หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 572 โปรดอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก ตกลงไหม ?
- Home
- หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง
- ตอนที่ 572 โปรดอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก ตกลงไหม ?
ตอนที่ 572 โปรดอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก ตกลงไหม ?
หมินอ๋องแค่นสุรเสียง เฮอะ “ถือว่ายังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง ! รู้จักปกป้องคู่หมั้นตัวเอง ! ”
สิ่งใดเรียกว่าเขายังพอเป็นลูกผู้ชาย ? เดิมทีเขาก็เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ? แต่เขาแค่มีรูปโฉมงดงามก็เท่านั้น ? แล้วเหตุใดถึงไปขัดหูขัดตาหมินอ๋องได้ ? โปรดอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก ตกลงไหม ?
“ฟู่หวาง เหตุใดพระองค์จึงไม่แยกแยะก็ลงมือกับคนอื่นแล้วเพคะ ? บัณฑิตน้อยไม่ใช่บุรุษแข็งกระด้างในกองทัพที่พระองค์จะลงมือด้วยได้ เขาเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ถ้าบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตขึ้นมาจะเป็นเรื่องดีอย่างไรเพคะ ? หรือพระองค์ประสงค์ให้บุตรสาวเป็นท่อนไม้เกลี้ยง1ตลอดชีวิต ? ” หลินเว่ยเว่ยโกรธมากและตัดสินใจว่าจะเพิกเฉยต่อหมินอ๋องเป็นเวลาสามวัน !
เจียงโม่หานเอ่ยเตือนนางเบา ๆ “สตรีไม่ออกเรือน ไม่ได้เรียกว่าท่อนไม้เกลี้ยง แต่เรียกว่ารอคนมาสู่ขอ…”
“เจ้าหุบปากไปเลย ! อย่าทำตัวเป็นผู้สร้างสันติ ! ฟู่หวาง หากลูกโมโหแล้ว ผลที่ตามมามักร้ายแรงเสมอเพคะ ! ช่วงสามวันนี้พระองค์ไม่ต้องมาสนทนากับลูก ห้ามเสวยขนมที่ลูกทำและไม่ให้เสวยอาหารที่ลูกทำด้วย ! นอกจากนี้ลูกจะไม่ทำงานสามวัน ไม่เรียนวิชาหอกกับพระองค์ ! ” หลินเว่ยเว่ยแค่นเสียงดัง ฮึ ก่อนจะหันหลังแล้วไม่มองดวงพักตร์หมินอ๋องอีก
หมินอ๋องยกพระหัตถ์ขึ้นกุมพระอุระพร้อมตรัสกับหลินเว่ยเว่ยว่า “หัวใจพ่อปวดร้าวเหลือเกิน ! พ่อรักเจ้าถึงขนาดนี้ แต่เจ้ากลับทำเพื่อชายอื่น ไม่สนใจพ่อถึงสามวัน ทะ…ทำให้พ่อเสียใจเกินไปแล้ว ! ”
“ลูกก็เสียใจเหมือนกันเพคะ ถ้าฝ่ามือนั้นไม่ได้บัณฑิตน้อยมาขวางเอาไว้ บุตรสาวสุดที่รักของพระองค์ก็คงลงไปนอนนิ่งกับพื้นแล้ว หน้าบวมเหมือนหมูและไม่แน่ว่าสมองอาจได้รับความกระทบกระเทือนด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยลูบแผ่นหลังของเจียงโม่หานเบา ๆ…เหมือนว่าตรงที่บัณฑิตน้อยโดนตีจะบวมขึ้นแล้ว !
“พ่อจะตีเจ้าลงได้หรือ ? ไม่ใช่เพราะจู่ ๆ เจ้าก็พุ่งเข้ามา พ่อเลยยั้งมือไว้ไม่ทัน…เอาเถิด พ่อเป็นฝ่ายผิดเอง พ่อไม่ดี ทำให้ลูกตกใจ เจ้าอภัยให้พ่อได้หรือไม่ ? ” เหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าบุตรสาวแล้ว กระดูกที่แกร่งดุจเหล็กของหมินอ๋องจะไม่ออกมาแสดงอำนาจเลยแม้แต่น้อย
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หาน ความหมายของนางก็คืออยากให้หมินอ๋องขอโทษบัณฑิตน้อย แต่เจียงโม่หานจับมือนางเอาไว้แล้วส่ายหน้าเบา ๆ…มีบิดาที่ไหนขอโทษบุตรชาย ? เดิมทีหมินอ๋องก็ไม่ชอบขี้หน้าเขาอยู่แล้ว ถ้าหลินเว่ยเว่ยพูดคำนี้ออกมา ต่อไปเส้นทางการครอบครองภรรยาของเขาก็จะห่างไกลออกไปมากกว่าเดิม…
“ถ้าเช่นนั้น…พระองค์ต้องรับปากลูกว่าต่อไปจะไม่บันดาลโทสะออกมาโดยไร้เหตุผลอีก ยิ่งห้ามทำตัวเหลวไหลเที่ยวระบายอารมณ์ใส่คนของพระองค์เอง ! ” พอหลินเว่ยเว่ยได้รับสัญญาณจากเจียงโม่หานแล้ว นางก็ล้มเลิกความคิด
หมินอ๋องแค่นสุรเสียง ฮึ ฮึ พร้อมหันไปถลึงดวงเนตรใส่เจียงโม่หาน…เจ้ายังกล้าจับมือบุตรสาวของเปิ่นหวางอีก ช่างโอหังเหลือเกิน ไม่สั่งสอนหน่อยก็คงไม่ได้แล้ว จากนั้นก็แค่นสุรเสียง ฮึ ฮึ ดังเดิม “เขาเป็นคนในบ้านของพ่อที่ไหนกัน ? ”
“เขาเป็นคู่หมั้นของลูก ก็นับว่าเป็นบุตรชายครึ่งหนึ่ง แล้วจะไม่ใช่คนบ้านเราได้หรือ ? ฟู่หวาง แม้แต่หลินจื่อเหยียนน้องชายของลูก พระองค์ยังยอมรับได้เลย เหตุใดถึงไม่ชอบขี้หน้าบัณฑิตน้อยเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยเผยท่าทางเหนื่อยหน่าย…ชาติก่อน พ่อลูกคู่นี้เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนหรือเปล่า ?
หมินอ๋องกัดพระทนต์ “ก็ไม่ทำไมหรอก แค่รู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรกับบุตรสาวของเปิ่นหวาง ! ”
“ฟู่หวาง ถ้าเช่นนั้นพระองค์คิดว่าต้องเป็นแบบไหนถึงจะคู่ควรกับลูก ? เป็นแม่ทัพที่มีผลงานโดดเด่นในกองทัพ ? เราทั้งสองเป็นคนเจ้าอารมณ์ทั้งคู่ ถ้าเกิดโมโหขึ้นมาจะไม่ประมือกันเองหรือ ? พระองค์จะไม่ปวดใจกับผู้ที่ภาคภูมิใจหรือเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยยกกำปั้นน้อย ๆ ขึ้นมา
หมินอ๋องครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “ที่จริง ในกองทัพก็มีนายทหารที่นิสัยไม่เลวอยู่สองสามนาย ! อายุพอ ๆ กับพี่ชายของเจ้า และได้เป็นถึงแม่ทัพขั้นสี่แล้ว…”
“อายุพอ ๆ กับท่านพี่ ? ลูกรังเกียจคนอายุมากกว่าเพคะ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อผู้โดนหางเลขไปด้วย “…” เขาอายุยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ แก่แล้วหรือไร ! เอาเถิด ถ้าเทียบกับน้องสาวและคู่หมั้นแล้ว เขาอายุมากกว่าหลายปีจริง ๆ เมื่อวานนี้น้องหญิงยังบอกว่าเขากับหมู่เฟยดูเหมือนพี่น้องกันด้วย ! หรือเขาควรจะดูแลตัวเองหน่อย ?
“ท่านพี่ ? เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้ ? ” หมินอ๋องซื่อจื่อสนิทกับบัณฑิตน้อยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด ? ถึงขั้นมาหาที่เรือนตามลำพัง ? เจียงโม่หานเผยท่าทางประมาณว่า ‘พวกข้าไม่ได้สนิทกัน…’
หมินอ๋องซื่อจื่อมองฟู่หวางที่กำลังโกรธจนควันออกหู เจียงโม่หานโดนน้องหญิงกดให้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ท้ายที่สุดสายตาก็หยุดอยู่ที่หลินเว่ยเว่ยซึ่งกำลังลูบหลังเจียงโม่หานอยู่…ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ดูสนิทกันราวกับทากาวไว้จริง ! อยู่ต่อหน้าฟู่หวางก็ยังกล้าทำตัวสนิทสนมกันถึงขนาดนี้ รู้แล้วว่าเหตุใดฟู่หวางจึงโมโหมาก !
เมื่อนึกถึงสองสามครั้งที่เขาได้เจอน้องสาวตอนอยู่ในภาคเหนือ นอกจากครั้งแรกที่องค์ชายเจ็ดซื้อแมวป่ามาแล้ว ก็เหมือนว่าครั้งอื่นจะมีเจียงโม่หานคอยตามน้องสาวอยู่ใกล้ ๆ เสมอ น้องสาวเป็นคนร่าเริงเหมือนไฟที่แผดเผา ส่วนเจียงโม่หานเหมือนก้อนน้ำแข็งโปร่งแสง คอยปกป้องดวงไฟอย่างทะนุถนอมและไฟก็ยังทำให้น้ำแข็งเปล่งประกายจนเจียงโม่หานเปลี่ยนเป็นคนอบอุ่นขึ้น…
“ข้าเพิ่งกลับจากวังหลวงเพราะได้ยินว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะเพิ่มโจทย์คณิตศาสตร์ลงในการสอบฮุ่ยซื่อครานี้ โม่หาน เจ้าเตรียมตัวไว้หน่อย…ถ้าอย่างไรให้คนช่วยเชิญอาจารย์ด้านตัวเลขมาสอนเจ้าดีหรือไม่ ? ” ที่แท้หมินอ๋องซื่อจื่อก็มาเพราะเรื่องนี้ !
หลังจากหลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกทันที…ถือว่ายังมีความเป็นพี่ชายอยู่บ้าง รู้จักวางแผนเพื่อน้องเขยในอนาคต
“ขอบพระคุณซื่อจื่อมากขอรับ แต่โม่หานมีอาจารย์ที่ถูกใจอยู่แล้ว” เจียงโม่หานมีแววตาอ่อนโยนทันที ชาติก่อนเขากับหมินอ๋องซื่อจื่อไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด รู้เพียงว่าคนผู้นี้สิ้นชีพตั้งแต่เยาว์วัย
ตอนที่เขาเข้ามาสอบขุนนางในเมืองหลวง ซื่อจื่อก็สิ้นลมไปแล้ว หมินหวางเฟยจากโลกใบนี้ไปด้วยและหมินอ๋องก็ไปสิ้นพระชนม์ในสนามรบที่ชายแดน ตำหนักหมินอ๋องถึงคราวตกอับ ท้ายที่สุดนกพิราบอย่างเฝิงชิวฟานก็ได้ครอบครองรังนกสี่เซวี่ยแทนและสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อไป ชาตินี้ชะตาชีวิตของคนจำนวนมากเปลี่ยนไปแล้ว เขาเชื่อว่าหากมีดาวนำโชคอย่างเว่ยเอ๋อร์อยู่ เจ้านายทุกท่านในตำหนักหมินอ๋องก็จะมีจุดจบที่ต่างออกไปแน่นอน…
หมินอ๋องขมวดพระขนงแล้วถามว่า “เจ้าเพิ่งมาเมืองหลวงได้เท่าไรก็เลือกอาจารย์ได้แล้วหรือ ? ใต้หล้านี้มีพวกเจ้าเล่ห์มากมาย เจ้าคงไม่ได้โดนคนอื่นหลอกเข้ากระมัง ! ”
เจียงโม่หานหยิบยกนักปราชญ์เซวียขึ้นมาเป็นโล่กำบัง “ตอนอยู่ที่ภาคเหนือมีโชคได้ผู้อาวุโสเซวียคอยชี้แนะ ตอนนี้ผู้อาวุโสเซวียก็เดินทางมาปักหลักที่ชานเมืองหลวงแล้ว…”
“ว่าอย่างไรนะ ? ผู้อาวุโสเซวียก็มาที่เมืองหลวงแล้ว ? ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าดีใจ…การได้พบสหายเก่าในต่างเมืองเทียบเท่ากับ ‘มีรายชื่อติดป้ายประกาศผลสอบขุนนาง’ และ ‘คืนส่งตัวเข้าหอ’ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่เรื่องมงคลเชียวล่ะ ! ในสภาพแวดล้อมที่การส่งข่าวและการสื่อสารล่าช้าของยุคโบราณเช่นนี้ การได้พบกับคนคุ้นเคยจากบ้านเกิด เดิมทีถือเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร แต่พอได้มาพบกันแบบนี้ก็เป็นอะไรที่น่าดีใจสุด ๆ ไปเลย !
“ผู้อาวุโสเซวีย ? ที่เจ้าพูดถึงคือนักปราชญ์เซวียหนึ่งในปราชญ์ผู้นำแห่งลัทธิขงจื๊อที่บ่มเพาะขุนนางตงฉินถึงยี่สิบกว่าคนให้ราชวงศ์ก่อนน่ะหรือ ? ” หมินอ๋องและหมินอ๋องซื่อจื่อหันมามองหน้ากัน ‘เป็นไปไม่ได้กระมัง ? ผู้อาวุโสเซวียไม่ได้หายตัวไปในสงครามนานหลายปีจนมีคนลือกันว่าท่านจากโลกนี้ไปแล้วหรือ ? ที่เจียงโม่หานไปเจอมาคงไม่ใช่พวกนักต้มตุ๋นหรอกกระมัง ? ’
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ! ” เจียงโม่หานพยักหน้าอย่างหนักแน่น จากนั้นก็หันมาพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “หลายวันก่อนข้ากับบัณฑิตสองสามคนไปชมหิมะที่ชานเมืองจึงบังเอิญพบกัน ผู้อาวุโสเซวียบอกให้ข้าอย่าเพิ่งเปิดเผยตัวตนของเขาและทิ้งที่อยู่ไว้ให้ ประเดี๋ยววันหลังจะพาเจ้าไปเยี่ยมคารวะ ! ”
“ผู้อาวุโสเซวียมีความรู้ด้านศาสตร์ของตัวเลข เจ้าขอคำชี้แนะจากเขาก็จะต้องได้ประโยชน์ใหญ่หลวงแน่นอน ! ” หมินอ๋องส่งสายพระเนตรให้บุตรชาย…ประเดี๋ยวส่งคนไปสืบเรื่อง ‘ผู้อาวุโสเซวีย’ คนนี้ แล้วจะได้เปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงของมัน ! กล้าหลอกลวงบุตรเขยตำหนักหมินอ๋อง ถือว่าใจกล้าใช้ได้ !
[i]
1 ท่อนไม้เกลี้ยง เป็นแสลงของคำว่า คนโสด