หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 512 นี่คือความโหดร้ายในสังคมศักดินา
ตอนที่ 512 นี่คือความโหดร้ายในสังคมศักดินา
สิ่งที่เมืองหลวงไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือผู้มีฐานะร่ำรวย ในแต่ละวันจะมีคนมาสั่งจองเค้กพุทราแดงของหยาเอ๋อร์จำนวน 8 ชิ้นหรือ 10 ชิ้นบ้าง แค่ปริมาณในการสั่งจองของลูกค้าก็เกือบ 100 ชิ้นเข้าไปแล้ว !
หยาเอ๋อร์ทำงานจนหัวหมุน ตอนเช้าออกไปขายของ พอตกเที่ยงเค้กพุทราแดงก็ขายหมดแล้ว ช่วงบ่ายยังมายุ่งกับการทำเค้กพุทราแดงต่ออีก ชีวิตเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง
เงินที่หามาได้ก็ถูกยกให้หลินเว่ยเว่ยทั้งหมด ในแต่ละเดือนรับไปเพียงเงินเดือนจำนวน 1 ตำลึงเงินเท่านั้น ตอนที่นางทำงาน หลินเว่ยเว่ยก็เข้ามาช่วยเหมือนกัน แต่เงินพวกนี้เป็นเงินที่หยาเอ๋อร์หากลับมาด้วยความยากลำบาก หลินเว่ยเว่ยจึงตัดสินใจจะไม่รับไว้
ซัวถัวและหยาเอ๋อร์ค่อนข้างหวาดกลัว “นายหญิงรอง ตอนพวกเราออกมาจากฉือหลี่โกวพร้อมกับพวกท่าน ก็คิดจะติดตามท่านชั่วชีวิต ท่านเห็นเราเป็นคนนอกแบบนี้เพราะไม่ชอบพวกเราแล้วคิดจะไม่รับเราไว้ใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานวางตำราในมือลง จากนั้นก็หันไปถามทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าคิดจะมาติดตามเราจริง ถึงแม้จะขายตัวเป็นทาสก็ยอมหรือ ? ”
ซัวถัวและหยาเอ๋อร์หันมาสบตากัน เรื่องพวกนี้ทั้งสองได้ตัดสินใจตั้งแต่ตอนอยู่ที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้ว เจียงโม่หานสอบได้อันดับหนึ่งของเยวี่ยนซื่อและเซียงซื่อติดต่อกันสองสนาม อนาคตในวันข้างหน้าจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน ใครก็บอกว่าคนเฝ้าประตูของเรือนขุนนางขั้นเจ็ด อย่างไรก็ดีกว่าทำไร่ทำนาอยู่ในหุบเขา
ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็มีหัวการค้าสุด ๆ แม้จะเป็นหัวหน้าคนงานให้นาง ก็ทำให้คนแย่งหน้าที่นี้กันแล้ว…หลิวว่ายจื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ ? ส่วนพวกตนทั้งสองไม่ได้เป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี แม้จะต้องขายตัวเป็นทาสให้อีกฝ่าย ขอเพียงพวกตนสองสามีภรรยาจงรักภักดี พวกเจ้านายก็ไม่มีทางปฏิบัติแย่ ๆ ใส่แน่นอน
“ขายตัวเป็นทาส ? เรื่องนี้ไม่ต้องหรอกกระมัง ? ” ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยคือถ้ายังไม่ถึงคราวที่อับจนหนทางจริง ๆ ใครจะอยากเป็นทาสให้ผู้อื่น ?
ส่วนเจียงโม่หานที่มีฐานะเป็นคนในยุคโบราณกลับมีความคิดอีกแบบ ในสายตาของเขาคือซัวถัวและหยาเอ๋อร์ คนหนึ่งเชื่อฟัง อีกคนทำงานหนักได้ ตัวเขาและเสี่ยวเว่ยต้องการบ่าวรับใช้ที่บ่มเพาะจนกลายเป็นคนสนิทได้จริง วันหน้าพอมีอำนาจอยู่ในมือแล้วก็จะไม่ไร้คนให้เลือกใช้สอย
ทว่าประสบการณ์ในชาติก่อนทำให้เขาไม่เชื่อใจใครง่ายขนาดนั้น จึงต้องมีสัญญาซื้อขายทาสอยู่ในมือ ถึงจะกล้าใช้งานอีกฝ่ายอย่างวางใจ
เจียงโม่หานพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “พวกทาสก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสามัญชนได้ ขอแค่พวกเขามีใจที่จงรักภักดี วันหนึ่งก็คืนสถานะให้พวกเขา ให้ลูก ๆ ของพวกเขาได้มีอนาคต ถือว่าเหมาะสมแล้ว…”
พอซัวถัวและหยาเอ๋อร์ได้ยินแบบนั้นก็นึกดีใจ…เมื่อมีคำพูดนี้ของเจียงเจี้ยหยวนแล้ว ลูก ๆ ของพวกตนในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนบิดามารดาไปตลอดชีวิต ไม่ต้องทำนาทำไร่เลี้ยงชีพและคอยฝากท้องไว้กับสวรรค์ ! ความตั้งใจเดิมที่พวกตนเลือกจะตามออกมา ก็ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องนี้หรือ ?
ในเวลานั้น ทั้งสองคนไม่สนใจคำโน้มน้าวของหลินเว่ยเว่ยและตามเจียงโม่หานไปทำสัญญาซื้อขายตัวเป็นทาส คนหนึ่งเป็นผู้ติดตามให้เจียงโม่หาน รับหน้าที่เป็นคนขับรถม้า ส่วนอีกคนติดตามรับใช้ข้างกายหลินเว่ยเว่ย และคอยฟังคำสั่งนาง ในจังหวะที่ประทับรอยนิ้วมือบนสัญญาซื้อขายทาส หัวใจของซัวถัวและหยาเอ๋อร์ถึงได้สงบลง…ในที่สุดพวกตนก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะโดนไล่กลับหมู่บ้านฉือหลี่โกวและต้องไปหากินกับพื้นดินดังเดิม !
หยาเอ๋อร์นำเงินที่หามาได้ในช่วงสองวันนี้ยกให้หลินเว่ยเว่ย แม้จะไม่อยากรับเงินพวกนี้สักเท่าไร แต่หลินเว่ยเว่ยก็ยังรับไว้อยู่ดี…สำหรับพวกทาส นอกจากเงินเดือนและเงินรางวัลแล้ว รายได้ที่หามาทั้งหมดต้องยกให้เจ้านาย เฮ้อ ! นี่คือความโหดร้ายในสังคมศักดินา !
เมื่อเข้าเดือนสิบเอ็ด อากาศในเมืองหลวงหนาวขึ้นทุกวัน เสื้อกันหนาวที่บัณฑิตหนุ่มและหลินจื่อเหยียนใช้ในปีก่อนก็ตัวสั้นขึ้นเป็นคืบหนึ่งแล้ว เด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปี อยู่ในวัยกำลังเติบโต หลินเว่ยเว่ยเริ่มรู้สึกผิดที่กล่อมให้นางเฝิงมาเมืองหลวงไม่ได้ เพราะฝีมือเย็บปักของตนไม่ได้เรื่องเลย จึงได้แต่ไปซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปตามท้องตลาดมาให้บัณฑิตทั้งสอง !
เป็นธรรมดาที่เวลาหลินเว่ยเว่ยออกไปเดินถนน องครักษ์น้อยอย่างเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนจะตามไปด้วย เสื้อผ้าในร้านละแวกนี้หลินเว่ยเว่ยไม่ค่อยชอบสักเท่าไร พวกนางจึงเปลี่ยนไปเดินที่เมืองฝั่งตะวันออก…ที่นั่นมีเศรษฐีอยู่ค่อนข้างมาก สินค้าจึงมีให้เลือกหลากหลายกว่า
หลินจื่อเหยียนนึกถึงในช่วงหลายวันมานี้ พี่รองไม่รู้กำลังเล่นอะไรอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะถามนางว่า “พี่รอง ช่วงหลายวันมานี้ท่านเอาแป้งชนิดต่าง ๆ มาผสมกันทำไมหรือ ? ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ ? ของกินใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่เขา “รู้จักแต่เรื่องกิน ! เจ้ามาเมืองหลวงไม่ได้มาเพื่อเล่น สามปีต่อจากนี้ถ้ายังสอบเซียงซื่อไม่ผ่านอีก เจ้าก็กลับไปทำนาที่บ้านได้เลย ! ”
“พี่รอง ! วันทั้งวันข้าโดนคู่หมั้นของท่านบอกให้อ่านตำรา คัดตัวอักษร เขียนบทความตลอด หรือท่านไม่เห็น ? ข้ารู้สึกว่าเตรียมตัวสอบมากกว่าพี่เขยรองด้วยซ้ำ ท่านดูพี่เขยรองสิ วันทั้งวันเขาเอาแต่ทำอะไร ? ไม่ออกไปเดินเล่นก็หมกตัววาดรูปอยู่ในห้อง…มีสภาพเหมือนคนจะสอบในฤดูใบไม้ผลินี้ที่ไหนกัน ? ” เพื่อปกป้องตัวเองแล้ว หลินจื่อเหยียนยังไม่ลืมที่จะลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย
“คนที่ยังสอบเซียงชื่อไม่ผ่าน ไม่มีสิทธิ์ว่าคนอื่น ! ” หลินเว่ยเว่ยถือว่ายังมีความมั่นใจในตัวคู่หมั้นหนุ่ม…แม้วันทั้งวันเขาจะเอาแต่นั่งกินนอนกิน ทว่ายังมีแผนการอยู่ในใจเสมอ ไม่ทำให้เสียตำแหน่งอันดับหนึ่งในการสอบฮุ่ยซื่อของเดือนสองที่จะมาเยือนแน่นอน !
รถม้าหยุดลง ณ บริเวณร้านขายเสื้อผ้าของเมืองฝั่งตะวันออก หลินเว่ยเว่ยพูดกับซัวถัวว่า “ไปดูทางหยาเอ๋อร์ว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า แล้วตอนเที่ยงมารับพวกเราที่หมิงหยวนซวน” หมิงหยวนซวนเป็นโรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงของเมืองฝั่งตะวันออก
แม้จะเดินดูติดต่อกันมาสองร้านแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ยังไม่ชอบแม้แต่ร้านเดียว ทันใดนั้นคนหนุ่มที่แต่งกายอยู่ในชุดบัณฑิตด้านข้างก็พูดกับสหายว่า “ได้ยินว่า ‘ร้านขายเสื้อผ้าฝูอี๋’ มีขนสัตว์ชนิดหนึ่งที่หนากว่าผ้าฝ้าย 2 ชั้น การสอบในฤดูใบไม้ผลิกำหนดกฎไว้ว่าจะใส่เสื้อผ้าชุดเดียวได้แค่สามชั้นเท่านั้น สหายร่วมห้องของพวกเราไม่น้อยก็พากันไปซื้อขนสัตว์ชนิดนี้ ! ”
บัณฑิตอีกคนพูดว่า “ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ทว่าขนสัตว์ชนิดนี้มาจากทุ่งหญ้าจึงมีจำนวนไม่มาก ไม่รู้ว่ายังเหลือให้ซื้อหรือเปล่า”
“ไปดูก่อนเถิด อาจยังพอเหลืออยู่ก็ได้ ! ” ทันใดนั้นบัณฑิตไม่กี่คนก็รีบเดินผ่านพวกหลินเว่ยเว่ยและตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าฝูอี๋
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว “บัณฑิตน้อย การสอบในฤดูใบไม้ผลิมีกฎแบบนี้ด้วยหรือ ? เสื้อกันหนาวที่ข้าถักให้เจ้าถือเป็นเสื้อผ้าชุดเดียวหรือเปล่า ? ”
เจียงโม่หานพยักหน้า “เสื้อผ้าชุดเดียวก็คือเสื้อผ้าที่ไม่มีช่องกระเป๋าด้านในเพราะอาจเกิดการโกงข้อสอบขึ้นได้ เสื้อไหมพรมถักเพียงชั้นเดียวต้องเป็นเสื้อผ้าชุดเดียวอยู่แล้ว”
“กลางเดือนสอง อากาศในเมืองหลวงยังหนาวขนาดนั้น พวกบัณฑิตจะทนกันไหวหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยหันไปมองร่างกายอันบอบบางของเจียงโม่หาน จากนั้นก็ต้องถอนหายใจด้วยความกังวล
เจียงโม่หาน “…” สายตาของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ร่างกายข้าแข็งแรงดีจะตาย ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก ขอบใจมาก ! แต่…
“ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตล้มป่วยจำนวนไม่น้อยและถูกหามออกมากว่าครึ่ง ยังมีพวกที่อดทนจนสอบเสร็จแล้วก็ป่วยจนลุกไม่ขึ้น แต่ที่น่าเสียดายยิ่งกว่านั้นคือมีรายชื่อติดบนกระดานแล้วคนกลับไม่มีชีวิตอยู่ได้ชื่นชม…” เจียงโม่หานนึกถึงตัวเองในชาติก่อน ตัวเขาก็เกือบผ่านมาไม่ได้แล้ว
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดไม่เปลี่ยนกฎ ? ให้คนสวมเสื้อผ้าหนา ๆ หน่อย” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกเศร้าใจ…บัณฑิตที่เอาแต่อ่านตำราพวกนี้ก็อ่อนแอเกินไปหน่อย ! ภายในสามเดือนต่อจากนี้นางจะต้องทำอาหารเพื่อปรับสมดุลร่างกายให้แก่บัณฑิตน้อย บำรุงตัวเขาให้มากไปเลย !
หลังจากเศร้าใจเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ดึงตัวบัณฑิตน้อยไปยังร้านขายเสื้อผ้าฝูอี๋ “ไป ไปตัดชุดหนา ๆ ให้เจ้าสองชุด จะได้เอาไว้ใส่ตอนสอบ ! ”
เมื่อพวกนางมาถึงร้านขายเสื้อผ้าฝูอี๋ ก็พบว่าด้านในเต็มไปด้วยผู้คนเบียดกันไปมาอย่างคึกคัก บรรยากาศไม่แพ้งานวัดเลย หลินเว่ยเว่ยพาบัณฑิตทั้งสอง ‘ฝ่าห้าด่าน สังหารหกขุนพล1’ จนเข้าถึงด้านในร้าน พอสอบถามจึงได้รู้ว่าขนสัตว์ผืนหนา ๆ นั้นขายหมดแล้ว…
[i]
1 ฝ่าห้าด่าน สังหารหกขุนพล เป็นประโยคที่ใช้กับกวนอูในวรรณกรรมสามก๊ก เอ่ยถึงเหตุการณ์ตอนกวนอูเดินทางฝ่าห้าด่านเพื่อกลับไปหาเล่าปี่ตามคำสัญญาที่เคยขอกับโจโฉไว้ก่อนจะยอมสวามิภักดิ์ชั่วคราว