หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 10 พบหน้ากงอ๋องอีกครั้ง
มองไปยังมือที่เรียวขาวของตัวเอง มู่ชิงอีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น ท่านปู่ ตั้งแต่เล็กท่านสั่งสอนอวิ๋นเกอเฉกเช่นลูกผู้ชาย แต่อวิ๋นกลับยังคงปากหวานก้นเปรี้ยวไม่จริงใจเช่นนี้ ช่างละเลยคำสอนของท่านปู่จริงๆ
“มู่ชิงอี นังสารเลว เจ้าออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
เรือนหลานจื่อที่เงียบสงบ ทันใดนั้นเสียงแหลมแสบแก้วหูพลันดังขึ้น เสียงของมู่อวิ๋นหรงราวกับลมพัดผ่านเข้ามา สาวใช้หน้าประตูต่างก็ไม่กล้าห้ามนางไว้ สายตามองไปยังนางที่พุ่งตรงเข้ามาในห้องหนังสือของมู่ชิงอี สถานที่ที่ปกติแล้วไม่มีใครย่างกรายเข้ามา
ภายในห้องหนังสือ มู่ชิงอียกพู่กันขึ้น คิ้วขมวดมองลายมือที่อยู่ต่อหน้า
เพราะตอนที่ยังเยาว์อยู่นั้น นางกับลูกพี่ลูกน้องหญิงได้ฝึกเขียนตัวหนังสือมาด้วยกัน ลายมือของทั้งสองจึงมีความคล้ายคลึงกันอยู่ หากจะหลอกจูเอ๋อร์ที่ไม่รู้หนังสือยังพอได้ แต่ถ้าจะหลอกสายตาของมู่ฉังหมิงคงยังต้องฝึกอีกมาก เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องหญิง ตัวนางนั้นแท้จริงแล้วอ่อนช้อยกว่าหรือแข็งกร้าวกว่าเท่าใดกันนะ
“ท่านออกมาแล้วหรือ” มองไปยังมู่อวิ๋นหรงที่อยู่ตรงหน้า มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นเบาๆ “หากท่านยังไม่รู้ว่ามารยาทสองคำนี้เขียนอย่างไร ก็เชิญท่านกลับไปคุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนอีกครั้ง ข้ารู้ว่าอีกไม่นานท่านต้องแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องแล้ว แต่ท่านควรจำไว้ให้ดี ก่อนที่ท่านจะออกเรือนไป…ท่านก็ยังเป็นบุตรสาวอนุแห่งจวนซู่เฉิงโหวอยู่”
“มู่ชิงอี เจ้านี่ไม่กลัวตายจริงๆ!” มู่อวิ๋นหรงกัดฟันตอบ ก็รู้อยู่แล้วว่าต่อไปนางจะเป็นพระชายาหนิงในอนาคตแต่ยังกล้าไร้มารยาทเช่นนี้อีก มู่อวิ๋นหรงจึงสงสัยว่าครั้งนี้มู่ชิงอีนั้นนางไม่ทันระวัง ทำสมองกระทบกระเทือนไปแล้วหรืออย่างไร
มู่ชิงอีหยิบกระดาษแผ่นที่เขียนเสร็จแล้วขึ้นมาเป่าลมลงบนหมึกอย่างอารมณ์ดี พลางถามขึ้น “พี่หญิงสามบุกเข้ามาหาข้าถึงในห้องหนังสือโดยไม่มีแม้แต่การแจ้งล่วงหน้า มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ไม่ใช่ว่านางนั้นไม่กลัวตาย แต่เป็นเพราะว่านางจะไม่ยอมให้จวนซู่เฉิงโหวประคับประคองมู่อวิ๋นหรงจนถึงวันที่นางได้เป็นพระชายาหนิงแน่
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้างดงามของมู่อวิ๋นหรงพลันบิดเบี้ยวเหี้ยมโหดขึ้นมาทันใด การที่มู่ฉังหมิงลงโทษนางอย่างสมเหตุสมผลโดยให้คุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนถึงสามวันในครั้งนี้ ถึงแม้ว่านางจะไม่เหนื่อยและไม่หิวเพราะว่ามารดาแอบส่งคนมาคอยดูแล แต่พวกบ่าวรับใช้ต่างก็กลัวว่านางจะรู้ข่าวคราวแล้วโวยวายจึงไม่มีใครปริปากบอกนางถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางออกมาถึงได้ยินว่าเรือนหลานจื่อที่เดิมทีจะให้นางใช้เป็นเรือนเตรียมงานแต่งถูกมู่ชิงอีครอบครองไป เรื่องนี้จะไม่ให้มู่อวิ๋นหรงโกรธเคืองได้อย่างไร
“เรือนหลานจื่อเป็นของข้า เจ้ารีบเก็บข้าวเก็บของของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” มู่อวิ๋นหรงที่ได้รับการเอาอกเอาใจตั้งแต่ยังเด็ก เชิดคางออกคำสั่งอย่างเย่อหยิ่ง มู่ชิงอีมองไปที่นางทั้งๆ ที่ไม่อยากจะมอง เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบ “ของท่าน? ของสิ่งใดในเรือนหลานจื่อเป็นของท่านกันหรือ เครื่องเรือนของตกแต่งเก่าแก่พวกนี้เป็นสินสอดทองหมั้นของอนุซุน หรือว่าท่านพ่อเตรียมไว้ให้ท่านด้วยตัวเอง หากท่านมีหลักฐานมายืนยันว่ามีชิ้นใดเป็นของท่าน ท่านก็มาหยิบเอาไปได้เลย”
ใบหน้าของมู่อวิ๋นหรงเปลี่ยนสีด้วยความโกรธ เรือนหลานจื่อคือเรือนเดียวที่ดีที่สุดในจวนซู่เฉิงโหว ตอนที่มู่ชิงอีกำลังจะเกิด ในตอนนั้นซู่เฉิงโหวฮูหยินก็ได้เริ่มวางแผนจัดการเรือน ส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นสินเดิมของซู่เฉิงโหวฮูหยินเอง และเครื่องเรือนทั้งหมดในเรือนนี้ ตอนที่มู่ชิงอีอายุครบหกขวบ ในตอนนั้นท่านผู้เฒ่าตระกูลจัง ตระกูลฝั่งมารดาของซู่เฉิงโหวฮูหยิน ได้สั่งให้คนไปเลือกไม้พะยูงมาสร้างด้วยตัวเอง มู่อวิ๋นหรงในตอนนั้นทำได้เพียงมองสิ่งเหล่านี้ด้วยความอิจฉาริษยาอยู่ภายในใจ แม้ว่ามู่ฉังหมิงจะโปรดปรานนาง แต่ตระกูลมารดาของสะใภ้ซุนก็ไม่สามารถหยิบยื่นทรัพย์สินเดิมและของขวัญแสดงความยินดีแบบนี้มาเทียบกับตระกูลจังได้ และเป็นไปไม่ได้ที่มู่ฉังหมิงจะสร้างเรือนที่แพงหูฉี่ขนาดนี้ให้กับบุตรสาวอนุโดยเฉพาะ
เมื่อเห็นสีหน้าที่ย่ำแย่ของมู่อวิ๋นหรง มู่ชิงอีได้แต่หัวเราะเบาๆ ออกมา “ชีวิตเป็นอย่างไร ก็ควรที่จะรู้ตัวเองดี อย่าคิดฝันถึงสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เรือนหลานจื่อเป็นของข้า แม้ข้าไม่ต้องการมันแล้ว มันก็ไม่ใช่ของท่าน”
มู่อวิ๋นหรงรอนางพูดจบ สักพักใหญ่ๆ ถึงได้ยิ้มแล้วเอ่ยถ้อยคำเฉียบขาด “หนิงอ๋องเดิมเป็นของเจ้าเหมือนกัน แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้ตำแหน่งพระชายาหนิงก็คือข้า”
“เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย” มู่ชิงอียิ้มอย่างแผ่วเบา “ของที่ข้าไม่ต้องการก็เป็นของท่านได้” มู่หรงอานเป็นคนแบบใด มู่ชิงอีย่อมรู้ดีกว่าใคร ถ้าหากมู่หรงอวี้คือสุภาพบุรุษจอมปลอม ทะเยอทะยาน โหดเหี้ยมอำมหิตแล้ว มู่หรงอานก็คงจะเป็นคนสวะคนหนึ่ง นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า แต่งกับคนอย่างนั้นไปมีอะไรให้มู่อวิ๋นหรงน่าภาคภูมิใจอย่างนั้นหรือ หรือเพียงเพราะว่าใบหน้าหล่อเหลากว่าชายปกติทั่วไปนั่น หรือว่าเพราะชื่อเสียงของหนิงอ๋อง คิดมาถึงข้อนี้ นางก็หวังอยากให้มู่อวิ๋นหรงรีบแต่งเข้าจวนหนิงอ๋องขึ้นมาทันที
มู่อวิ๋นหรงโกรธจนตัวสั่นไปทั้งร่าง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่มู่ชิงอีฟื้นขึ้นมา ก็รู้ว่าต้องยั่วโมโหอย่างไรให้นางโกรธ แต่ว่านางกลับไม่สามารถระงับความโกรธนั้นได้ หลายปีมานี้ เพราะมีพี่สาวที่อยู่ในวังหลวง ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชายคอยสนับสนุนอยู่ ในจวนนี้จึงไม่มีใครกล้าขัดใจนาง นึกไม่ถึงเลยว่านังสารเลวคนนี้จะยั่วยุนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
“มู่ชิงอี! นังสารเลวนี่…รอให้ข้าได้เป็นพระชายาหนิงก่อน ข้าจะต้องทำให้เจ้าออกเรือนกับชายฐานะต่ำต้อยไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน ดูสิว่าเจ้าจะเย่อหยิ่งได้อย่างไรอีก!” มู่อวิ๋นหรงแผดร้องด้วยความโมโห มู่ชิงอีกลับไม่สะทกสะท้าน ตอบกลับเบาๆ “บนโลกใบนี้ยังมีคนที่เลวร้ายกว่าท่านอยู่อีกหรือ”
“เจ้า…เจ้า! ตายเสียเถิด!” สุดท้ายมู่อวิ๋นหรงก็กลั้นความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว คว้าไปที่แจกันดอกไม้ที่วางอยู่ไม่ไกลนัก หันไปทุบใส่มู่ชิงอี
“อวิ๋นหรง! เจ้าจะทำอะไร” เสียงหวั่นวิตกเล็กน้อยของมู่ฉังหมิงดังขึ้น ริมฝีปากของมู่ชิงอีผุดยิ้มขึ้นเบาๆ ที่มุมปาก เอียงตัวหลบแจกันที่สวนเข้ามา แต่ว่าเศษแจกันที่แตกนั้น กระเด็นมาบาดเข้าที่แผ่นหลังของนางจนทำให้ได้เลือด
“ผลัวะ!” ฝ่ามือเหวี่ยงเข้าที่ใบหน้าของมู่อวิ๋นหรง มู่อวิ๋นหรงถูกตบจนใบหน้าสะบัดหันไปอีกข้าง สักพักใหญ่ๆ ถึงได้สติคืนกลับมา
“ท่านพ่อ…ท่าน เพื่อนังสารเลวนี่ ท่านตบหน้าข้า?”
“ยังไม่หุบปากอีก!” มู่ฉังหมิงรู้สึกโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “องค์ชายกงอ๋องเสด็จแล้ว ยังไม่ถวายบังคมอีก!” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มู่ฉังหมิงรู้สึกว่าบุตรสาวคนนี้จะต้องได้รับการสั่งสอนอย่างจริงจัง เดิมทีนั้นเขากำลังจะไปต้อนรับกงอ๋อง ทว่าได้ยินคนพูดว่าคุณหนูสามกำลังเร่งรีบเข้าไปในเรือนหลานจื่อด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว จึงได้รีบเข้ามา ใครเล่าจะรู้ว่าพอมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินมู่อวิ๋นหรงต่อว่ามู่ชิงอีด้วยเสียงดังลั่น คำพูดเหล่านั้นช่างระคายเคืองหูเสียจริงๆ กุลสตรีทั่วไปทุกคนห้ามเอ่ยแม้เพียงแค่ฟังยังไม่ควรเลย คิดไม่ถึงว่าพอเข้ามาแล้ว จะเห็นมู่อวิ๋นหรงยกแจกันดอกไม้ทุบไปบนร่างของมู่ชิงอี แม้ว่ามู่ฉังหมิงจะไม่อยากพบมู่ชิงอี แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำนางถึงตาย และก็ไม่อยากให้นางตายในเงื้อมมือของพี่สาวตัวเองด้วย ในที่สุด มู่ฉังหมิงก็เข้าใจคำพูดของมารดาที่ว่า อวิ๋นหรงต้องได้รับการสั่งสอนอย่างเคร่งครัดแล้ว ขายหน้าต่อหน้าองค์ชายกงอ๋อง ซ้ำยังเสียหน้าไปทั้งจวนซู่เฉิงโหว!
มู่ชิงอีนิ่งอยู่สักพัก ถึงได้มองเห็นชายในชุดขาวข้างหลังมู่ฉังหมิงที่กำลังเดินเข้ามา บนร่างสวมด้วยชุดสีขาวสะอาดตาราวกับหิมะ รูปโฉมหล่อเหลา ท่าทางสุภาพเรียบร้อย แม้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ความรู้สึกบนใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเมินเฉยด้วยท่วงท่าสง่างาม ทำให้ผู้พบเห็นแทบหัวใจละลาย
แต่มู่ชิงอีกลับรู้ว่าภายใต้ความขาวสะอาดดั่งก้อนเมฆนี้ ซุกซ่อนความโหดร้ายและความร้ายกาจอย่างไรเอาไว้บ้าง คนคนนี้เคยเป็นคู่หมั้นของนางมาก่อน และยังเคยเป็นชายในฝันที่คู่ควรอยู่ในใจสาววัยแรกแย้มอย่างนาง โง่เขลาอยู่ตั้งนาน กลับเป็นคนผู้นี้เองที่ผลักนางและตระกูลกู้ให้ตกลงไปในห้วงเหวลึก
ตนยังจำได้ไม่ลืม วันที่ท่านปู่ถูกคุมตัวไปวันนั้น นางวิ่งไปยังจวนของกงอ๋องเพื่อขอร้องให้เขาช่วยเหลือ แต่กลับเห็นเขากำลังโอบกอดสหายของนาง พูดคุยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ความสัมพันธ์ของทั้งสองดูลึกซึ้ง นางคุกเข่าบนพื้นอ้อนวอนขอร้องเขา แต่สิ่งที่นางได้รับกลับมาเป็นเพียงถ้อยคำที่แสนเย็นชา ‘สะใภ้กู้ร่วมมือกับศัตรูกบฏต่อบ้านเมือง ควรโดนตัดหัวทั้งตระกูล!’
เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของจูหมิงเยียน ตนในตอนนั้นอยากตาบอดใจแทบขาด ถ้าหากมีตาแต่หามีแววไม่ แล้วยังต้องมีดวงตาไว้ทำไมกัน