หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 642 สักขีพยานแห่งช่วงเวลาปาฏิหาริย์
ตอนที่ 642 สักขีพยานแห่งช่วงเวลาปาฏิหาริย์
ธัญพืชที่ถูกเก็บเกี่ยวเป็นชนิดแรกคือข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิ คนที่มาเกี่ยวข้าวสาลีคือกลุ่มทหารจากค่ายที่ชานเมืองหลวง เมื่อเทียบกับราชองครักษ์แล้ว ส่วนใหญ่ทหารที่ชานเมืองจะมีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน หลังฝึกเสร็จแล้วหมินอ๋องก็พามาเกี่ยวข้าวที่ไร่และแน่นอนว่าได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้แล้ว
ไร่หลายร้อยหมู่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่ แต่เมื่อมีทหารนับร้อยนายร่วมกันเกี่ยวข้าวก็ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน เช้าวันต่อมาก็เปลี่ยนทหารชุดใหม่มาช่วยเกี่ยวข้าวขาว
“ไอโหยว ในนามีปลามากมาย แถมยังตัวใหญ่ไม่น้อย อ้วนเชียว ! ” นายทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งเห็นปลาขนาดครึ่งชั่งว่ายผ่านเท้าไปหลังเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้ว เขาจึงวางเคียวในมือลงเพราะคิดจะหันไปจับปลาแทน
ขันทีฝูหรงมองเขาด้วยสีหน้าเหมือนมองกบในกะลา “นี่เป็นวิธีเลี้ยงปลาในนาข้าวที่องค์หญิงเว่ยเว่ยทดลอง เจ้าเลิกทำเป็นตื่นเต้นได้แล้ว ปลาพวกนี้ต้องเลี้ยงไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ดังนั้นระวังกันหน่อย อย่าทำให้พวกมันตายเชียวล่ะ ! แล้วข้าจะย้ำอีกรอบว่าเหลือลำต้นข้าวเอาไว้หน่อย องค์หญิงกำชับมาเป็นพิเศษ ! ”
ลูกปลาที่ปล่อยไว้ในนาข้าวมีแค่ครึ่งเดียวของพื้นที่เท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ชัดเจนมาก คือทุ่งนาที่มีปลาเติบโตดีกว่าจะมีแมลงน้อย ข้าวก็เติบโตสวยกว่า ส่วนปริมาณมากกว่ากันหรือไม่ ต้องรอให้นวดข้าวและชั่งออกมาก่อนถึงจะรู้
ช่วงสองสามวันที่เก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูใบไม้ร่วง อากาศดีเป็นพิเศษ ข้าวสาลีและข้าวขาวใช้เวลาตากสองวัน นวดข้าว ใส่กระสอบ ขนเข้ายุ้งฉาง…เครื่องมือนวดข้าวของยุคสมัยนี้ล้าหลังมาก หลินเว่ยเว่ยจึงครุ่นคิดว่าวันใดที่สามีว่างแล้วนางจะไปคุยกับเขา ดูว่าพอจะสร้างเครื่องมือที่มีประโยชน์ออกมาได้หรือไม่
“ข้าวสาลีได้ผลผลิตหมู่ละ 400 ชั่ง ? น้องเว่ยเว่ย เจ้าเป็นดาวนำโชคของต้าเซี่ยอย่างแท้จริง ไม่เพียงสร้างเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้ผลผลิตสูงออกมา แม้แต่ปริมาณของข้าวสาลีก็เพิ่มเป็นเท่าตัว ! ” องค์รัชทายาทปลื้มปีติสุด ๆ “เปิ่นหวางจะนำข่าวดีนี้ไปทูลฟู่หวง ! ”
ขณะมองแผ่นหลังบนหลังอาชาขององค์รัชทายาท หลินเว่ยเว่ยก็ลูบปลายคางของตนพลางบ่นพึมพำว่า “หากข้าจำไม่ผิด เดือนประสูติขององค์รัชทายาทน่าจะช้ากว่าข้า ? คำเรียก ‘น้อง’ ของพระองค์นี้กำลังผิดลำดับขั้นหรือเปล่า ? ”
พอคำนวณให้ละเอียดแล้ว บัณฑิตน้อยเกิดก่อนองค์รัชทายาทหนึ่งเดือน ตอนนี้แค่ยึดตามฐานะของบัณฑิตน้อยแล้วองค์รัชทายาทควรจะเรียกนางว่า ‘พี่’ ถึงจะถูก ! หรือว่าที่นางจัดงานวันเกิดในเดือนสิบสองของทุกปีจะทำให้องค์รัชทายาทเข้าพระทัยผิด คิดว่าพระองค์แก่กว่านาง ?
ขันทีฝูหรงถอยหลังออกไป ‘มีคนมากมายที่อยากเป็นน้องสาวขององค์รัชทายาท องค์หญิงเว่ยเว่ยอย่าสนเรื่องเดือนอะไรนั่นเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ’
เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ทูลองค์หญิง นาข้าวที่เลี้ยงปลาเอาไว้ได้ปริมาณของข้าวมากกว่าข้าวขาวในนาปกติตั้ง 30-50 ชั่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ตั้งแต่ชานเมืองหลวงไปจนถึงภาคเหนือ เกษตรกรมักจะปลูกข้าวสาลี ข้าวฟ่างและถั่วเหลืองเป็นหลัก ข้าวขาวแทบไม่มีใครปลูก ความพยายามในการปลูกข้าวขาวครั้งแรกของหลินเว่ยเว่ยจึงประสบความสำเร็จ ผลผลิตข้าวขาวพุ่งขึ้นไปถึง 400 ชั่งต่อหมู่ แม้จะห่างจากเป้าหมายที่หลินเว่ยเว่ยตั้งไว้มาก แต่สร้างความหมายให้ยุคสมัยนี้ได้ อย่างน้อยก็ช่วยพิสูจน์ว่าแม้จะอยู่ในภาคเหนือก็สามารถปลูกข้าวขาวได้เช่นกัน
ในภาคเหนือฝนตกน้อย ดังนั้นการปลูกข้าวขาวจึงต้องเลือกสถานที่ใกล้แหล่งน้ำเข้าไว้ บางทีอาจเป็นสาเหตุที่คนภาคเหนือทดลองปลูกข้าวขาวกันน้อยกระมัง ? หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด บางทีนางอาจปรับปรุงพันธุ์ข้าวขาวที่ทนแล้งขึ้นมาได้ เพราะแบบนั้นจะเหมาะกับสภาพอากาศและภูมิประเทศของภาคเหนือมากกว่า
ค่อย ๆ ทำก็แล้วกัน ! ข้าวยังต้องกินทีละคำ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะวิจัยเรื่องนี้ไปทั้งชีวิตอยู่แล้ว ชาติก่อนแม้จะตกอยู่ในฐานะคนยากจนที่ไม่มีอะไรเลย ปู่หยวนก็ยังปรับปรุงข้าวพันธุ์ผสมขึ้นมาได้ ดังนั้นไม่มีทางที่บัณฑิตดีเด่นของมหาวิทยาลัยเกษตรจีนอย่างนางจะทำไม่ได้ ! ยิ่งไปกว่านั้นคือนางยังมีอาวุธสุดโกงอย่างมิติน้ำพุวิญญาณ !
“ผลผลิตข้าวสาลีและข้าวขาวในปีหน้าจะต้องเพิ่มถึง 500 ชั่ง ! ” หลินเว่ยเว่ยบ่นพึมพำกับตัวเอง
ขันทีฝูหรงตาโตทันที…ตอนนี้ผลผลิตข้าวสาลีและข้าวขาวก็มากกว่าปกติเป็นเท่าตัวแล้ว แต่นางยังไม่พอใจ ? ก็จริง ! ความทะเยอทะยานขององค์หญิงเว่ยเว่ยไม่ใช่สิ่งที่บ่าวอย่างตนจะเข้าใจได้ ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่เขาพอจะทำได้คือเชื่อฟังคำสั่งเจ้านาย หรือบางทีเขาอาจจะได้เป็นสักขีพยานแห่งช่วงเวลาปาฏิหาริย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต !
“องค์หญิง เหตุใดจึงเก็บลำต้นของข้าวขาวพวกนี้ไว้ ? จะนำไปใช้ทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” ขันทีฝูหรงสงสัยในเรื่องนี้มาก เขาอยากถามนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสมาโดยตลอด
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะสภาพอากาศของภาคเหนือไม่มีข้าว 2 ฤดู แต่มีอีกอย่างที่เรียกว่า ‘ข้าวงอกใหม่’ ไม่ทราบว่าฝูหรงกงกงเคยได้ยินหรือเปล่า ? ”
ขันทีฝูหรงหันมามองหน้าผู้ดูแลฉู ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกัน “ข้าวงอกใหม่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ? กระหม่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน ! ”
“ข้าเห็นมันจากหนังสือเน่า ๆ เล่มหนึ่งของบัณฑิตน้อย ด้านในพูดถึงข้าวงอกใหม่ ก็คือการเก็บต้นข้าวไว้หนึ่งส่วนสามแล้วเพิ่มปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม เติมน้ำเข้านา พรวนดิน กำจัดวัชพืชแล้วอีกประมาณ 2 เดือนก็จะได้เกี่ยวข้าวงอกใหม่อีกรอบ แต่ว่าผลผลิตที่ได้จะน้อยกว่าครั้งแรกมาก…” หลินเว่ยเว่ยหยิบโล่กำบังอย่างเจียงโม่หานขึ้นมาใช้อย่างชำนาญ
ผู้ดูแลฉูดีใจผิดปกติ เขาพูดต่อทันที “ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็เยี่ยมไปเลยขอรับ ! แม้ผลผลิตจะน้อย แต่ก็ไม่เสียเปล่า ข้าวขาวเก็บเกี่ยวได้สองครั้ง จะหาเรื่องดี ๆ แบบนี้ได้จากที่ใดอีก ? นายหญิง ปีหน้าไร่ของเราปลูกข้าวขาวให้มากหน่อยดีหรือไม่ขอรับ ? ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ดี ! เราจะได้พิสูจน์ว่าชานเมืองหลวงสามารถปลูกข้าวขาวได้ ปีหน้าปลูกข้าวขาวมากหน่อย ข้าจะได้วิจัยเรื่องข้าวพันธุ์ผสมให้ละเอียด ! ”
“ข้าวพันธุ์ผสม ? คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ? เป็นข้าวขาวพันธุ์ใหม่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” ขันทีฝูหรงและผู้ดูแลฉูมองหลินเว่ยเว่ยด้วยแววตางุนงง พวกเขาเชื่อมั่นในตัวองค์หญิงเว่ยเว่ยอย่างมาก…ขอแค่นางคิดจะทำ ไม่มีพืชชนิดใดที่นางปลูกขึ้นมาไม่ได้ !
หลินเว่ยเว่ยไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงพูดว่า “เป็นข้าวขาวที่ให้ผลผลิตสูงพันธุ์หนึ่ง ผลผลิตต่อหมู่จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว…”
“โอ้…” ทั้งสองคนสูดหายใจเข้าลึก ผลผลิต 400 ชั่งก็ถือว่าสูงแล้ว ถ้าเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว…ราวกับพวกเขาได้เห็นภาพราษฎรได้กินข้าวสีขาวนวลและมีชีวิตเปี่ยมสุขด้วยหมั่นโถวแป้งขาว ๆ ทุกมื้อ !
องค์รัชทายาทได้นำทุกสิ่งที่ได้เห็นในไร่ไปทูลต่อฮ่องเต้หยวนชิงแล้ว “…บนเขาเป็นสวนผลไม้ แม้จะปลูกได้ไม่นานจึงไม่มีผลไม้ให้เห็น แต่ 2-3 ปีต่อจากนี้จะต้องมีกลิ่นผลไม้หอมตลบอบอวลแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ใต้ต้นไม้มีฝูงไก่ฝูงเป็ดอยู่ ปลาในบ่อก็ตัวโตขึ้นพอสมควรแล้ว แถมยังไม่ตื่นคนแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำให้เอ๋อร์เฉินประหลาดใจที่สุดก็คือปลาตัวโตในทุ่งนามีความอวบอ้วนยิ่งกว่าในบ่อเสียอีก
นอกจากนี้ วัวเทียมคันไถตัวแล้วตัวเล่าเดินเต็มไร่ไปหมด ได้ยินว่าวัวในไร่มีให้ใช้งานจนเหลือเฟือ ยังสามารถนำไปปล่อยเช่าให้ราษฎรที่อยู่บริเวณนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ข้าวสาลีมีเม็ดอวบอ้วนจนรวงข้าวโค้งลงสู่พื้น…ฟู่หวงลองเดาว่าผลผลิตของข้าวสาลีและข้าวขาวอยู่ที่เท่าใดต่อหนึ่งหมู่สิพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ข้าวสาลี…น่าจะประมาณ 300 ชั่งกระมัง ? ส่วนข้าวขาว…ปลูกปีแรกถ้าได้ 200 ชั่งก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงดำริเรื่องการปลูกข้าวสาลีในภาคเหนือ ดังนั้นตัวเลขหมู่ละ 300 ชั่งในเมืองหลวงก็ย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะลดลงไปกว่านี้…
องค์รัชทายาทถูฝ่าพระหัตถ์ด้วยความยินดี “ได้ 400 ชั่งพ่ะย่ะค่ะ ! ฟู่หวง ปริมาณข้าวสาลีและข้าวขาวที่ได้ต่างขึ้นไปถึง 400 ชั่ง ! เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีที่น้องเว่ยเว่ยเก็บไว้ตั้งแต่ตอนอยู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านั้นยังขึ้นไปถึง 500 ชั่งต่อหมู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ! ”