หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 559 เสียงนี้ไพเราะจนเหมือนหูตั้งครรภ์ได้
ตอนที่ 559 เสียงนี้ไพเราะจนเหมือนหูตั้งครรภ์ได้
“มีสิ่งใดน่าโมโห ? พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ความผูกพันนับสิบกว่าปี แล้วพระองค์ล่ะเพคะ ? เพิ่งรู้จักบุตรสาวได้เท่าไร ถึงเดือนหนึ่งหรือยัง ? ” หมินหวางเฟยมองต่างออกไป เพราะยิ่งหนุ่มสาวคู่นั้นรักกันมากเท่าไร นางก็ยิ่งมีความสุข !
หมินอ๋องตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเป็นบิดาของนาง ! บิดาแท้ ๆ ด้วย ! แบบที่สายเลือดเดียวกันน่ะ ! ”
หมินหวางเฟยจงใจอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม “ถึงแม้บุตรสาวจะเป็นคนในสายเลือดเดียวกัน แต่สุดท้ายก็ต้องออกเรือน คนที่จะอยู่กับนางไปอีกครึ่งชีวิตไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นสามีของนาง และพวกเขายิ่งรักกันเท่าไร คนเป็นบิดามารดาอย่างพวกเราก็ควรดีใจแทนลูกถึงจะถูก ! ”
“เจ้าตัวแสบยังไม่ได้เป็นสามี ! นางหนูก็ไร้มโนธรรม ยังไม่ทันไรก็หันศอกออกนอกไปไกลถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นลี้เสียแล้ว ! ไปสืบมาว่าทั้งสองคนไปไหน นี่ยังหิมะตกอยู่เลย แต่ไม่ยอมอยู่บ้าน วิ่งวุ่นออกไปไหนกัน ! ” หมินอ๋องวางใจไม่ลง พระองค์กลัวบุตรสาวจะโดนเจ้าตัวแสบหน้าขาวเอาเปรียบ
ผ่านไปไม่นาน ก็มีข้ารับใช้เข้ามาให้คำตอบ “จวิ้นจู่และคุณชายเจียงไปที่ร้านหนังสือพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หมินหวางเฟยแย้มโอษฐ์ “คราวนี้วางพระทัยได้แล้วกระมัง ? เดือนสองของปีหน้า หานเอ๋อร์จะสอบฮุ่ยซื่อแล้วจึงเป็นธรรมดาที่ต้องอ่านตำรามากหน่อย…จริงสิ ตำราที่ซ่อนไว้ในห้องทรงอักษรของพระองค์ วางไว้ก็ไร้ประโยชน์ สู้เอาออกมาให้หานเอ๋อร์ดีกว่า…”
“หานเอ๋อร์ หานเอ๋อร์ ! เจ้าเรียกได้สนิทสนมนัก ถ้าไม่รู้ก็คงคิดว่าข้ามีบุตรชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน ! ” ดวงหทัยของหมินอ๋องเต็มไปด้วยความหงุดหงิด น้ำเสียงหึงหวง เจ้าเด็กคนนั้นก็ไม่ใช่แค่หน้าตาดีพอใช้หรือไร ? เหตุใดภรรยาและบุตรสาวของพระองค์ ถึงโดนเจ้านั่นหลอกได้หมด !
นิ้วเรียวดุจหยกของหมินหวางเฟยจิ้มลงบนหน้าผากของพระสวามี นางหัวเราะออกมาเบา ๆ “บุตรเขยก็เท่ากับบุตรแท้ ๆ ครึ่งหนึ่งแล้ว ! หานเอ๋อร์ก็เป็นเด็กกำพร้า แล้วจะไม่เหมือนบุตรชายของพวกเราหรือไร ? อีกอย่างคือพวกเราก็ได้กำไรนะเพคะ ไม่เพียงตามหาบุตรสาวเจอ แต่ยังได้หนึ่งแถมหนึ่งเพราะมีบุตรชายเพิ่มมาอีกคน ! ”
หมินอ๋องจับมือนางแต่ยังตรัสว่า “ฮึ ! เรามีบุตรชายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม ! อีกอย่างตอนนี้เจ้าเด็กหน้าขาวก็ยังไม่ใช่บุตรเขยของเรา ! พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็จะไม่เร็วไปหน่อยหรือ ! ”
“พระองค์นี่นะ ! อยากหาคนประเภทใดให้เว่ยเอ๋อร์ของเรากันแน่ ? ฐานะเหมาะสม ? ตอนนี้บ้านเรามีบุปผาบานสะพรั่ง เมื่อรวมกับฐานะสูงส่งเข้าไปอีก พระองค์สามารถเชื้อเชิญเชื้อพระวงศ์มาเป็นตัวเลือกได้แน่นอน ทว่าตระกูลใหญ่ก็มีกฎระเบียบมากมาย แล้วถ้าเว่ยเอ๋อร์แต่งเข้าไปจะได้อยู่อย่างสุขสบายหรือเพคะ ? ” หมินหวางเฟยหันไปทอดพระเนตรปราดหนึ่ง ก่อนจะหยิบขนมชิ้นเล็กบนโต๊ะขึ้นมา…เว่ยเอ๋อร์นี่ก็จริง ๆ เลย ขนมที่ทำออกมาชิ้นเล็กลงทุกวัน ราวกับของกินเด็กน้อย !
ใช่ว่าหมินอ๋องจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่บุตรสาวที่เพิ่งตามเจอ กลับจะโดนหมาป่าคาบไปแล้ว พระองค์จะสบายใจได้อย่างไร ?
“พระองค์ก็เห็นแล้วว่าต่อหน้าหานเอ๋อร์ ไม่ว่าเว่ยเอ๋อร์จะพูดหรือทำอะไรก็เป็นอิสระ นี่หมายความว่าอย่างไร ? ก็บ่งบอกว่าหานเอ๋อร์ไม่เคยตีกรอบความคิดให้นาง ก็เหมือนที่พระองค์รักและตามใจหม่อมฉัน บุตรสาวของเรามีความสุขอย่างไรก็ควรปล่อยให้เป็นแบบนั้นเพคะ ! หากมองย้อนกลับไปครึ่งชีวิตก่อนหน้านี้ การสามารถแต่งกับพระองค์ได้ก็คือความโชคดีและความสุขที่สุดของหม่อมฉัน เชื่อว่าเว่ยเอ๋อร์ของพวกเราก็จะเป็นเหมือนมารดาที่ได้แต่งงานกับความสุขของนาง…” หมินหวางเฟยยื่นพระหัตถ์ออกมาลูบดวงพักตร์ของหมินอ๋องพร้อมดวงเนตรอ่อนหวานและอ่อนโยน
สีพระพักตร์ของหมินอ๋องเริ่มแดง ทรงจับมือพระชายาไว้ แม้จะฟังแล้วน่าเขินอายแต่ก็จริงใจ “ไม่หรอก การแต่งกับเจ้าได้ถึงจะเป็นโชคดีของข้า เป็นความสุขชั่วชีวิตของข้า ! ”
นางกำนัลข้างกายหมินหวางเฟยหันมาส่งยิ้มให้แก่กัน แล้วพากันถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ…
หลินเว่ยเว่ยและน้องชายตามเจียงโม่หานออกมา หลังลงจากรถม้าแล้ว ชุนซิ่งก็รีบกางร่มให้นาง ขณะมองอาคารขนาดสามชั้นห้าห้องตรงเบื้องหน้า หลินเว่ยเว่ยก็อุทานด้วยความตกใจ “นี่คือร้านหนังสือ ? ใหญ่มาก ! รู้สึกเหมือน…หอหนังสือมากกว่า ! ” นางอยากพูดว่าห้องสมุดแห่งชาติ แต่พอคำมาถึงปากแล้วก็กลืนลงคอได้ทัน
“เดินช้าหน่อย ระวังลื่น” เจียงโม่หานยื่นมือออกไปและเป็นธรรมดาที่หลินเว่ยเว่ยจะจับมันอย่างรวดเร็ว การกระทำของทั้งสองคนดึงดูดความสนใจของบัณฑิตที่เข้าออกร้านหนังสือ
เมื่อเข้ามาในร้านหนังสือแล้ว เจียงโม่หานก็ตามหาหลงจู๊เพื่อถามว่า “ข้ามีต้นฉบับอยู่หนึ่งชุด ไม่ทราบว่าทางร้านพอจะสนใจหรือไม่ ? ”
หลงจู๊หันมามองเจียงโม่หาน…เป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตาและอ่อนเยาว์มาก แต่หน้าตาดีเหลือเกิน !
ปกตินักเขียนหรือนักกวีที่ร้านโม่เซียงจะร่วมลงทุนด้วยล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น หลงจู๊มั่นใจว่าบุรุษตรงหน้าคนนี้ ตนไม่เคยเจอมาก่อนจึงพูดว่า “ต้นฉบับเป็นของท่านเองหรือมาส่งแทนคนอื่น ? ”
เจียงโม่หานยิ้มเบาบาง “เป็นของข้าเอง…”
หลงจู๊ส่ายหน้าเบา ๆ “ร้านหนังสือของพวกเราไม่ตีพิมพ์หนังสือจำนวนน้อย คุณชายสามารถไปสอบถามร้านฉีเหวินจายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ ! ”
“ข้าไม่ได้ต้องการพิมพ์หนังสือ แต่จะมาร่วมลงทุนกับร้านของท่าน ! ” เจียงโม่หานรู้ว่าด้วยร้านมาตรฐานอย่างร้านโม่เซียง ต้องมีมาตรฐานสูงกับต้นฉบับ แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวเอง !
หลงจู๊มองเขาด้วยความจริงจังแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ แต่ช่วงนี้ทางร้านไม่ขาดแคลนต้นฉบับ คุณชายไปหาร้านอื่นเถิด ! ”
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วแล้วพุ่งเข้ามาพูดว่า “หลงจู๊ ต้นฉบับนี้ท่านยังไม่ได้ดูด้วยซ้ำ แต่ก็ปฏิเสธแล้ว ท่านไม่กลัวจะพลาดหนังสือดี ๆ เล่มหนึ่งไปบ้างหรือ ? หรือว่า…ร้านโม่เซียงของพวกท่านรังเกียจลูกค้า ไม่เห็นบัณฑิตวัยหนุ่มอยู่ในสายตา ? ”
ขณะที่หลงจู๊กำลังจะพูดอะไรต่อสักอย่าง พนักงานก็เข้ามากระซิบข้างหูเขาประมาณ 2-3 ประโยค สีหน้าเขาเปลี่ยนไปแล้วรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงสั่งสอนได้ถูกพ่ะย่ะค่ะ เป็นกระหม่อมที่ไม่ดีเอง ! ทั้งสามท่านเชิญด้านใน เจ้านายของกระหม่อมต้องการสนทนากับพวกท่านขอรับ ! ”
หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานหันมาสบตากัน…เจ้าของร้านโม่เซียง ? พระญาติขององค์รัชทายาท ? คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในร้านโม่เซียงวันนี้ แบบนี้ก็ดีเพราะได้คุยกับเจ้าของร้านโดยตรง !
หลงจู๊พาเจียงโม่หาน หลินเว่ยเว่ยและน้องชายมายังสวนของร้านหนังสือด้วยตัวเอง หลังเดินผ่านโถงทางเดินมาแล้วก็มีเสียงรื่นหูดังออกมาจากด้านใน “เชิญท่านลูกค้าผู้ทรงเกียรติเข้ามาได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเลิกคิ้ว…เสียงนี้ไพเราะใช้ได้ สามารถเป็นนักพากย์ได้เลย ! ให้ท่านลุงของว่าที่ฮ่องเต้ไปเป็นนักพากย์ มีแค่เจ้าเท่านั้นที่คิดได้ !
เจียงโม่หานเดินนำอยู่ด้านหน้า หลินเว่ยเว่ยและหลินจื่อเหยียนเดินตามมาติด ๆ พอเดินอ้อมห้องหนังสือมาแล้ว ด้านในสวนก็อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ เมื่อเดินเข้ามาหลินเว่ยเว่ยก็จำบุคคลหนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังเล่นหมากล้อมอยู่ได้ทันที “องค์รัชทายาทก็ประทับอยู่ด้วยหรือเพคะ ! ”
ทั้งสามคนทำความเคารพองค์รัชทายาท ด้านองค์รัชทายาทตรัสด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี ! เชิญนั่ง ! ”
ทั้งสามจึงเดินเข้าไปนั่ง ก่อนที่นางกำนัลจะเข้ามารินชาร้อน ๆ ส่วนองค์รัชทายาทวางหมาก จากนั้นจึงจะหันมาทอดพระเนตรเจียงโม่หาน “เจียงเจี้ยหยวนจะตีพิมพ์หนังสือหรอกหรือ ? เอาต้นฉบับมาหรือไม่ ? ให้เปิ่นหวางดูหน่อยได้หรือเปล่า ? ”
เจียงโม่หานยื่นต้นฉบับออกไป องค์รัชทายาทเห็น ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ บนหน้าปก จึงอดไม่ได้ที่จะเงยดวงพักตร์เพื่อทอดพระเนตรเขาอีกครั้ง “ตำราเกี่ยวกับตัวเลข ? เหตุใดเจียงเจี้ยหยวนถึงเขียนเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา ? ”
องค์รัชทายาทรู้สึกสับสน น่าประหลาดนัก เมื่อวานฟู่หวงเพิ่งตรัสกับพระองค์ว่าอยากเพิ่มโจทย์ทางคณิตศาสตร์เข้าไปในข้อสอบฮุ่ยซื่อด้วย แล้วเจียงเจี้ยหยวนผู้นี้รู้ได้อย่างไร ? ไม่สิ ! ถึงแม้จะรู้ก็ไม่มีทางเขียนคำอธิบายออกมาได้ภายในคืนเดียว…หรือว่านี่จะเป็นเรื่องบังเอิญ ?
เจียงโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทูลองค์รัชทายาท เหตุผลที่กระหม่อมเขียน ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ ขึ้นมา เป็นเพราะองค์หญิงเว่ยเว่ยพ่ะย่ะค่ะ”