หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 552 ปากปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับซื่อตรง
ตอนที่ 552 ปากปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับซื่อตรง
หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างถ่อมตน “หมู่เฟย ลูกถือว่าเป็นหมอเทวดาที่ไหนเพคะ ? ก็แค่ทำอาหารบำรุงร่างกายได้ไม่กี่อย่างเท่านั้น เดิมทีโรคของพระองค์ก็เกิดจากตอนคลอดบุตรแล้วไม่ได้ดูแลร่างกายให้ดี จิตใจยังเศร้าโศก พอโรคทางใจดีขึ้นแล้วบำรุงควบคู่กับอาหารที่มีสรรพคุณทางยาอีกหน่อย ร่างกายก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วเพคะ ! ”
หมินหวางเฟยวางชามอาหารลง แล้วดึงมือนางมาจับอีกครั้ง “อาการป่วยทางใจของแม่ ก็ได้ ‘ยาใจ’ อย่างเจ้าช่วยรักษา เว่ยเอ๋อร์ของพวกเราเป็นผู้กล้าที่สมควรได้รับรางวัลแล้ว…เฉิงเอ๋อร์ เร็ว รีบไปเอาซองอั่งเปามาเร็ว ! ลูกผู้ชายอกสามศอก พูดอะไรแล้วผิดคำพูดไม่ได้ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อนำไข่มุกที่ฮ่องเต้เพิ่งพระราชทานให้ตนมายื่นให้น้องสาวคนนี้ “ไข่มุกพวกนี้ เจ้าเอาไปทำเครื่องประดับก็แล้วกัน ! ”
ขณะมองไข่มุกขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือในกล่อง หลินเว่ยเว่ยก็พูดว่า “ข้าจะรับไว้ได้อย่างไร” แต่มือกลับยื่นออกไปรับไว้อย่างซื่อตรง
“จริงสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยหยิบป้ายหยกออกมาจากแขนเสื้อ “สิ่งนี้ต้องคืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว”
หมินอ๋องซื่อจื่อผลักป้ายหยกกลับไป “ให้เจ้าแล้วก็คือให้เจ้าเลย ด้วยป้ายหยกนี้ หากเจ้าไปที่ร้านในนามของข้าแล้วชอบของอะไรในนั้นก็หยิบมาได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงิน ! ”
หมินหวางเฟยตรัสด้วยรอยยิ้ม “นี่ถึงจะสมกับเป็นพี่ชายหน่อย ! เว่ยเอ๋อร์ รับไว้เถิด ! นานครั้งพี่ชายเจ้าจะใจกว้างแบบนี้ ผ่านครั้งนี้ไปอาจไม่มีอีกแล้ว ! จริงสิ เขากับสหายร่วมหุ้นเปิดร้านขายเครื่องประดับ ในร้านมีปิ่นและกำไลมากมายทำจากหินที่ส่งมาจากอาณาจักรพุกาม ถือว่ามีเอกลักษณ์ใช้ได้ แถมยังหาซื้อจากที่อื่นไม่ได้ด้วย ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “หมู่เฟย นั่นไม่ใช่หิน แต่คือมรกต ! มรกตที่มีอายุหลายปี ในเมืองหลวงยังถือว่าเป็นที่นิยมอยู่มาก ตอนนี้คนที่ขายมรกตไม่ได้มีแค่ร้านของลูก…น้องหญิง ข้าไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงชอบอะไร ดังนั้นตั๋วแลกเงินเหล่านี้เจ้ารับไว้ แล้วชอบอะไรก็ไปซื้อ ถือเป็นของขวัญที่พี่ชายมอบให้เจ้า ! ”
“ไม่ ไม่ต้องหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยเพิ่งได้ไข่มุกมาหนึ่งกล่อง แล้วนางจะรับตั๋วแลกเงินจากหมินอ๋องซื่อจื่อได้อีกหรือ ? แถมนางยังไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของเขาสักหน่อย…
นางนำตั๋วแลกเงินที่หมินอ๋องซื่อจื่อยัดใส่มือมาที่ห้องของบัณฑิตน้อย แล้วพูดกับเขาด้วยความรู้สึกเกรงใจ “ข้ารู้สึกไม่ดีสุด ๆ เหมือนมาหลอกเอาเงินซื่อจื่ออย่างไรอย่างนั้น…”
“จะเรียกว่าหลอกได้อย่างไร ? เจ้าก็คิดเสียว่าเป็นของขวัญแรกพบที่เขามอบให้น้องสะใภ้ในอนาคต ! ” เจียงโม่หานมองตั๋วแลกเงินในมือหลินเว่ยเว่ยและไข่มุกหนึ่งกล่องบนโต๊ะ…หมินอ๋องซื่อจื่อก็ใจกว้างไม่เบา !
“อีกอย่างเจ้าก็เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ! และยังไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย ! ซื้อชีวิตน้อย ๆ ของเขาไว้ถึงสองครั้งด้วยทรัพย์สินแค่นี้ ข้ายังคิดว่าน้อยไปด้วยซ้ำ” พอคิดแบบนี้แล้วก็ถือว่าน้อยไปจริง ๆ !
หลินเว่ยเว่ยถามด้วยความงุนงง “ข้าไม่ได้ช่วยเขามาจากมนุษย์โอสถแค่ครั้งเดียวหรือ ? แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นสองครั้ง ? ” หรือนางยังเคยช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อไว้อีก ? ทำไมนางไม่รู้ตัว ?
เจียงโม่หานวางพู่กันในมือแล้วพูดกับนางว่า “เจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่า ถ้าวันนี้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ด้วยน้ำมือไส้ศึกในกองทัพติงเป่ย คนที่โชคร้ายจะเป็นใคร ? ไม่ใช่แค่ชีวิตของหมินอ๋องซื่อจื่อจะตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น แม้แต่คนในตำหนักหมินอ๋องก็ต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย แล้วไม่เรียกว่าช่วยเขาไว้อีกครั้งหรอกหรือ ? ”
ก็จริง กองทัพติงเป่ยอยู่ใต้บัญชาของหมินอ๋องซื่อจื่อ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรอดยาก ไม่แน่ว่าอาจมีขุนนางทรงอำนาจบางคนในราชสำนักฉกฉวยโอกาสนี้ใส่ความตำหนักหมินอ๋องว่าคิดกบฏ ! ไอหยา เป็นขุนนางช่างมีความเสี่ยงสูงจริง ๆ แม้ตำแหน่งสูงส่งเพียงใดก็ยังถูกลากลงมาเสี่ยงอันตรายได้ทุกเมื่อ !
หลินเว่ยเว่ยย่นจมูก “พวกกบฏราชวงศ์ก่อนเหมือนแมลงวันไม่มีผิด กัดไม่ได้แต่ทำให้ขยะแขยง ! ฮ่องเต้ปกครองด้วยทศพิธราชธรรม รักราษฎรดั่งลูกหลาน ราษฎรต้องเผชิญกับภัยสงครามมานานหลายปี กว่าจะได้กลับมามีชีวิตปกติไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าพวกกบฏราชวงศ์ก่อนทำสำเร็จ ใต้หล้าที่เพิ่งกลับมาสงบได้ไม่นานก็คงต้องโกลาหลอีกครั้ง ! ”
เจียงโม่หานทำให้คิ้วนางหายขมวด จากนั้นก็จิ้มไปที่หน้าผากของนาง “พวกกบฏราชวงศ์ก่อนจะสร้างความวุ่นวายได้อีกไม่นานหรอก เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล เจ้าแค่นั่งเป็นจวิ้นจู่แห่งตำหนักหมินอ๋องก็พอ ! ”
หลินเว่ยเว่ยลูบหน้าผากตัวเอง นางเข้าไปที่หน้าโต๊ะหนังสือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “เขียนเกี่ยวกับตัวเลขอีกแล้วหรือ ? เจ้าคิดจะเขียนตำราขายหรือไร ? ”
“คนที่รู้ใจข้ามีเพียงเว่ยเว่ยจวิ้นจู่เท่านั้น ! ” ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ ของเจียงโม่หานเขียนเสร็จแล้ว มันอยู่ในช่วงการพิสูจน์อักษร ผ่านไปอีกไม่กี่วันเขาวางแผนจะไปเยือนร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วตีพิมพ์ ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ เล่มนี้ออกมา
หลินเว่ยเว่ยมองเขาเขียนตำรา…ล้วนเป็นภาษาโบราณทั้งนั้น นางอ่านแล้วไม่เข้าใจ หลินเว่ยเว่ยเกาคางแล้วถามว่า “ตำราเล่มนี้จะมีคนซื้อหรือ ? ”
นางเคยไปถามที่ร้านหนังสือมาแล้ว หนังสือที่ค่อนข้างขายดี ก่อนอื่นเป็นพวกตำราที่เกี่ยวข้องกับการสอบขุนนาง รองลงมาเป็นหนังสือที่น่าสนใจและมีเนื้อหาสนุกสนาน แล้วต้องมีพวกบทกวีที่มีชื่อเสียงหรือบันทึกท่องเที่ยว…ส่วนด้านคณิตศาสตร์มีน้อยคนที่จะมองหา เหตุใดบัณฑิตน้อยถึงอยากเขียนด้านนี้ ?
เจียงโม่หานยิ้มอย่างมีเลศนัยให้นาง “จะมีคนซื้อหรือไม่ ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ! ”
วันที่สิบสอง เดือนสิบสอง เป็นวันที่หลินเว่ยเว่ยกลับเข้าศาลบรรพชน วันนี้ตระกูลจ้าวเปิดศาลบรรพชนแล้วเขียนชื่อนางลงในแผนผังวงศ์ตระกูลและกราบไหว้บรรพบุรุษ
ตอนไหว้บรรพชน หลินเว่ยเว่ยกลัวบรรพบุรุษสกุลจ้าวมาหาตอนกลางดึก จึงแอบภาวนาในใจว่า ‘กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา เรื่องนี้เป็นความคิดของฮ่องเต้ ข้าแค่เป็นลูกเป็ดที่ถูกต้อนเข้ามาเท่านั้น ถ้าพวกท่านไม่พอใจก็เข้าวังไปถามเขา ไม่เกี่ยวกับข้า ! ’
ต่อมาคืองานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ หมินอ๋องติดต่อกับพวกขุนนางทรงอำนาจในราชสำนักน้อยมาก ทว่า คราวนี้พระองค์มีความสุข จึงส่งเทียบเชิญไปถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย แทบอยากจะบอกให้คนทั่วหล้ารู้ว่า…บุตรที่พลัดพรากไปหลายปีกลับมาแล้ว พระองค์มีบุตรสาวแล้ว !
ณ งานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ ขุนนางขั้นห้าขึ้นไปที่มีสิทธิ์เข้าราชสำนักก็มาร่วมงานเกือบทั้งหมด บางคนก็มาร่วมแสดงความยินดีโดยมีเทียบเชิญ บางคนไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ก็ยังส่งของขวัญมาให้…เผื่อจะได้ผูกสัมพันธ์กับตำหนักหมินอ๋อง
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่พวกนี้มาเข้าร่วมงานโดยพร้อมเพรียง สาเหตุสำคัญที่สุดคือเพราะฮ่องเต้ส่งองค์รัชทายาทมาร่วมงานเลี้ยงตำหนักหมินอ๋องแทนพระองค์ จะเห็นได้ว่าทรงให้ความสำคัญกับหมินอ๋องและบุตรสาวมากเพียงใด
เหล่าสตรีในจวนขุนนางพวกนี้ก็ตั้งตาคอยเหมือนกัน เพราะฮองเฮากับองค์หญิงเจียวเจียวมาปรากฎตัว ณ งานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ของตำหนักหมินอ๋อง ! แต่เมื่อมาถึงตำหนักหมินอ๋องแล้วพวกนางกลับคาดไม่ถึงว่าเจ้านายที่มาต้อนรับจะไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่า แต่เป็นหมินหวางเฟย !
ขณะมองหมินหวางเฟยที่ประทับอยู่ข้างฮองเฮาแล้ว ฝูเหรินและคุณหนูทุกคนก็เริ่มหันมามองหน้ากัน…ไม่ได้บอกว่าหมินหวางเฟยประชวรหนักจนแทบไม่ไหวแล้วหรือ ? ได้ยินว่าเสียสติขึ้นมาเป็นระยะอีกด้วย แล้วหมินหวางเฟยที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสตรงหน้า เหตุใดถึงดูไม่เหมือนคนป่วย หรือว่าข่าวลือเป็นเท็จ ?
ฝู่กั๋วกงฝูเหรินเป็นสหายสนิทกับหมินหวางเฟย เมื่อหมินหวางเฟยหายประชวรแล้ว นางจึงรู้สึกดีใจแทนสหายมากเหลือเกิน “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าหายดีแล้วหรือ ? ”
“ดีขึ้นมากแล้ว รอพักฟื้นอีกสักระยะก็จะกลับมาเหมือนคนปกติ ร่างกายของข้ายืนนานไม่ได้ จึงไม่ได้ต้อนรับให้ดี ต้องขอให้ฝูเหรินทุกท่านอภัยด้วย ! ” หมินหวางเฟยจิบชาผลไม้ ไม่รู้เป็นเพราะอารมณ์ดีหรือเปล่า แต่วันนี้นางรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลังและรู้สึกสดชื่นไปหมด !