หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 76 ข้าไม่ใช่คนป่วยที่งดงาม
ตอนที่ 76 ข้าไม่ใช่คนป่วยที่งดงาม
เมื่อออกจากสำนักศึกษามาแล้ว เจียงโม่หานก็รู้สึกราวกับว่าได้ปลดเปลื้องพันธนาการในใจออก เขารู้สึกสบายใจเพราะด้วยคำพูดเหล่านี้ของตนและด้วยนิสัยของอาจารย์ย่อมไม่ไปเกี่ยวข้องกับการสอบเหยี่ยนซื่ออีกแน่ ดังนั้นความไม่เป็นธรรมในชาติก่อนคงจะไม่เกิดขึ้นอีก
ไปเจอเรื่องน่ายินดีอันใดมา ให้ข้าร่วมยินดีได้หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยหิ้วไก่สองตัวมาเจอเขาที่ประตูเข้าเมือง
เจียงโม่หานไม่ได้ตอบคำถามแต่ย้อนถามนางอย่างอารมณ์ดีว่า ซื้อเนื้อมามากมายเช่นนี้ ประเดี๋ยวป้าหวงเห็นเข้าก็หาว่าเจ้าสุรุ่ยสุร่ายอีก !
ของที่ทานเข้าปากจะสิ้นเปลืองได้เช่นไร? ท่านแม่ น้าเฝิงแล้วยังมีเจ้าอีก แต่ละคนอ่อนแอราวกับน้องหลิน ดังนั้นข้าต้องทำของดีๆ ให้ทานเสียหน่อยสิ จะได้บำรุงพวกเจ้าอย่างไรเล่า! หลินเว่ยเว่ยแกว่งไก่ที่อยู่ในมือ ไก่ตัวผู้ ข้าจะเก็บไว้ทำกระเพาะหมูห่อไก่สำหรับเย็นนี้ ส่วนไก่น้อยตัวเมีย ข้าจะเลี้ยงไว้ในลานบ้านให้ออกไข่
น้องหลิน ? ผู้ใดกัน ? บ้านเจ้ายังมีน้องสาวอีกหรือ ? เจียงโม่หานถามอย่างสงสัย
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะสองสามครั้งแล้วกล่าวว่า หนึ่งในตัวละครพื้นบ้านที่เหมือนดอกไม้สะท้อนบนผิวน้ำและต้นหลิวที่ลู่ลม เป็นคนป่วยที่งดงามมาก…
เจียงโม่หานหรี่ตามองอีกฝ่ายราวกับต้องการกล่าวว่า ‘จะชมว่าข้างามก็ชมมาเถิด ถึงอย่างไรข้าก็โดนเจ้าชมจนชินแล้ว เหตุใดต้องเติมคำว่าป่วยเข้ามาด้วย ? ข้าแข็งแรงจะตาย ! ’
ตอนกลับมาถึงบ้าน หลินเว่ยเว่ยวางเงินไว้บนโต๊ะแล้วกล่าวกับนางเฝิงว่า น้าเฝิง ก่อนอื่นอย่าลืมคำที่ท่านเคยกล่าวก่อนหน้านี้ มาเถิด เรามาแบ่งรายได้กัน !
แบ่งรายได้อันใด ? เจ้านี่นะ ! พูดอันใดไม่ระวังปากเอาเสียเลย ! นางหวงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กพลางช่วยล้างทำความสะอาดและตรวจผลชิง
หลินเว่ยเว่ยแลบลิ้นใส่มารดาอย่างร่าเริงแล้วกล่าวว่า ผลชิงอบแห้ง 86 ชั่งที่เอาไป ราคาหนึ่งชั่งสูงถึง 350 อีแปะ ก็คือ…สามสิบกว่าตำลึง ข้าซื้อน้ำตาลสีแดงมาอีก 30 ชั่ง ใช้เงินไป 6 ตำลึง เหลือ 24 ตำลึง ดังนั้นเราแบ่งครึ่งกันบ้านละ 12 ตำลึงกับอีก 50 อีแปะ
รวมกับเงินเมื่อวานที่หาได้อีก 6 ตำลึง ทำให้สามารถแบ่งได้บ้านละ 15 ตำลึงเลยทีเดียว ! การทำธุรกิจผลไม้อบแห้งทำกำไรได้ดีมาก ! หลินเว่ยเว่ยเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยความโลภ
นางเฝิงไม่ได้รับเงินตำลึงที่อีกฝ่ายส่งมาแต่ยิ้มแล้วกล่าวว่า ในตอนแรกข้าบอกว่าผลชิงป่าเจ้าเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนน้ำตาลและวัตถุดิบอื่น ๆ คิดเป็นของข้า เมื่อหักต้นทุนของวัตถุดิบที่ใช้ไปแล้ว แม้แต่เงินของผลชิงก็หักไปตามราคาของท้องตลาดด้วยเถิด
นางหวงได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกล่าวว่า ผลชิงป่าก็เก็บมาจากภูเขา ใช้แรงแค่เล็กน้อยเท่านั้น จะมีต้นทุนได้เช่นไร ?
หลินเว่ยเว่ยยัดเงินใส่มือนางเฝิงแล้วกล่าวว่า ท่านแม่พูดถูก น้าเฝิงเป็นคนทำผลไม้อบแห้ง ต้องใช้แรงทุกวัน พวกเราต้องให้เงินค่าเปิดกิจการแก่ท่านใช่หรือไม่ ? เอาล่ะ อย่ามัวชักช้าเลย ข้าทนไม่ได้กับเรื่องนี้หรอก !
เงินนี้ข้าจะรับเอาไว้ก็ไม่สบายใจ ข้ารู้สึกราวกับว่ากำลังเอาเปรียบเจ้าอยู่ นางเฝิงรู้สึกว่าเงินนี้ช่างร้อนเหลือเกิน
น้าเฝิง หากท่านคิดว่าเอาเปรียบ ท่านก็ทำผลไม้อบแห้งให้อร่อยกว่าเดิมสิ ช่วยหาเงินแทนพวกเราให้มากขึ้น เช่นนี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ ? หลินเว่ยเว่ยส่งเงิน 15 ตำลึงให้นางหวงแล้วเก็บเงิน 50 อีแปะติดตัวไว้
นางหวงยัดเงินให้บุตรีเพิ่มอีก 2 ตำลึงแล้วกล่าวว่า เจ้าซื้อไก่กับกระเพาะหมูมาด้วยไม่ใช่หรือ ? ของเหล่านี้ไม่ใช้เงินหรืออย่างไร ?
ที่ข้ายังมีเงินอยู่เจ้าค่ะ ! หลินเว่ยเว่ยเขย่ากระเป๋าเงินใบเล็กที่นางเฝิงเย็บให้
พี่สาวคนโตนั่งหน้าบึ้งพลางเด็ดผักอยู่ข้าง ๆ ในใจก็บ่นว่า ‘นับวันท่านแม่ลำเอียงมากขึ้น น้องรองจะทำอันใดก็ไม่ว่า จะซื้อเนื้อหรือซื้อไก่เงินก็ไม่เคยขาดมือ มิหนำซ้ำยังให้เงินเพิ่มอีก ส่วนข้าน่ะหรือ กระเป๋าสะอาดกว่าหน้าเพราะไม่มีเงินสักอีแปะ…’
นางหวงยิ้มแล้วยัดเงินให้บุตรสาวคนรอง แม่ให้เจ้า เจ้าก็รับไว้เถิด ครั้งหน้าหากไปในเมืองอีกก็ซื้อผ้ามาตัดชุดสักชุดให้ตัวเอง เป็นเด็กผู้หญิงต้องแต่งตัวให้งดงามเข้าไว้ !
หลินเว่ยเว่ยไม่ได้ปฏิเสธ นางรับเงินเอาไว้ ซื้อเสื้อผ้าอันใดกันเล่า ลืมได้เลย อยู่ข้างนอกแต่งกายเช่นบุรุษสะดวกสบายยิ่งกว่า เงินที่ให้ไว้เหล่านี้สุดท้ายก็คงใช้เพื่อมารดาอยู่ดี
นางเฝิงก็นับเงิน 2 ตำลึง จากนั้นส่งให้หลินเว่ยเว่ยแล้วกล่าวว่า นี่คือค่าอาหารของข้ากับหานเอ๋อร์
นางหวงรีบดันเงินกลับ เงิน 2 ตำลึงนี้เพียงพอสำหรับให้พวกเราทานได้หนึ่งเดือนเลย เจ้าจะมาให้เงินมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ?
ตั้งแต่ทานข้าวร่วมกันที่บ้านพวกท่าน ในทุกวันเสี่ยวเว่ยไม่ทำเนื้อก็เป็นไก่ อาหารหลักก็ใช้แป้งอย่างดีและข้าวเป็นหลัก ตอนนี้ข้าวยากหมากแพงก็ไม่สมควรให้พวกท่านออกเงินอยู่ฝ่ายเดียวมิใช่หรือ ? เสี่ยวเว่ย หากเจ้าไม่รับไว้ ต่อไปนี้พวกข้าคงไม่มีหน้ามาทานข้าวอีกแน่ ! นางเฝิงรู้ดีว่าคนตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือหลินเว่ยเว่ย นางจึงบอกกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม
หลินเว่ยเว่ยจึงรับเงินไว้อย่างปฏิเสธไม่ได้ จากนั้นก็หันไปทางนางหวงที่ถลึงตามองอยู่ ท่านแม่เจ้าคะ เรารับเงินของน้าเฝิงไว้ 2 ตำลึง เช่นนั้นก็ทำอาหารตามมาตรฐานของเงิน 2 ตำลึงถึงจะถูกต้อง ไม่ควรมาเถียงเรื่องนี้ให้ดูเป็นคนอื่นคนไกลหรอก !
เสี่ยวเว่ยพูดถูก ! ข้าน่ะ ชอบนิสัยเช่นนี้ของนางเป็นอย่างยิ่ง ! น่าเสียดายที่ข้าไร้วาสนาได้มีลูกสาวที่รู้ใจและอบอุ่นเช่นนี้ นางเฝิงกอดหลินเว่ยเว่ยไว้แน่นแล้วขยี้เส้นผมอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู
น้าเฝิง น้าเฝิง ! เบามือด้วย ผมข้ายุ่งหมดแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยสูงกว่านางเฝิงอยู่ครึ่งศีรษะ ในตอนนี้นางก้มตัวลงตามส่วนสูงของนางเฝิง ไม่ต้องบอกเลยว่ามันลำบากมากเพียงใด
เวลานี้เจ้าหนูน้อยให้อาหารกระต่ายเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็วิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาแล้วถามด้วยใบหน้าตุ้ยนุ้ยว่า พี่รอง เย็นนี้เรากินอันใดหรือ ?
เด็กตะกละคนนี้คิดแต่เรื่องกิน หากทานเข้าไปอีกจะกลายเป็นเด็กอ้วนแล้วนะ ! หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มเด็กชายเบา ๆ
เจ้าหนูน้อยยกมือกุมใบหน้าด้วยความกลัว จากนั้นก็ทำหน้าราวกับจะร้องไห้แล้วกล่าวว่า เด็กอ้วนหรือ ? อ้วนเหมือนพี่รองเมื่อก่อนน่ะหรือ ? เช่นนั้น…เช่นนั้นต่อไปนี้ข้าจะกินให้น้อยลงหน่อยแล้วกัน
หมายความว่าอย่างไร ? ไม่ชอบพี่รองของเจ้าแล้วหรือ ? อย่างข้าไม่เรียกว่าอ้วนเพราะเรียกว่ากำยำ เข้าใจหรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยมองเด็กน้อยที่หน้ากลายเป็นก้อนแป้ง เจ้ากลัวอ้วนใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นกระเพาะหมูห่อไก่เย็นนี้ เจ้าก็อย่าทานเลย !
กระเพาะหมูห่อไก่หรือ ? เมื่อเจ้าหนูน้อยได้ยินชื่ออาหารแปลกใหม่ ดวงตาก็เป็นประกายแล้วกล่าวว่า พี่รอง กระเพาะหมูห่อไก่คือสิ่งใด ? อร่อยหรือไม่ ?
อร่อยสุด ๆ ไปเลย ! เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้ ? เพราะไม่มีส่วนของเจ้าหรอก ! หลินเว่ยเว่ยใช้เกลือและแป้งข้าวโพดล้างทำความสะอาดกระเพาะหมูแล้วจงใจแกล้งเด็กเห็นแก่กิน
ท่านพี่ ท่านพี่รอง ! ท่านไม่อ้วนเลยสักนิด จริง ๆ นะ ! เจ้าหนูน้อยกล่าวพร้อมทำท่าขอเหมือนลูกสุนัข
สายไปแล้ว ! จิตใจที่ยังเด็กและเปราะบางของข้าได้ถูกทำร้ายไปแล้ว ไม่มีทางชดเชยได้อีก ! หลินเว่ยเว่ยก้มหน้าพลางทำท่าทางเดียวดาย
เจ้าหนูน้อยทำตัวเหมือนลูกสุนัขเดินวนรอบนางแล้วพูดเซ้าซี้ว่า พี่รอง พี่รองดีที่สุด พี่รองที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง ผ่านโลกมามากไม่เหมือนข้าผู้น้อยคนนี้ พี่รองผู้ใจกว้างดั่งมหาสมุทร โปรดให้อภัยคำพูดที่พลาดพลั้งของน้องชายคนนี้ด้วยเถิด !
เจียงโม่หานนั่งถือตำราอยู่ใต้ต้นพลับพลางเกิดความรู้สึกไม่อยากมองพี่สาวกับน้องชายคู่นี้ ! คนหนึ่งก็แกล้งเด็ก อีกคนก็เห็นแก่กินชนิดไร้ขีดจำกัด ! สมแล้วที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน !
หลินเว่ยเว่ยต่อปากต่อคำกับเจ้าหนูน้อยไปพลางปรุงอาหารไปด้วย นางเริ่มมัดต้นหอม หั่นขิงเป็นแว่น จากนั้นก็นำพริก ต้นหอมที่มัดแล้วและขิงแว่นใส่เข้าในท้องของไก่ แล้วนำไก่ยัดเข้าไปในกระเพาะหมู ผูกปากกระเพาะด้วยเชือกให้เรียบร้อยแล้วใส่เข้าในหม้อ จากนั้นก็เติมไหวซาน1 พุทราแดง กุ้ยเหยียน2 เหล้าและน้ำลงไป นางใช้ไฟแรงประมาณ 1 เค่อ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นไฟอ่อน
1 ไหวซาน คือ กลอย
2 กุ้ยเหยียน คือ ลำไยอบแห้ง