หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 538 เก็บสมบัติชิ้นใหญ่ได้
ตอนที่ 538 เก็บสมบัติชิ้นใหญ่ได้
“ถ้าเช่นนั้น…ก็แบ่งเป็นสี่ต่อหกก็แล้วกัน ! ” ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยคือนางไม่ต้องดูแล ไม่ต้องขาย แค่รอรับเงินตอนสิ้นปีเท่านั้น ส่วนแบ่งสี่ต่อหกก็ได้กำไรมากพอ
แต่หนิงตงเซิ่งอยากซื้อใจตำหนักหมินอ๋องไว้ให้ได้ เขามองหลินเว่ยเว่ยด้วยแววตาจริงจัง “ข้าลองถามมาแล้ว อย่างเช่นสวนชูเซียง เบื้องหลังของเขาคือจวนหย่งฉุนโหว ซึ่งแต่ละปีจ่ายปันผล 7 ส่วน เพื่อแลกกับการคุ้มครองของหย่งฉุนโหว ส่วนร้านที่ไม่มีคนหนุนหลังในเมืองหลวงก็ทำแบบเดียวกัน ดังนั้นส่วนแบ่งสามต่อเจ็ด ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกว่ามันน่าขันอยู่บ้าง หุ้นส่วนของผู้อื่นต่างต้องพยายามแย่งกำไรและผลประโยชน์มาครอง แต่พอมาถึงพวกนางกลับตาลปัตร นอกจากนี้นางยังเริ่มสงสารพวกสามัญชน…ที่ไม่มีคนคอยหนุนหลัง เพราะถ้าอยากจะได้ขึ้นมาลืมตาอ้าปากก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก !
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็นำเงินปันผลที่เพิ่งได้รับไปเลือกของขวัญให้เหล่าเจ้านายในตำหนักอ๋อง ซื้อปิ่นหยกให้ฮูหยินผู้เฒ่า ชุดเครื่องประดับศีรษะทับทิมให้พระชายา ส่วนของหมินอ๋องเป็นกระบี่ที่ดูไม่เลวเล่มหนึ่ง…นี่เป็นของที่เจียงโม่หานช่วยเลือก ว่ากันว่าเป็นของตกทอดมาจากราชวงศ์ก่อน ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังมาก พวกนางเก็บสมบัติล้ำค่าได้ !
เมื่อเจียงโม่หานตัดสินใจกลับไปอยู่ที่ถนนหย่งอัน สัมภาระและข้าวของจึงไม่จำเป็นต้องเก็บอีก ส่วนซัวถัวและหยาเอ๋อร์ก็ยังอยู่รับใช้ที่บ้านเช่าถนนหย่งอันต่อไป ตอนนี้การค้าขายของหยาเอ๋อร์กำลังเป็นไปด้วยดี เมื่อคิดว่าต้องไปอยู่ในตำหนักอ๋องที่มีกฎระเบียบมากมายขนาดนั้น ถ้านางทำอะไรผิดขึ้นมา ก็จะทำให้จวิ้นจู่ต้องลำบากไปด้วย
เดิมทีการที่หลินเว่ยเว่ยรับนางไว้ ก็ไม่ได้จะนำมาเป็นสาวใช้จริง ๆ อยู่แล้ว พอเห็นหยาเอ๋อร์ไม่อยากตามกลับตำหนัก หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ฝืนใจ ช่วงหลายวันมานี้หยาเอ๋อร์ยังคงทำเค้กพุทราแดงต่อไป จึงได้ประสบการณ์บางส่วน หลังจากร้านขนมเปิดกิจการแล้ว หลินเว่ยเว่ยจะให้หยาเอ๋อร์ไปเรียนรู้จากหลงจู๊จนกระทั่งสามารถรับผิดชอบหน้าที่แทนได้
พอหยาเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่านี่จะบ่มเพาะให้นางกลายเป็นหลงจู๊หญิงกระมัง ! หลังขอบคุณหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางก็ตัดสินใจว่าจะตั้งใจเรียนให้ดี อย่าทำให้จวิ้นจู่ต้องขายหน้า !
วันนี้เจียงโม่หานยังไม่ค้างอยู่ที่ถนนหย่งอัน เขาเลือกกลับตำหนักหมินอ๋องพร้อมหลินเว่ยเว่ย แม้นางจะไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาเสี้ยวพระจันทร์คู่นั้นของนางโค้งมนเสมอ มุมปากก็ยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่านางกำลังอารมณ์ดี
นางเพิ่งกลับมาอยู่ตำหนักอ๋องได้แค่ไม่กี่วัน จึงยังไม่คุ้นเคยกับคนและเรื่องต่าง ๆ ในตำหนัก ถ้าทิ้งให้นางอยู่คนเดียว อย่างไรนางก็ต้องวิตกกังวลมากแน่นอน
เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋อง นางก็มาทันเวลาที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารเย็นพอดี เจ้านายของตำหนักหมินอ๋องมีไม่มาก จึงไม่ได้มีกฎแบ่งแยกชายหญิงระหว่างกินอาหาร หลังจากหลินเว่ยเว่ยหย่อนกายลงนั่งแล้วก็พบว่าข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ามีสตรีม้วนผมเป็นทรงหญิงออกเรือนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
หมินอ๋องสังเกตเห็นสายตาอย่างรู้อยากเห็นของนาง จึงตรัสด้วยรอยยิ้ม “นี่คือพี่ชิงหลวนของเจ้า บุตรสาวบุญธรรมของฟู่หวางนั่นเอง เมื่อหลายวันก่อนพี่ชิงหลวนตามสามีไปที่อำเภอหลิน พอนางได้ยินเรื่องของเจ้าแล้ว เพิ่งลงจากรถม้าก็รีบนั่งกลับมาที่ตำหนักทันทีเลยล่ะ”
จ้าวชิงหลวนรับชาผลไม้จากมือสาวใช้ จากนั้นก็ยื่นใส่มือฮูหยินผู้เฒ่าแล้วหันมามองหลินเว่ยเว่ยด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “เว่ยเว่ยจวิ้นจู่ตัวสูงโปร่ง เด็กสาวอายุสิบกว่าขวบของเมืองหลวง มีน้อยคนนักที่จะตัวสูงขนาดนี้ ! ”
หมินอ๋องแย้มพระสรวลเสียงดังลั่น “เว่ยเอ๋อร์เหมือนคนตระกูลจ้าวของพวกเรา ! ”
ก็จริง เพราะรูปร่างของหมินอ๋องสองพ่อลูกสูงใหญ่กำยำมาก หากประเมินด้วยสายตาแล้วหมินอ๋องน่าจะสูงประมาณ 1.8 หมี่ ส่วนหมินอ๋องซื่อจื่อนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เคยเจออยู่สองสามครั้ง เขาสูงกว่าหมินอ๋อง นางจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจียงโม่หาน…บัณฑิตน้อยเพิ่งอายุได้ 16 ปีก็สูงเกือบเท่าหมินอ๋องแล้ว พันธุกรรมของคนตระกูลจ้าวคือเป็นคนตัวสูงมากจริง ๆ !
ช่วงหลายวันมานี้หมินหวางเฟยอารมณ์ดีขึ้นเรื่อย ๆ นางบรรทมจนเบื่อนานแล้ว ตอนนี้จึงลงจากแท่นบรรทมมานั่งร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน…ใช้คำพูดของหลินเว่ยเว่ยแล้วกัน ทุกคนล้อมวงกินข้าวด้วยกัน อาหารยิ่งอร่อยและดีต่อการฟื้นตัว
สายพระเนตรกวาดมองไปทางจ้าวชิงหลวนเบา ๆ ก่อนจะดึงมือหลินเว่ยเว่ยมาจับแล้วถามว่า “วันนี้ไปเล่นที่ไหนมา ? ”
หลินเว่ยเว่ยหยิบของขวัญที่เลือกให้ทุกคนออกมา “ไม่รู้ว่าพวกพระองค์ชอบอะไร จึงเอาตามที่ลูกชอบ ซื้อพวกเครื่องประดับมาเล็กน้อย ส่วนของฟู่หวางคือกระบี่เล่มนี้เพคะ ! พี่ชิงหลวน ไม่รู้ว่าท่านจะมาวันนี้ ข้าจึงไม่ได้เตรียม วันข้างหน้าค่อยให้ของขวัญแก่ท่านก็แล้วกัน”
จ้าวชิงหลวนโดนหมินหวางเฟยมอง จึงรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที พอได้ยินแบบนั้นนางก็รีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ข้าก็มาอย่างกะทันหันเกินไป จวิ้นจู่ไม่ต้องคิดมากหรอก…”
แต่แล้วคำพูดของนางก็ถูกขัดด้วยเสียงตกใจของหมินอ๋อง “นี่คือกระบี่จ้านหลู ! เว่ยเอ๋อร์ เจ้าไปได้สมบัติล้ำค่านี้มาจากที่ใด ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองกระบี่จ้านหลูสีดำเมื่อม ก่อนจะเกาศีรษะแล้วถามด้วยความโง่งมว่า “กระบี่เล่มนี้บัณฑิตน้อยบอกให้ลูกซื้อไว้ มันมีชื่อเสียงมากเลยหรือเพคะ ? ”
“แน่นอน ! กระบี่จ้านหลูเป็นกระบี่ของฮ่องเต้โกวเจี้ยนแห่งแคว้นเยว่ ! ว่ากันว่าถูกตีขึ้นมาโดยช่างตีเหล็กโอวหยางจื่อ หลังจากเขาตีกระบี่เล่มนี้แล้วก็หลั่งน้ำตาออกมา บอกว่าในที่สุดเขาก็ตีกระบี่ที่ไร้เทียมทานและปราศจากไอสังหารออกมาได้แล้ว เติมเต็มความฝันชั่วชีวิตของเขา…เจ้าดูนี่สิ มันมีสีดำไร้ที่ติ ช่างพิสดารจริง ๆ กระบี่จ้านหลูไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องความคมกริบ แต่ยังขึ้นชื่อว่ามีจิตวิญญาณแห่งคุณธรรมไร้ซึ่งศัตรู…” หมินอ๋องหลงใหลได้ปลื้มมันอย่างมาก แทบอยากชักกระบี่ออกมาร่ายรำทันที
หมินหวางเฟยลูบเครื่องประดับที่มีเม็ดทับทิมขนาดใหญ่เท่านิ้วหัวแม่มือของตน ก่อนจะหันไปมองปิ่นหยกขาวมันแพะในมือของฮูหยินผู้เฒ่า แล้วหันมาถามหลินเว่ยเว่ย “ซื้อของพวกนี้คงใช้เงินไม่น้อยกระมัง ? เงินในมือของเจ้าคงจะใช้ไปเกือบหมดแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ไม่ได้บอกว่าแม่เลี้ยงของหลินเว่ยเว่ยเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดาในหมู่บ้านกลางหุบเขาหรอกหรือ ? เว่ยเอ๋อร์เก่งเพียงใดก็เพิ่งได้มีชีวิตปกติแค่ 2 ปีเท่านั้น แล้วในบ้านจะมีเงินอยู่สักเท่าไรกันเชียว ? ยังไม่พูดถึงกระบี่จ้านหลูเล่มนั้น พูดแค่ปิ่นหยกกับเครื่องประดับทับทิมนี้ รวมกันแล้วก็น่าจะใช้เงินหลายร้อยตำลึง เด็กคนนี้คงไม่ได้ใช้เงินที่ติดตัวมาด้วยซื้อของขวัญพวกนี้หมดแล้วกระมัง ?
หลินเว่ยเว่ยทำตัวเหมือนถือของล้ำค่าเอาไว้ นางหยิบตั๋วแลกเงินที่เหลือออกมาจากแขนเสื้อแล้วพูดด้วยความดีใจ “วันนี้ลูกไปที่หอสมาคมจงโจวมา แล้วบังเอิญเจอกับหุ้นส่วน เขานำเงินปันผลจากร้านขนมของปีนี้มาให้ด้วย พอแบ่งเงินซื้อของขวัญเหล่านี้ไปแล้วยังเหลืออยู่อีกไม่น้อยเพคะ ! ”
“ร้านขนม ? ถ้าเช่นนั้นก็ไม่แปลก ! เพราะขนมที่เว่ยเอ๋อร์ทำ เมื่อก่อนฟู่หวางไม่เคยเห็น แต่จากการได้ชิมก็รู้ว่าต้องขายดีแน่นอน ! ” หมินอ๋องลูบกระบี่จ้านหลู ก่อนจะถามบุตรสาวว่า “จ่ายเงินซื้อกระบี่เล่มนี้ไปเท่าไร ? อย่างน้อยก็ต้องหลายพันตำลึง ? ประเดี๋ยวฟู่หวางคืนให้เจ้าเอง ! ”
หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มยิงฟันขาว ดวงตาก็โค้งมน “ฟู่หวาง กระบี่ของพระองค์มีราคาถูกที่สุดแล้ว แค่ 100 ตำลึงเงินเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดไปพลางนับนิ้วไปด้วย ท่าทางแบบนี้ดูขี้เล่นสุด ๆ
หมินอ๋องตกตะลึงจนอ้าปากค้างทันที “ระ…ร้อยตำลึงเงิน ? จะเป็นไปได้อย่างไร ? พูดว่าเป็นหมื่นก็ยังเชื่อ ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้สายตาอันเฉียบคมของบัณฑิตน้อยเพคะ ! ตอนพวกเราเดินไปถึงหน้าร้าน เจ้าของกระบี่เล่มนี้เพิ่งโดนเจ้าของโรงรับจำนำไล่ออกมาพอดี บัณฑิตน้อยจำอักษรโบราณบนกระบี่ได้ เราจึงเก็บสมบัติล้ำค่ามาได้เพคะ ! ”
ในที่สุดหมินอ๋องก็เริ่มมองเจียงโม่หานดีขึ้นบ้าง “ไม่เลว อ่านตำรามานานขนาดนั้น ถือว่าไม่ได้เสียเปล่า ! ร้อยตำลึงเงิน ฮ่าฮ่า…พรุ่งนี้ข้าจะเอามันเข้าวังด้วย ทำให้ฮ่องเต้ได้อิจฉาสักหน่อย ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงมีงานอดิเรกเช่นเดียวกับหมินอ๋อง…คือการเก็บสะสมกระบี่โบราณ ในห้องบรรทมของฮ่องเต้หยวนชิงยังแขวนของสะสมอันเป็นที่สุดของดวงหทัยไว้ด้วย นั่นก็คือ…กระบี่เซวียนหยวน !