หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง - ตอนที่ 98 เจ้าต่างหากคือผีซิว
หลินเว่ยเว่ยเดินออกมาจากร้านขายขนมของคุณชายหนิง จากนั้นนางก็เดินไปยังตรอกที่ห่างไกลไร้ผู้คนแล้วดึงหมูป่าครึ่งตัวออกมาและแบกมันไปยังหอจุ้ยเซียน
หลงจู๊หานชั่งน้ำหนักหมูป่าที่เหลืออยู่ครึ่งตัวพลางถามว่า “แล้วอีกครึ่งตัว…”
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านวางใจได้ ข้าไม่ขายให้ผู้อื่นแน่นอน ข้าแบ่งขายให้ชาวบ้านใกล้เคียงไปบางส่วน ที่เหลือก็แบ่งไว้กินในครอบครัว”
หลงจู๊หานนับเงินให้นางอย่างพอใจ หลังจากนั้นก็ตกลงกับนางว่าในภายหน้าหากนางล่าสัตว์ได้ต้องนำมาส่งให้หอจุ้ยเซียนก่อน ส่วนเรื่องราคาสามารถเจรจาต่อรองกันได้ รับรองว่านางไม่เสียเปรียบแน่นอน
ถ้าเป็นอดีต ในตอนที่หลินเว่ยเว่ยล่าสัตว์ป่ามาได้ก็จะนำมาแลกเงินที่เขตเริ่นอัน แต่ตอนนี้นางมีธุรกิจขายเนื้อแผ่นแล้ว ที่ต้องเพิ่มก็มีแค่เครื่องเทศและแรงงาน รับรองเลยว่าเงินที่ขายได้ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ดังนั้นการขายหมูป่าแบบสดจึงไม่ดึงดูดความสนใจของนางมากนัก
หลังออกจากหอจุ้ยเซียนแล้ว นางก็ไปยังร้านตีเหล็กเพื่อสั่งทำกระทะขนาดใหญ่พิเศษ 2 ใบและให้เงินเพิ่มอีก 100 อีแปะเพื่อให้ช่างตีเหล็กลัดคิวให้ สุดท้ายนางได้ตกลงกับช่างว่าจะมารับกระทะในอีกสองวัน
จากนั้นนางก็ไปที่ร้านขายยาและร้านขายสุรา นางได้ซื้อส่วนผสมสำหรับทำผงเครื่องเทศห้าชนิด เหล้าเหลือง1 ซอสปรุงรสและเครื่องปรุงอื่น ๆ อีกมากมายจนเต็มกระบุง
บนเกวียนที่นางนั่งกลับหมู่บ้าน มีชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันผู้หนึ่งชวนนางคุยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าซื้อสมุนไพรและเหล้าเหลืองมามากมายเช่นนี้ จะเอาไปทำอันใดหรือ ? ”
“ไม่ได้เอาไปใช้ทำอันใดหรอก ! ร่างกายของแม่ข้าอ่อนแอ ข้าตั้งใจว่าจะเอาของเหล่านี้ไปบำรุงร่างกายให้นาง ส่วนเหล้าเหลืองนี้ ข้าตั้งใจว่าจะเอาไปให้หมอเหลียงต้มเป็นเหล้ายาสำหรับไว้ดื่มเพื่อขจัดความหนาว เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก…” หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างคนมีปัญญา
ชาวบ้านคนนี้หูตาว่องไวจึงกล่าวว่า “ตลอดสองวันมานี้บ้านเจ้าทำของกินอันใดหรือ ? เหตุใดจึงมีกลิ่นหอมของเนื้อลอยมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นคนที่อยู่บนเกวียนต่างก็มองมาที่หลินเว่ยเว่ยเป็นตาเดียว ‘ได้กินเนื้อทุกวันเชียวหรือ ? เกินไปหน่อยหรือไม่ ? ’
“ในยุคที่ภัยแล้งมาเยือนเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้ากินเนื้อ ? คราที่แล้วข้าล่ากระต่ายมาได้ตัวหนึ่ง บ้านของข้ายังไม่กล้ากินจนต้องเอามันไปขายแลกเงินในเมืองเพื่อนำมาซื้ออาหาร พ่อบ้านตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในเมืองได้รับซื้อไปโดยบอกว่าคุณชายของพวกเขาชอบกินเนื้อกระต่ายมาก โอ้ จริงสิ เขายังบอกอีกว่าขอแค่ข้าสามารถล่าไก่ป่าหรือกระต่ายป่าได้ เขายินดีรับซื้อทั้งหมด” หลินเว่ยเว่ยถนัดในการแต่งเรื่องเพื่อแก้สถานการณ์
ฝีมือการทำอาหารของนางหวงเลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน เวลาบ้านใดมีงานมงคลก็มักเชิญไปช่วยทำอาหารเป็นประจำและนางก็อาศัยฝีมือการทำอาหารของตนในการเลี้ยงดูบุตรทั้งสี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหนึ่งในบุตรชายที่ได้เรียนหนังสือ แม้ว่าชาวบ้านคนนี้รู้สึกอิจฉา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อในคำโกหกของหลินเว่ยเว่ย
เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็พบว่าในลานบ้านมีป้ากุ้ยฮวากำลังมาช่วยสับเนื้อหมูป่าให้ ขณะที่เสียงอ่อนโยนของนางเฝิงดังมาจากข้างบ้าน
ที่แท้นางเฝิงและนางหวงก็ย้ายสถานที่ทำผลไม้อบแห้งไปยังบ้านของนางเฝิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเชิญให้ป้ากุ้ยฮวาผู้ที่สนิทสนมกับตระกูลหลินและเป็นคนดีมีคุณธรรมมาช่วยงานด้วย
ป้ากุ้ยฮวาเห็นว่าหลินเว่ยเว่ยเข้ามาแล้วจึงกล่าวทักทาย “เสี่ยวเว่ยกลับมาแล้วหรือ ! วันนี้ไปในเมือง การเดินทางราบรื่นดีหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ราบรื่นดีมาก ป้ากุ้ยฮวา หากท่านเหนื่อยก็พักดื่มน้ำได้”
ป้ากุ้ยฮวาได้ยินเช่นนั้นก็รีบกล่าวว่า “เหนื่อยอันใดเล่า ? งานนี้สบายกว่าทำไร่ไถนาตั้งเยอะ ส่วนเรื่องนั้น…ข้าคิดว่ามันคืองานที่เพื่อนบ้านมาช่วยเหลือกัน ยังจะให้ค่าแรงอีกหรือ…”
“งานนี้เป็นงานหนัก ในแต่ละวันต้องใช้กำลังแขนมากมายจนอาจทำให้แขนของท่านเหนื่อยล้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่งานที่จะทำเสร็จในวันสองวัน ให้รบกวนป้าอย่างเดียวคงไม่เหมาะสม ! ขนาดพี่น้องแท้ ๆ ยังต้องคิดบัญชีให้ละเอียดถี่ถ้วน แล้วข้าจะรบกวนท่านโดยไม่จ่ายค่าตอบแทนได้อย่างไร ! ”
หลินเว่ยเว่ยเดินเข้าไปในครัวและแกะห่อเครื่องเทศห้าชนิดที่บดแล้วมาผสมในสัดส่วนที่กำหนด จากนั้นใส่ลงในโถที่มีขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล เครื่องเทศเหล่านี้เพียงพอให้นางใช้ได้หลายวัน !
นางนำมันหมูที่หั่นเสร็จแล้วออกมาจากห้องใต้ดิน จากนั้นก็ใส่เหล้าปรุงอาหารลงไปตามด้วยซอสถั่วเหลืองและเครื่องปรุงต่าง ๆ หลินเว่ยเว่ยเริ่มก่อไฟทำเนื้อแห้ง นางใช้น้ำมันหมูทาบนกระดาษน้ำมันให้เป็นชั้นบาง ๆ แล้วคลึงเนื้อหมูป่าบนกระดาษด้วยไม้ ก่อนจะโรยหน้าด้วยงาขาว ใส่ลงหม้อแล้วเคี่ยวจนน้ำเครื่องปรุงแห้ง หากสามารถสร้างเตาอบได้ก็คงสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย !
เมื่อกลิ่นหอมของอาหารลอยออกมา ในที่สุดป้ากุ้ยฮวาก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดจึงมีกลิ่นหอมน่าดึงดูดใจลอยออกจากบ้านตระกูลหลินเป็นประจำ ไอหยา ! ช่างหอมเหลือเกิน ถือเป็นความทรมานที่แสนหวาน ! ป้ากุ้ยฮวากลืนน้ำลายไปพลางสับเนื้อหมูป่าอย่างขยันขันแข็งไปด้วย
เวลานี้พี่สาวคนโตกำลังยกกะละมังเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วกลับมาจากด้านนอก นางนำเสื้อผ้าไปตากไว้ที่ลานหลังบ้าน เมื่อเช็ดมือจนแห้งแล้วก็หยิบกรรไกรเหล็กขึ้นมาเพื่อตัดเนื้อที่เพิ่งยกออกจากหม้อให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่ถัดไป
ที่บ้านต้องทำทั้งผลไม้อบแห้งและเนื้อแผ่น จะให้หลินเว่ยเว่ยทำคนเดียวก็คงไม่ไหว ดังนั้นพี่สาวจึงลดระยะเวลาการเรียนทอผ้าให้เหลือเพียงช่วงสายเท่านั้น
หลังทำงานบ้านเสร็จในตอนบ่ายแล้ว พี่สาวก็มักเป็นฝ่ายอาสาช่วยงานในครอบครัวเองซึ่งแน่นอนว่าบุตรหลานของครอบครัวชาวนาไม่มีผู้ใดเกียจคร้านหรอก เมื่อเห็นว่าพี่สาวไม่หาเรื่องตนอีกทั้งยังมีท่าทีขยันขันแข็งช่วยงานบ้านจึงทำให้หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารักขึ้นทุกวัน
หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นจึงอดเย้าแหย่ไม่ได้ “ดูสิ ! ครานี้ข้าซื้อสิ่งใดกลับมาจากในเมือง ? ”
หึ ! ในเมื่อเจ้าซื้อแล้วไม่เคยแบ่งให้ข้าสักชิ้น ยังจะคุยโวโอ้อวดด้วยเหตุใด ? กำลังจะอวดว่าเจ้ามีเงินเยอะใช่หรือไม่ ?
พี่สาวแกล้งทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มหน้าก้มตายัดฟืนใส่ในเตาโดยไม่เงยหน้ามองสักครา
“ปิ่นประดับลูกปัดชิ้นนี้ทำให้ข้าต้องใช้เงินมากถึง 50 อีแปะเชียวนะ ! เฮอะ ของน่าเกลียดเช่นนี้เหตุใดไม่มีราคาถูก ๆ บ้าง ! ” หลินเว่ยเว่ยใช้มือข้างหนึ่งพลิกเนื้อหมูในกระทะ ขณะที่มืออีกข้างแกว่งปิ่นประดับลูกปัดรูปดอกไม้สีฟ้าไปมาอยู่ตรงหน้าพี่สาว
พี่สาวเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หากน่าเกลียดแล้วเจ้าจะซื้อมาเพื่อเหตุใด ? คิดว่ามีเงินให้ใช้เล่นอย่างนั้นหรือ ? เงินที่ท่านแม่อุตส่าห์ให้เจ้าไป ไม่รู้จักนำไปใช้ซื้อมีดซื้อเขียงแต่ซื้อของไร้สาระพวกนี้แทน”
“เห้อ ! ที่จริงข้าก็ไม่อยากซื้อนักหรอก แต่ท่านแม่บอกให้ข้าหัดซื้อพวกปิ่นปักผมที่ทำมาจากลูกปัดเสียบ้าง พวกเราต้องเชื่อฟังคำของท่านแม่ จะทำให้นางโกรธไม่ได้ เจ้าคิดเหมือนข้าใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเอาปิ่นประดับลูกปัดรูปดอกไม้ปักบนผมของตน “ดูสิว่าสวยหรือไม่ ? ”
พี่สาวมองค้อน ก่อนจะกวาดตามองไปบนมวยผมของน้องสาว ทันใดนั้นก็คล้ายว่าสายตาโดนดึงดูดด้วยปิ่นปักผมสีฟ้า นางไม่อาจละสายตาไปที่ใดได้ มันช่างเป็นดอกไม้ลูกปัดที่งดงามเหลือเกิน เป็นดอกไม้ที่ร้อยมาจากลูกปัดสีฟ้าอ่อนประดับด้วยใบไม้แก้วส่องแสงแวววาว ให้ความรู้สึกขี้เล่นและสง่างามในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าผู้ที่ใช้อัปลักษณ์มากเพียงใดมันก็ช่วยแต่งแต้มสีสันให้ใบหน้าดูดีขึ้นได้
พี่สาวกลอกตามองบนแล้วกล่าวว่า “คนอัปลักษณ์ ต่อให้ประดับหยกเนื้อดีไว้บนศีรษะ จะงามได้เพียงใดกันเชียว ! ”
“เราก็เกิดจากท้องแม่เดียวกัน หากข้าอัปลักษณ์แล้วเจ้าจะดูดีได้เช่นไร ? ” หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าอย่างพอใจทำให้ปิ่นที่อยู่บนศีรษะกระทบกันส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
“มังกรให้กำเนิดบุตรทั้งเก้าต่างก็มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน ! ” พี่สาวคนโตใช้ถ้อยคำที่น้องสามเคยสอนมาข่มน้องรอง
หลินเว่ยเว่ยจึงหันไปแยกเขี้ยวยิงฟันใส่แล้วกล่าวว่า “หืม ? เช่นนั้นเจ้าคือบุตรตัวที่เท่าไหร่ของมังกรหรือ ? ผีซิว2ใช่หรือไม่ ? ”
แม้พี่สาวจะไม่รู้ว่า ‘ผีซิว’ คือสิ่งใด แต่ความรู้สึกได้บอกนางว่าคำที่หลุดออกจากปากของน้องรองต้องไม่ใช่คำที่ดีแน่นอน ดังนั้นนางจึงแย้งไปว่า “เจ้าต่างหากคือผีซิว ! ”
ต่อให้ปิ่นปักผมชิ้นนี้งดงามเพียงใด ต่อให้นางรู้สึกชื่นชอบมากแค่ไหน แต่แล้วอย่างไร ? เด็กอ้วนผู้นี้ไม่ได้ซื้อมาให้นางเสียหน่อย ! หลังตัดเนื้อหมูให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเสร็จแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหและตวัดสายตาใส่หลินเว่ยเว่ยเต็มแรง
1 เหล้าเหลือง หรือ เหล้าข้าว มีปริมาณแอลกอฮอล์ค่อนข้างต่ำแต่มีความหอมมาก นิยมต้มเพื่อเพิ่มความร้อนก่อนจะดื่ม เหล้าเหลืองมีคุณสมบัติบำรุงร่างกายดีและเป็นเครื่องปรุงรสชั้นเลิศในครัวด้วย
2 ผีซิว หรือ ปี่เซียะในสำเนียงแต้จิ๋ว เชื่อกันว่าเป็นลูกตัวที่ 9 ของมังกร เป็นสัตว์กินเก่งและไม่มีรูทวารจึงไม่มีการขับถ่าย