หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 57 มองคนหล่อแล้วอายุยืน
ตอนที่ 57 มองคนหล่อแล้วอายุยืน
เจ้าหนูน้อยเกาใบหน้าเล็ก ๆ ของตนแล้วกล่าวว่า พี่รองนิสัยไม่ดี แอบกินผลชิงป่าที่ยังตากไม่แห้ง
อย่างข้าเรียกว่าแอบได้หรือ ? อย่างข้าเรียกว่าทานอย่างเปิดเผยต่างหาก ! หลินเว่ยเว่ยหยิบผลชิงมาอีกหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ยัดเข้าปากของเด็กน้อยแล้วถามกลับ อร่อยหรือไม่ ?
อร่อย ! แม้ว่าผลชิงจะยังตากไม่แห้งดี แต่พอผ่านการต้มในน้ำเชื่อมแล้วรสชาติของมันทั้งหวานและนุ่ม ซึ่งเด็กทุกคนล้วนชื่นชอบ แต่เด็กน้อยเอ่ยอย่างรู้ความว่า พี่รอง พวกเราแค่ชิมเล็กน้อยก็พอแล้ว พวกนี้เราเก็บไว้ขายเอาเงินดีกว่า
หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มเล็ก ๆ ของเขา จากนั้นนางก็หัวเราะแล้วหันไปเอ่ยกับนางเฝิงว่า น้าเฝิง ท่านทำผลไม้ตากแห้งอย่างเหน็ดเหนื่อยจนไม่มีเวลาทำอาหาร ต่อไปนี้เราสองครอบครัวมาทานข้าวด้วยกันดีหรือไม่ ?
แน่นอนว่านางเฝิงย่อมไม่ปฏิเสธ เพราะหลังได้ทานอาหารที่หลินเว่ยเว่ยทำไปหลายมื้อ นางก็ไม่ชอบฝีมือการทำอาหารของตน ส่วนหานเอ๋อร์ก็เหมือนชอบอาหารของเสี่ยวเว่ยอยู่มากเช่นกัน การที่ทั้งสองบ้านทานข้าวร่วมกัน เขาก็จะสามารถทานได้มากขึ้น เพราะร่างกายของหานเอ๋อร์ผอมบางเกินไป หากไม่มีร่างกายที่ดีแล้ว เขาจะเอาตัวรอดจากการสอบที่ใกล้มาถึงในอีกไม่กี่วันได้หรือ ?
ได้สิ ประเดี๋ยวข้าจะให้หานเอ๋อร์นำวัตถุดิบมาให้ ส่วนแปลงผักหลังบ้านของข้า หากเจ้าอยากทานก็ไปเด็ดเอาได้เลย ! นางเฝิงนำผลชิงที่ล้างสะอาดแล้วส่งเข้าไปในห้องครัว พอหันกลับมาเจียงโม่หานบุตรชายสุดที่รักก็ยื่นถุงแป้งหมี่จากในบ้านมาให้แล้ว
หลินเว่ยเว่ยรับแป้งหมี่จากมือของเจียงโม่หาน นางยิ้มแล้วถามเขาว่า บัณฑิตน้อย เย็นนี้อยากทานอันใดหรือ ?
เจียงโม่หานมีภูมิต้านทานต่อคำหยอกล้อและความไม่อยู่กับร่องกับรอยของนางแล้วจึงตอบไปว่า ทานบะหมี่แล้วกัน !
ได้ ! วันนี้อากาศร้อนมาก เช่นนั้นข้าจะทำ ‘บะหมี่เย็นราดซอสเปรี้ยวหวาน’ มันจะทำให้ชุ่มคอและทำให้เจริญอาหาร ! หลินเว่ยเว่ยถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มนวดแป้ง จริงสิ บัณฑิตน้อย เจ้าทานเผ็ดได้หรือไม่ ?
ในอดีตเจียงโม่หานชอบทานเผ็ดอยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
หลินเว่ยเว่ยแข็งแรงมาก นางออกแรงนวดแป้งจนนุ่มจึงทำให้เส้นบะหมี่ที่นวดออกมาได้ที่เป็นอย่างดี หลังจากต้มเส้นเสร็จแล้วนางก็นำเส้นลงไปแช่น้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณเพื่อรอให้เย็นลงสักครู่ จากนั้นนางได้หั่นแตงกวาและมะเขือเทศเป็นเส้นบาง ๆ แล้วบดกระเทียมให้ละเอียด เติมเกลือ ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู งาคั่วและนำไปเคี่ยวจนเป็นซอสเข้มข้น จากนั้นนางก็ตั้งน้ำมันจนร้อนแล้วใส่พริกป่นลงไปผัดจนมีกลิ่นหอม
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลินเว่ยเว่ยจึงส่งจานใบเล็กให้เจียงโม่หานที่กำลังช่วยน้องสี่ของนางล้างผลชิงแล้วกล่าวว่า ลองชิมสิ ถูกปากหรือไม่ ?
เจียงโม่หานได้ชิมไปหนึ่งคำก็สัมผัสได้ถึงบะหมี่เย็นที่สดชื่นและเข้มข้นซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวนำเผ็ดตามคลุกเคล้ากับกลิ่นกระเทียมเจียวหอม ๆ และรสชาติของงาก็ช่วยเพิ่มเนื้อสัมผัสให้บะหมี่เย็น ‘อร่อย ! ใช่เลย…’
ใส่พริกเพิ่มอีกสิ รสชาติจะดีขึ้นกว่านี้ ! เจียงโม่หานแสดงความเห็นเรื่องรสชาติอย่างตรงประเด็น
น้ำมันพริกเผาอยู่ด้านนั้น ถ้าชอบก็เติมอีกได้ แต่ทานพริกเยอะไปไม่ดีต่อม้ามและกระเพาะอาหาร เช่นนั้นจึงไม่ควรทานมากไป หลินเว่ยเว่ยอดกำชับเตือนไม่ได้
ข้า…ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด ! เจียงโม่หานอดพูดไม่ได้
หลินเว่ยเว่ยจิ้มนิ้วลงที่ไหล่ของเขาแล้วมองเขาที่เซไปข้างหลังสองก้าว จากนั้นนางก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า ก็มิได้แข็งแรงมากนักนี่ ! บัณฑิตหนุ่มเอ๋ย ข้าขอแนะนำให้เจ้าปีนเขาเยอะ ๆ เดินมาก ๆ ออกกำลังกายเสียบ้าง จะได้ไม่เป็นลมจนถูกหามออกจากสนามสอบ !
เจียงโม่หานรู้สึกอับอายและโมโหมาก เจ้าแรงเยอะและป่าเถื่อน ผู้ใดจะเทียบเจ้าได้ ?
โกรธมากก็ไม่ดีต่อร่างกาย บัณฑิตน้อย เจ้าควรฝึกเดินลมปราณด้วย ! หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าแล้วถอนหายใจใส่เขาพร้อมทำสีหน้าเข้มงวดราวกับผู้ใหญ่สอนเด็ก
นางเฝิงกลัวว่าบุตรชายจะโกรธมากขึ้นจึงรีบเอ่ยว่า บะหมี่เย็นเสร็จแล้วใช่หรือไม่ ? เรารีบทานบะหมี่เย็นกันก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวบะหมี่เป็นก้อนจะเสียรสชาติเอาได้
เด็กน้อยคีบบะหมี่เข้าปากอย่างขะมักเขม้น ทว่าเขายังไม่ลืมพี่ชายอีกคนของตนจึงกล่าวว่า อร่อยมาก ! พี่รอง ครั้งหน้าตอนที่พี่สามหยุดพัก เราทำกินอีกครั้งได้หรือไม่ ? บะหมี่ที่อร่อยเช่นนี้หากพี่สามไม่ได้กินคงน่าเสียดายแย่เลย !
ได้สิ ! หลินเว่ยเว่ยที่ยังไม่พอใจในรสชาติจึงเติมน้ำมันพริกเผาลงไปอีกหนึ่งช้อน นางทานจนปากเล็ก ๆ แดงไปหมด ครั้งหน้าข้าจะทำบะหมี่ซอสผัดให้พวกเจ้าทาน ใช้หมูหั่นเต๋าทำซอสผัด พอทานแล้วจะได้กลิ่นหอมมากเลย !
บะหมี่เย็นของนางหวงลงท้องไปกว่าครึ่งชาม แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังขาดไปอีกหนึ่งคน นางจึงกล่าวว่า พี่สาวของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ? ฟ้าจะมืดแล้วเหตุใดนางยังไม่กลับมาอีก ?
ขณะที่กล่าวนั้นบุตรสาวคนโตของตระกูลหลินก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เด็กน้อยผู้มีสายตาเฉียบแหลมช่วยตักบะหมี่เย็นแล้วกล่าวว่า พี่ใหญ่ ลองชิมบะหมี่เย็นที่พี่รองทำสิ อร่อยมากเลย !
พี่สาวคนโตทานเผ็ดไม่ได้ น้องสี่ไม่ทันได้ระวังจึงใส่น้ำมันพริกเผาเยอะเกินไป พอทานคำแรกลงไปน้ำตาของนางก็ไหลออกมาด้วยความเผ็ด นางจึงรีบหยิบกระบวยน้ำขึ้นมาแล้วตักน้ำเย็นจากถังขึ้นมากระดกลงคอรวดเดียว น้องสี่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจเพราะกลัวโดนตำหนิ
หลินเว่ยเว่ยจึงเทบะหมี่จากชามของพี่ใหญ่ลงในชามของตนแล้วคลุกบะหมี่ให้ใหม่โดยไม่ใส่พริกพลางถามว่า ตอนที่เจ้าเข้ามา ข้าเห็นเจ้ายิ้มราวกับคนเสียสติ เพราะเรียนทอผ้าราบรื่นดีใช่หรือไม่ ?
เจ้าว่าผู้ใดเหมือนคนเสียสติ ? พี่สาวมองค้อนไปหนึ่งทีแล้วทานบะหมี่เย็นคำโตก่อนจะกล่าวว่า ย่าหลิวชมว่าข้าเรียนรู้ได้เร็ว อีกสองวันข้าก็สามารถใช้เครื่องทอได้แล้ว !
ดี ! รอให้เจ้าเรียนรู้ได้แล้วข้าจะซื้อเครื่องทอผ้าให้เจ้าหนึ่งตัว จากนี้เสื้อผ้าและผ้าห่มที่นอนทั้งหมดให้เป็นหน้าที่เจ้าแล้วกัน ! ขณะที่หลินเว่ยเว่ยกล่าว บะหมี่เย็นชามที่สองก็ลงท้องไปเรียบร้อยแล้ว
นางวางชามบะหมี่ลงแล้วลูบท้องอย่างพอใจ คนที่ทำท่าทางเหมือนกับนางยังมีเจียงโม่หานด้วย ทุกครั้งที่ทานข้าวของบ้านตระกูลหลิน เขามักไม่ทันได้ระวังจึงทำให้ทานจนอิ่มพุงกางเสมอ
ปากสวย ๆ ของบัณฑิตหนุ่มถูกความเผ็ดทำให้กลายเป็นสีแดงไปหมด ทำให้สีหน้าของเขาดูดีขึ้นไปอีกโดยเฉพาะความอ่อนเพลียและความเกียจคร้านที่แสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ผู้คนละสายตาไปจากเขาไม่ได้เลย แม้แต่หลินเว่ยเว่ยก็จ้องปากของเขาอย่างเต็มที่ ไม่มีการสำรวมท่าทีแม้แต่น้อย !
แม้เจียงโม่หานจะเป็นคนที่ผ่านมาสองชาติแล้วก็ยังไม่เคยเห็นสตรีไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน บัณฑิตหนุ่มอายจนโกรธและสะบัดหน้าใส่หลินเว่ยเว่ยด้วยความขุ่นเคือง เด็กอ้วน ผละสายตาของเจ้าออกไปเสีย !
สายตาของหลินเว่ยเว่ยไม่เพียงไม่ผละจากไป แต่นางยังขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการได้มองคนหน้าตาดีมาก ๆ จะทำให้มีชีวิตยืนนาน สุขภาพกายและจิตใจก็จะแข็งแรง ดังนั้นเพื่อให้พวกเรามีอายุยืนยาวเป็นร้อยปี เจ้าก็เสียสละใบหน้าของตนให้ผู้อื่นมองสักหน่อยจะเป็นไรไป !
เหลวไหล ! เจียงโม่หานมีชีวิตมาสองชาติแล้วยังไม่เคยได้ยินเช่นนี้มาก่อน เขาจึงคิดว่านางกำลังล้อเล่น เขาจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหน้าหนีทันที !
เด็กคนนี้ ดูเหมือนว่าไม่มีความอ่อนโยนและความอ่อนน้อมถ่อมตนของสตรีอยู่เลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงระเบียบกฎเกณฑ์มารยาท ดูเหมือน…ไม่เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
แท้จริงแล้วนางเป็นคนเช่นไรกันแน่จึงโตมาเป็นสตรีเช่นนี้ได้ ? ชาติก่อนหากมีสตรีที่มีความมั่นใจกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้อยู่จริงก็คาดว่าการไม่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่จะเป็นเรื่องยาก หรือในร่างนางจะเป็นวิญญาณของหญิงสาวจากเผ่าอี๋ของซีหนาน ?
ไม่ใช่หรอก ! นางรู้จักการทำอาหารของที่ราบตอนกลาง คำพูดคำจาก็เผยให้เห็นถึงความรู้ที่กว้างขวางอย่างเป็นธรรมชาติ หรือนางจะเปลี่ยนบุคลิกของตนได้ ?
นางหวงไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดดี นางคิดว่าเพราะความสะเพร่าของตนทำให้บุตรสาวคนรองไม่ได้ตระหนักเรื่องความแตกต่างระหว่างชายหญิง ตอนนี้บุตรีเพิ่งได้กลับมาเป็นปกติ สมองก็เหมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง เมื่อคิดเช่นไรก็กล่าวไปเช่นนั้นซึ่งนางต้องอบรมบุตรสาวให้ดีกว่านี้แล้ว