หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 630 เจ้าเกลียดข้า ข้าก็ไม่ชอบเจ้า
ตอนที่ 630 เจ้าเกลียดข้า ข้าก็ไม่ชอบเจ้า
“เรื่องที่เห็นได้ถมไป ? ที่แท้เจ้าก็คิดกับข้าแบบนี้มาโดยตลอด ? ” พี่สาวคนโตมีดวงตาแดงก่ำ “ใช่ ข้าเห็นเจ้าตามมา จึงจงใจทิ้งเจ้าไว้ แต่ข้าก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะวิ่งไปกระโดดหน้าผาแล้วตกไปในแม่น้ำ…ข้าอยากโยนตัวภาระอย่างเจ้าทิ้งจริง ๆ แต่ก็แค่คิด หรือเจ้าคิดว่าที่ตกหน้าผาไปนั้น เป็นแผนที่ข้าวางไว้จริง ๆ ? ”
หลินเว่ยเว่ยจ้องนางแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น แม้เจ้าจะเห็นแก่ตัวไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวจนถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าข้าคิดว่าเจ้าเคยอยากเอาชีวิตจริง ๆ ข้าจะช่วยเจ้าเลี้ยงหนอนไหมและสร้างโรงงานทอผ้าขึ้นมาหรือ ? ข้าก็แค่อยากฟังความในใจจากปากเจ้าเท่านั้น ! ”
พี่สาวคนโตตอบกลับด้วยดวงตาแดงก่ำ “แม้ข้าจะสาปแช่งเจ้าหลายต่อหลายครั้งในใจ แต่ไม่เคยคิดทำเรื่องเอาชีวิตเจ้ามาก่อน ! เจ้า…อย่างไรก็ยังน่าเกลียดอยู่ดี ! ”
“เจ้าเกลียดข้า ข้าก็ไม่ชอบเจ้า ! รีบทำงาน อย่าอู้ ! ” หลินเว่ยเว่ยนำปลาที่วางบนเขียงไปจัดการให้เสร็จสรรพ นางเตรียมจะทำปลากระรอกทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน
นางหวงได้ยินเสียงดังมาจากครัว จึงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เกิดอะไรขึ้นอีก ? แค่ครู่เดียวก็ทะเลาะกันอีกแล้ว ! หม่อมฉันจะไปดูหน่อย…”
หมินหวางเฟยจับมือนางไว้ก่อน “เรื่องของเด็ก ๆ พวกเราเป็นผู้ใหญ่อย่าเข้าไปยุ่งเลย เจ้าก็เคยพูดไว้ว่าพี่น้องสองคนทะเลาะกันมานานหลายปี แต่ก็ยังไม่เห็นกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกนางใช่หรือไม่ ? ถ้าเจ้าเข้าไปแล้วไม่ว่าจะพูดเข้าข้างใคร อีกฝ่ายก็รู้สึกว่าเจ้าลำเอียง พอนานวันเข้าแล้ว ความแค้นในใจของพี่น้องทั้งสองก็จะยิ่งมากกว่าเดิม น้องสาว ถ้าไม่แสร้งโง่หรือไม่ทำหูหนวกบ้างก็ไม่เรียกว่าคนในครอบครัวหรอก”
หลังจากเจียงโม่หานและพวกหลินเว่ยเว่ยพักกันที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวได้ 5 วันแล้วก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลิวเอ้อร์ล่ายลากตัวหลิวว่ายจื่อไปด้านข้างแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “พี่ว่ายจื่อ ตอนนี้ท่านเป็นผู้ดูแลใหญ่ขององค์หญิงแล้ว ไม่ลากข้าไปด้วยคนหรือ ? ”
หลิวว่ายจื่อมองเขาแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าก็เป็นผู้ดูแลใต้บัญชาองค์หญิงไม่ใช่หรือ ? องค์หญิงตรัสแล้วว่าให้เจ้าซื้อที่ดินในเขตนี้เพิ่มอีกหน่อยแล้วทำเป็นศูนย์เพาะเมล็ดพันธุ์ขึ้นมา ต่อไปศูนย์เพาะเมล็ดนี้ก็ให้เจ้าดูแล แล้วยังมีร้านค้าที่เขตอวี้อันก็ให้เจ้าเป็นคนเก็บค่าเช่า ส่วนเงินเดือนของเจ้าก็ได้เท่าข้า ! ตั้งใจทำงานให้ดี ติดตามองค์หญิงแล้วอนาคตสดใสแน่นอน ! ”
หลิวเอ้อร์ล่ายรู้สถานะและอำนาจในการดูแลศูนย์เพาะเมล็ดพันธุ์ แค่ดูหลิวว่ายจื่อในเวลานี้ก็ทราบแล้ว จะเดินไปไหนก็มีแต่คนเข้าหา หากเขาได้ดูแลศูนย์เพาะเมล็ดพันธุ์ของภาคเหนือก็ดูมีเกียรติและศักดิ์ศรีเหมือนกันไม่ใช่หรือ ?
หลิวว่ายจื่อกลัวเขาจะดีใจจนลืมตัว จึงรีบเตือนสติ “เจ้าไม่ค่อยได้ใกล้ชิดองค์หญิงน้อย จึงอาจไม่รู้ว่านางเป็นคนอย่างไร ถ้าเจ้าภักดี นางไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน แต่ถ้าเจ้ามีความคิดในทางที่ไม่ควร ทำเรื่องฉ้อฉลขึ้นมา…เจ้าต้องคิดให้ดี นั่นคือองค์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง แค่ขยับโอษฐ์ก็เอาชีวิตเจ้าได้แล้ว ! ”
หัวใจที่กำลังพองโตของหลิวเอ้อร์ล่ายเหมือนโดนคนราดน้ำเย็นใส่ในวันที่อากาศหนาวจัด เขาได้สติขึ้นมาทันทีจึงรีบพูดว่า “วางใจได้พี่ว่ายจื่อ ข้าไม่มีทางทรยศความไว้วางใจที่องค์หญิงมีต่อข้าแน่นอน ! ”
หลิวว่ายจื่อตบบ่าเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เจ้านึกถึงเมื่อก่อนเข้าไว้ เรามีชีวิตอย่างไรแล้วดูตอนนี้…เอ้อร์ล่าย เจ้าห้ามเลอะเลือนเด็ดขาด ! ”
“ขอรับ ไม่มีทางแน่นอน ! ” หลิวเอ้อร์ล่ายพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น แสดงให้เห็นความภักดีที่มี
“เจ้าไปดูยังที่ว่าการเขตว่ามีประกาศขายที่ดินผืนใหญ่หรือไม่ ดีที่สุดเอาที่ติดกัน ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็จ้างคนแผ้วถางแล้วถึงเวลานั้นค่อยใช้เมล็ดข้าวโพดให้ผลผลิตสูงจ่ายค่าแรง” หลิวว่ายจื่อฝึกฝนอยู่ข้างกายหลินเว่ยเว่ยที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือถึง 3 ปี จึงเป็นธรรมดาที่จะทำอะไรได้เอง
ต่อจากนั้นหนึ่งเดือนกว่า ๆ ในที่สุดหลินเว่ยเว่ยก็ได้เหยียบผืนดินของเมืองหลวง หมินอ๋องพาพระชายากลับตำหนักหมินอ๋อง นางหวงและบุตรชายทั้งสองกลับจวนพร้อมแม่ทัพหลิน ส่วนนางเฝิงพาบุตรชายและลูกสะใภ้ผลักประตูเข้าไปใน ‘เรือนสกุลเจียง’
ในเรือนมีพวกบ่าวรับใช้คอยดูแลจึงเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อนที่พวกนางจะจากไป หลินเว่ยเว่ยสูดกลิ่นหอมของดอกกุหลาบอันหอมหวนเข้าปอดลึก ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน ! ”
นางเฝิงก็รู้สึกแบบเดียวกัน “ใช่ แม้จะอยู่ในที่ว่าการอำเภอหนิงซีมาสามปี แต่ก็ไม่เหมือนอยู่บ้านหลังนี้ซึ่งเคยพักแค่ไม่กี่เดือน มีความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านอย่างแท้จริง ! ”
มือข้างหนึ่งของหลินเว่ยเว่ยจับมือนางเฝิงไว้ ส่วนอีกข้างควงแขนสามี “สำหรับข้าแล้ว ไม่ว่าพวกท่านจะไปอยู่ที่ใด ที่นั่นก็เป็นบ้านสำหรับข้าเสมอ ! พวกเราเป็นครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว ! บัณฑิตน้อย คราวนี้เจ้าลองหาตำแหน่งว่าง ๆ แถบภาคใต้ดูสิ ข้าโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยไปทางใต้สักครั้ง ! พวกเราไปชมทิวทัศน์อันงดงามของเมืองแห่งสายน้ำแดนใต้ด้วยกันเถิด ! ”
“จะได้อยู่เมืองหลวงหรือไปที่ใด พวกเราเป็นคนตัดสินใจได้หรือ ! ” เจียงโม่หานมีลางสังหรณ์ว่าฮ่องเต้จะต้องไม่ให้เขาออกจากเมืองหลวง ส่วนจะให้ครองตำแหน่งอะไรนั้นก็เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลย !
คนอื่นพอกลับเมืองหลวงแล้วต้องรอเป็นเดือนหรือแม้แต่ครึ่งปีถึงจะได้ตำแหน่งที่เหมาะสม แต่เจียงโม่หานเพิ่งมาถึงเมืองหลวงได้สองวันก็ถูกเรียกเข้าวัง และคนที่ถูกเรียกไปพร้อมเขายังมีหลินเว่ยเว่ยซึ่งเป็นฝูเหรินนั่นเอง
ณ ห้องทรงพระอักษร นอกจากฮ่องเต้หยวนชิงก็ยังมีองค์รัชทายาทด้วย ขณะทอดพระเนตรเจียงโม่หานแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงก็แย้มพระสรวลออกมาดังลั่น “เจิ้นมองคนไม่ผิดจริง ๆ ! ใต้เท้าเจียงเป็นขุนนางมากความสามารถที่หาตัวจับได้ยาก ! ภาพเขื่อนกั้นน้ำที่เจ้าส่งมากับความคิดสร้างประตูระบายน้ำท่วมนั้น เจิ้นสั่งให้คนไปลองทำที่แดนใต้แล้วก็ประสบความสำเร็จในขั้นต้น ! เมื่อมีเขื่อนกั้นน้ำและประตูระบายน้ำแล้ว เราก็จะช่วยลดภัยน้ำท่วมได้มาก ไม่อย่างนั้นชาวบ้านได้เดือดร้อนกันถ้วนหน้าแน่นอน ! ”
เจียงโม่หานรีบพูด “ขอบพระทัยในคำชมของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องเขื่อนกั้นน้ำกับประตูระบายน้ำนี้ไม่ใช่ผลงานของกระหม่อมคนเดียว ภรรยาของกระหม่อมก็มีส่วนด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจิ้นทราบแล้ว ในฎีกาของเจ้าก็ไม่ได้เขียนไว้แล้วหรือ ? ได้แรงบันดาลใจมาจากอ่างเก็บน้ำของเสี่ยวเว่ย ? เจิ้นเคยพูดไว้แล้วว่าเสี่ยวเว่ยเป็นดาวนำโชคของเจิ้น แต่เจ้าก็เป็นขุนนางที่สร้างคุณประโยชน์ให้ต้าเซี่ย ! จริงสิ ได้ยินแม่ทัพเฉาบอกว่าภาพหน้าไม้นั้นก็เป็นเจ้าวาด ? ” สายพระเนตรของฮ่องเต้หยวนชิงที่มีต่อเจียงโม่หานนั้นเหมือนคนที่มองเนื้อก้อนโตด้วยความกระหาย…แค่ก แค่ก เจิ้นแค่กระหายในความสามารถของเขาเท่านั้น !
เจียงโม่หานนำตำราเก่า ๆ และขาดที่พกติดตัวออกมาวางบนโต๊ะ “กระหม่อมแค่เห็นคำบรรยายเกี่ยวกับคันธนูและหน้าไม้ในตำราเล่มนี้โดยบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่าเวลากระหม่อมว่างงานจะชอบทำของเล็ก ๆ น้อย ๆ คิดไม่ถึงว่าพอทำออกมาแล้วจะใช้เป็นอาวุธสังหารที่ร้ายกาจได้ ประจวบเหมาะกับที่กระหม่อมกำลังร่วมปราบโจรกับแม่ทัพเฉาพอดี จึงยกภาพวาดแผ่นนั้นให้เขาพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้หยวนชิงยังชี้ไปที่คันไถล้อคู่บนพื้นของห้องทรงพระอักษรด้วย “ได้ยินว่าหากใช้สิ่งนี้ไถพรวนดิน ความเร็วจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและยังไถดินได้ลึกด้วยใช่หรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้…เป็นเพราะหม่อมฉันบ่นว่าคันไถธรรมดาทำงานช้าเกินไป กลัวจะทำให้เลยเวลาเพาะปลูก จึงไปออดอ้อนบัณฑิตน้อยให้ทำคันไถล้อคู่ให้หม่อมฉัน ถึงแม้เจ้านี่จะดี แต่ต้องมีสัตว์ทุ่นแรงคอยช่วย ดังนั้นสำหรับพวกราษฎรแล้ว มันไม่ค่อยใช้ประโยชน์ได้จริงสักเท่าไรเพคะ ! ” ในเวลานี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีเงินซื้อสัตว์ทุ่นแรงจึงได้แต่ใช้คนลากคันไถ เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว คันไถล้อคู่ก็โดนลดประสิทธิภาพในการทำงานลงทันที !