื่อครู่เจ้าไปทำอะไรมา ? เจ้าน่ะเก่ง ! จะงอยปากเล็ก ๆ ชอบสร้างเรื่องให้ข้า ! ถ้าคราวหน้ายังปากมากแบบนี้อีก การ ‘ทุบหินด้วยมือเปล่า’ นั้น ระวังข้าจะใช้เจ้าเป็นก้อนหินแทน ! ”
“ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว ! ” หลังเจ้านกน้อยเดินวนบนไหล่หลินเว่ยเว่ยก่อนหนึ่งรอบ มันก็พูดด้วยเสียงอ่อนแรง ท่าทางขลาดกลัวขั้นสุด !
หลินจื่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะช่วยพูดแทนหงส์แดง “พี่รอง เจ้าตัวนี้ชอบผู้คน คราวหน้าเวลามีคนเยอะ ๆ เราแค่ไม่พามันออกมาด้วยก็พอ ! ” ได้รับโทษโดยการโดนถอนขนยังไม่หนักพออีกหรือ ?
เมื่อกลับมาถึงบ้านเช่า ยายเจิ้งกำลังรอการกลับมาของพวกนางอยู่ เมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามาพร้อมตะกร้าว่างเปล่า จึงถามว่า “ขายเค้กน้ำผึ้งเป็นอย่างไรบ้าง ? ขายหมดเลยหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “อื้ม ขายหมดเลย ! ”
ยายเจิ้งก็ยิ้มเหมือนกัน “ขนมที่อร่อยถึงเพียงนี้จะขายไม่ออกได้อย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นอีกฝ่ายเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด จึงถามว่า “ยายเจิ้ง ท่านมีอะไรหรือเปล่า ? ”
ยายเจิ้งลังเลสักพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังบากใบหน้าชราของตนถามว่า “เว่ยเว่ย เจ้าคิดจะขายเนื้อตุ๋นบ้างหรือเปล่า ? ”
“ตอนนี้ยังไม่คิด…” เพราะขายหัวหมูตุ๋นและเครื่องในตุ๋นสิ้นเปลืองแรงเกินไป แถมยังได้เงินกลับมาแค่ไม่กี่ตำลึง ถ้าจะขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ หลินเว่ยเว่ยก็ไม่มีทางเลือกงานนี้เด็ดขาด
“ถ้าเช่นนั้น…ข้าอยากเป็นหุ้นส่วนกับเจ้า…เจ้าไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง แค่เตรียมส่วนผสมในการตุ๋นไว้ก็พอ ส่วนเรื่องอื่นข้าจะเป็นคนจัดการเอง ด้านเงินที่หามาได้ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง เจ้าคิดว่าอย่างไร ? ” น้ำเสียงของยายเจิ้งร้อนรนและวิตกกังวล
ร้อนรนเพราะตอนนี้พวกตนสองสามีภรรยาไม่มีอาชีพที่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ ตาฉู่ยังเป็นคนหัวรั้น รอให้ถึงปีหน้าที่หลินเว่ยเว่ยออกไปจากบ้านเช่าแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาเช่าอีกตอนไหน ยายเจิ้งกลัวที่จะได้กินข้าวหนึ่งมื้อแล้วก็ไม่มีอะไรให้กินอีก
วิตกกังวลเพราะกลัวหลินเว่ยเว่ยจะคิดว่านางอยากเอาเปรียบ ต้องการครอบครองสูตรของเด็กสาว
“ท่านยาย ท่านไม่ต้องแบ่งเงินให้พวกเราหรอก ตัวข้าเองก็สามารถบอกสูตรตุ๋นเนื้อกับท่านได้ แต่มีข้อแม้หนึ่งอย่าง…คือท่านจะขายได้แค่ตลาดสดในถนนหย่งอันแห่งนี้เท่านั้นและห้ามบอกสูตรกับผู้อื่นด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยทราบเรื่องราวของสองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน จึงเห็นใจพวกเขาพอสมควร สองสามีภรรยาหาเงินด้วยความยากลำบาก แล้วนางจะกล้ารับเงินกว่าครึ่งโดยไม่ได้ทำอะไรเลยน่ะหรือ ?
พอยายเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็รีบส่ายหน้าทันที “ไม่ ไม่ ! ข้ารู้ว่าสูตรนี้เป็นของล้ำค่า เจ้าไม่ต้องสอนข้าหรอก ! ส่วนวิธีแบ่งเงินที่ข้าพูด ก็ทำให้ข้าได้รับผลประโยชน์จากเจ้ามากพอแล้ว เป็นคนจะโลภเกินไปไม่ได้ เช่นนั้นจะโดนเวรกรรมตามสนอง ส่วนเงินปันผล เจ้าต้องรับมันไว้…”
ยิ่งแก่ชรามากเท่าไร คนเราก็จะเชื่อเรื่องเวรกรรมตามสนองมากเท่านั้น หลินเว่ยเว่ยเห็นท่าทางของยายเจิ้งเด็ดเดี่ยวมาก ท่าทางเหมือนหากไม่ตอบตกลง อีกฝ่ายก็จะไม่ขายเนื้อตุ๋น หลังจากลองครุ่นคิดแล้ว นางก็ตอบตกลง
ยายเจิ้งไปตลาดพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางเหมาหัวหมูและเครื่องในหมูที่แผงขายเนื้อทั้งหมด พอกลับมาก็ตุ๋นข้ามคืนนั้นเลย ตอนหลินเว่ยเว่ยและหยาเอ๋อร์ไม่มีอะไรทำก็เข้ามาช่วยนางบ้างเป็นครั้งคราว
วันรุ่งขึ้น ณ ตลาดสด ถนนหย่งอัน มีแผงขายเนื้อตุ๋นของหญิงชราเพิ่มขึ้นมาอีกร้าน หูหมูกรุบกรอบหอมอร่อย แถมยังหั่นเป็นชิ้นเหมือนหูหมูน้ำแดง เนื้อหัวหมูตุ๋นมีมันแต่ไม่เลี่ยน เนื้อนุ่มชุ่มรส จึงดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาแวะเวียนถามไถ่ไม่น้อย ไส้หมูตุ๋น หัวใจหมูตุ๋น ปอดตุ๋นและกระเพาะหมูตุ๋นมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป
สิ่งสำคัญคือ อร่อยและไม่แพง ครอบครัวสามัญชนสามารถจ่ายเงินแค่ 10 อีแปะ ก็ได้อาหารจานเนื้อเลิศรสกลับไปให้พวกเด็กในบ้านกินแก้เบื่อกันจานใหญ่ ด้วยเหตุนี้เนื้อตุ๋นของยายเจิ้งจึงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขายหมดเร็วขึ้นทุกวัน ! ตอนนี้ออกไปขายแค่หนึ่งชั่วยามกว่า ๆ ก็เก็บของกลับบ้านแล้ว !
หัวหมูหนึ่งหัว เครื่องในหนึ่งชุด คิดเป็นต้นทุน 20 อีแปะ แต่สามารถขายได้เงินกลับมา 200 กว่าอีแปะ แม้จะแบ่งออกมาครึ่งหนึ่งให้หลินเว่ยเว่ยแล้ว ในหนึ่งเดือนก็มีรายได้ 2-3 ตำลึงเงิน ในเมืองหลวงแห่งนี้ถ้ามีรายได้ 2-3 ตำลึงเงินต่อเดือน แม้จะเอาไปเลี้ยงครอบครัวขนาดใหญ่แล้วยังมีเงินเหลือเฟือ ยายเจิ้งมีกันแค่สองสามีภรรยา หลังหักค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนแล้วก็ยังมีเก็บอยู่พอสมควร !
เหมือนยายเจิ้งได้กลับมาเป็นสาวแรกรุ่นอีกครั้ง นางมีแรงทำงานทุกวัน หากเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงนั้นออกจากบ้านไปตลาดสายหน่อยก็จะหาซื้อเนื้อตุ๋นไม่ได้แล้ว พวกเขาจึงมักมาบ่นกับยายเจิ้ง ให้นางตุ๋นเพิ่มมาก ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียแรงไปเข้าแถวทุกวัน หรือบางวันก็ขายหมดตั้งแต่ยังไม่ถึงลำดับของตน
แต่ตลาดสดของถนนหย่งอันเล็กเกินไป แผงเนื้อมีแค่ร้านของพ่อค้าเจิ้นเท่านั้น หัวหมูและเครื่องในหมูของแต่ละวันมีกำจัด ยายเจิ้งเข้ามาปรึกษากับหลินเว่ยเว่ยแล้วออกไปซื้อหัวหมูและเครื่องในหมูจากตลาดอื่น
หลินเว่ยเว่ยกลัวว่านางจะทำงานหนักเกินไป จึงโน้มน้าวให้ทำงานน้อยลงหน่อย ยายเจิ้งยิ้มหน้าบานพลางกล่าว “ข้าทำได้ ! เมื่อก่อนว่างงานแล้วข้ารู้สึกแย่ไปหมด พอทำงานแล้วร่างกายก็รู้สึกว่ากลับมาดีเหมือนก่อน เท้าก็ไม่เจ็บแล้ว เอวก็ไม่ปวด รู้สึกเหมือนกลับไปตอนอายุ 20 ปีอีกครั้ง ! ”
ยายเจิ้งคิดจะใช้ช่วงที่หลินเว่ยเว่ยยังอยู่ในเมืองหลวงนี้ประหยัดเงินที่หามาได้ให้มากที่สุด เพราะเวลาคนเราอายุมากแล้วก็ไม่รู้ว่าจะล้มป่วยวันใด ดังนั้นแม้จะมีเงินในมือก็ใช้จ่ายแบบไม่คิดหน้าคิดหลังไม่ได้ หวังว่าเจียงเจี้ยหยวนจะสอบติดจิ้นซื่อที่เมืองหลวง !
หลินเว่ยเว่ยรู้ว่านี่เป็นผลของน้ำพุวิญญาณ บริเวณหลังบ้านสกุลฉู่มีบ่อน้ำอยู่ ในแต่ละวันซัวถัวจะแย่งทำงานหาบน้ำ ดังนั้นหลังจากตื่นมาแล้ว งานแรกที่หลินเว่ยเว่ยทำก็คือผสมน้ำพุวิญญาณลงในถังน้ำ พอทำแบบนี้ไม่เพียงบำรุงและปรับสมดุลของร่างกาย แต่ยังทำให้อาหารมีรสชาติอร่อยกว่าเดิม
ในความเป็นจริงยายเจิ้งก็ไม่ได้อายุมากสักเท่าไร อายุประมาณ 50 ปีต้น ๆ เมื่อก่อนสูญเสียบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน รวมกับความทุกข์ยากในชีวิต สองสามีภรรยาคู่นี้จึงโดนทรมานเหมือนคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบปี หลังได้ดื่มน้ำพุวิญญาณไปสิบกว่าวัน กอปรกับการได้กินดีอยู่ดี เรี่ยวแรงจึงกลับมาอีกครั้ง แม้แต่ผิวพรรณก็ดูอ่อนเยาว์ขึ้นไม่น้อย
หลินเว่ยเว่ยไม่อยากทำลายความปรารถนาในการหาเงินของยายเจิ้ง เมื่อปริมาณการตุ๋นเนื้อของอีกฝ่ายเพิ่มมากขึ้น นางก็ให้หยาเอ๋อร์และซัวถัวไปช่วยเป็นลูกมือในเวลาที่พวกเขาว่างงาน เมื่อเป็นเช่นนี้กำไรจากการขายเนื้อตุ๋นในแต่ละวันของยายเจิ้งก็เพิ่มขึ้นเป็น 500 กว่าอีแปะ !
หยาเอ๋อร์เห็นยายเจิ้งอายุขนาดนี้แล้วยังมีแรงสู้ชีวิต นางติดตามมาด้วยเพราะอยากช่วยหลินเว่ยเว่ยและไม่ได้ตามมาเป็นภาระของเจ้านาย นางเรียนทำเค้กพุทราแดงเป็นแล้ว แต่ละวันจึงอบเค้กพุทราแดงสองสามเตาแล้ววิ่งไปขายยังตลาดสดฝั่งตะวันออกที่อยู่ห่างไกลกว่าหน่อย
ฝั่งตะวันออกร่ำรวย ฝั่งตะวันตกสูงศักดิ์ ทิศใต้ยากจน ทางเหนือต้อยต่ำ ฝั่งเมืองตะวันออกมีแต่คนร่ำรวยอาศัยอยู่ เค้กพุทราแดงรสชาติอร่อยและยังช่วยบำรุงม้ามกับกระเพาะ ถึงแม้ราคาจะแพงกว่าหน่อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก
เค้กพุทราแดงชิ้นขนาดประมาณฝ่ามือ มีราคาอยู่ที่ 5 อีแปะ ส่วนต้นทุนแค่ 2 อีแปะเท่านั้น ตอนเริ่มแรกหยาเอ๋อร์นำไปขาย 50 ชิ้น ขายได้ถึงตอนสายก็เก็บแผงกลับบ้านมาพร้อมเงิน 250 อีแปะแล้ว
เค้กพุทราแดงรสชาติหอมอร่อยเนื้อนุ่มลิ้น เป็นที่นิยมยิ่งกว่าขนมอบแบบดั้งเดิมในหมู่ผู้สูงอายุและพวกเด็ก ๆ กอปรกับราคาไม่แพง ลูกค้าประจำจึงเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงเล่าลือก็ถูกป่าวประกาศออกไป มีคนชราที่กระเพราะและม้ามไม่ดีจำนวนมาก พอกินเค้กพุทราแดงเข้าไปแล้ว ความวิตกกังวลกับกระเพาะที่ไม่ค่อยดีของพวกตนตลอดเวลานานหลายปีก็ค่อย ๆ ทุเลา คนที่มาซื้อจึงเริ่มเยอะขึ้นกว่าเดิม
หยาเอ๋อร์เพิ่มปริมาณจาก 50 ชิ้นในตอนแรกเป็น 100 ชิ้น แต่ก็ยังไม่พอขายอยู่ดี แผงที่นางจะไปขายทุกวันมี ลูกค้ามาเข้าแถวยาวเยียดตั้งแต่เช้าตรู่