หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 11 อวิ๋นหรงกำลังเสียเปรียบ
การที่ได้พบกับเขาอีกครั้งหนึ่ง มู่ชิงอีคิดว่าตัวเองจะสงบลงได้แล้วหลังจากที่ประสบผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัสมา อีกทั้งสวรรค์ยังให้โอกาสนางเผชิญหน้ากับศัตรูอีกครั้ง มีอะไรที่นางไม่สามารถเผชิญหน้าได้เล่า แต่ยามที่ได้เห็นใบหน้าเรียบนิ่งแสนสง่างามนี้แล้ว…มู่ชิงอีก็ได้แต่หลับตาลง กลัวว่าความเกลียดชังจะหลั่งไหลออกมา
“ถวายบังคมกงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้! กู้อวิ๋นเกอคนนี้กลับมาแล้ว เจ้าพร้อมที่จะชดใช้ในสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปแล้วหรือยัง
“ถวายบังคมกงอ๋องเพคะ”
มู่หรงอวี้มองภาพความวุ่นวายในห้องหนังสือที่อยู่ด้านหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
มู่อวิ๋นหรงตัวแข็งทื่อ ยิ่งสายตาจ้องเขม็งไปที่มู่ชิงอีด้วยความเกลียดชัง ก็ยิ่งเพิ่มความน่าเกลียดให้หน้าตานางเข้าไปอีก นางกำลังจะแต่งงานกับหนิงอ๋องแล้ว และกงอ๋องเองก็เป็นพี่ชายร่วมมารดากับหนิงอ๋อง แสดงความไร้มารยาทเช่นนี้ให้กับพี่สามีในอนาคตของตัวเองได้เห็นไปหนึ่งฉาก จะไม่ให้มู่อวิ๋นหรงทั้งเกลียดทั้งอับอายได้อย่างไร ซ้ำบิดาอันเป็นที่รักของนางยังตบหน้านางเพราะมู่ชิงอีต่อหน้ากงอ๋องอีก เช่นนี้จะให้มู่อวิ๋นหรงผู้ที่รักในเกียรติและการได้รับความชื่นชมทนรับไหวได้เช่นไร
“ท่านพ่อ! ท่านตบข้าเพราะนาง!”
มู่ฉังหมิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “แล้วเจ้าไม่สมควรโดน?” มู่ฉังหมิงลอบมองไปยังสีหน้าท่าทางสงบนิ่งของมู่หรงอวี้ พบว่ามู่หรงอวี้นั้นไม่ได้สนใจกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย ในขณะเดียวกันแม้แต่ซักถามเหตุผลการกระทำของมู่อวิ๋นหรงสักนิดก็ไม่มี ในใจพลันรู้สึกโล่งใจ
เห็นมู่หรงอวี้แค่เดินไปข้างโต๊ะของมู่ชิงอี ก้มหยิบลายมือของนางที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดูแล้วดูอีก สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองประเมินหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยเบาๆ “เจ้าคือมู่ชิงอี?”
“ทูลกงอ๋อง ใช่เพคะ” มู่ชิงอีหลุบตาลงพลางเอ่ยตอบ
“เขียนได้ไม่เลวเลยนี่” มู่หรงอวี้เอ่ยขึ้นตามที่ตนคิด
มู่ฉังหมิงมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือมู่หรงอวี้ด้วยความแปลกใจ แม้ว่ามู่ชิงอีจะเป็นบุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหว แต่คนที่มักจะอยู่ในความสนใจของมู่ฉังหมิงตั้งแต่เด็กจนโตก็คือมู่เฟยหลวน มู่หลิง และมู่อวิ๋นหรง พระชายาโหรวเฟยทุกวันนี้ ในตอนนั้นที่ยังเป็นคุณหนูใหญ่มู่เฟยหลวนแห่งจวนซู่เฉิงโหว ในบรรดากุลสตรีเรียกได้ว่าเป็นหญิงที่มีความรู้ความสามารถเป็นเยี่ยมคนแรกในเมือง มู่ฉังหมิงไม่รู้ว่าปกติแล้วมู่ชิงอีนั้นมีอะไรน่าชื่นชมนอกเหนือจากนี้อีกบ้าง แต่ถ้าทำให้กงอ๋องเอ่ยวาจาชื่นชมได้ก็นับว่าไม่เลว อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าตัวหนังสือของมู่ชิงอีนั้นดีจริงๆ
“แต่ว่า…ทำไมข้ารู้สึกว่าลายมือเช่นนี้ถึงได้ดูคุ้นตานัก” มู่หรงอวี้เอ่ยขึ้น คิ้วของมู่ชิงอีขมวดเล็กน้อย พูดตอบด้วยเสียงเบา “ชิงอี…ตัวหนังสือของชิงอีเรียนกับท่านผู้เฒ่าซ่งมาเพคะ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” มู่หรงอวี้วางกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือลงพร้อมกับยิ้มจางๆ “ท่านผู้เฒ่าซ่งเป็นปรมาจารย์ด้านศิลปะการเขียนพู่กัน ไม่แปลกที่คุณหนูสี่จะสำเร็จผลแบบนี้” จวนซู่เฉิงโหวมีบุตรสาวภรรยาเอกเพียงคนเดียว ดังนั้นในตอนที่มู่ชิงอียังเด็ก ครึ่งหนึ่งนั้นเติบโตในตระกูลกู้ การสั่งสอนบุตรสาวของตระกูลกู้นั้นเข้มงวดมาก คุณชายใหญ่ของตระกูลกู้ก็เป็นนักกวีที่น่ายกย่องตอนอายุได้เพียงเจ็ดปี และก็ยังเป็นนักเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นโดยมีอาจารย์ซ่งเหลียนเป็นผู้สอน อาจารย์ซ่งเหลียนสั่งสอนคุณชายใหญ่ของตระกูลกู้ ในขณะเดียวกันก็ยังต้องสั่งสอนคุณหนูบุตรสาวภรรยาเอกตระกูลกู้อีกหนึ่งคนไปด้วยกัน ต่อมาก็มักจะเห็นมู่ชิงอีเล่นกับพี่ชายพี่สาวลูกพี่ลูกน้อง และฝึกฝนกับอาจารย์ซ่งเหลียนอยู่บ่อยๆ แม้ว่ามู่ชิงอีจะเป็นน้องเล็กสุด แต่ก็ยังได้เรียนศิลปะการเขียนพู่กัน ดังนั้นลายมือของมู่ชิงอีกับคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่ของตระกูลกู้จึงมีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียว
ได้ยินมู่หรงอวี้พูดเช่นนี้ ในใจของมู่ฉังหมิงพลันเป่าปากโล่งอกอย่างแรง ยามที่มู่ชิงอีพูดถึงท่านผู้เฒ่าซ่ง ในใจของมู่ฉังหมิงก็อดไม่ได้ที่จะนึกขึ้นมา ซ่งเหลียนเย่อหยิ่งนัก หลายปีขนาดนี้ก็ยังเป็นอาจารย์ให้กับตระกูลกู้อยู่เหมือนเดิมตั้งแต่แรก และอย่างที่ทราบกันดีว่ากงอ๋องนั้นเกลียดเวลาที่มีคนอื่นพูดถึงตระกูลกู้ มองดูมู่หรงอวี้ มู่ฉังหมิงก็ยิ้มเอ่ย “ท่านอ๋อง ตรงนี้บุตรสาวตระกูลกระหม่อมก่อเรื่องวุ่นวาย กระหม่อมว่าเราไปที่ห้องโถงด้านหน้ากันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้พยักหน้า กวาดสายตามองมู่อวิ๋นหรงด้านข้างช้าๆ แล้วเอ่ยกับมู่ฉังหมิง “คุณหนูสามต่อไปก็จะได้เป็นพระชายาของหนิงอ๋องแล้ว การปฏิบัติตัวก็ควรจะเพลาๆ ลงบ้าง อย่าให้ชื่อเสียงของหนิงอ๋องต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ขุนนางไม่มีทางอื่นนอกจากสั่งสอน กลับไปกระหม่อมจะสั่งสอนบุตรสาวเป็นอย่างดี” มู่ฉังหมิงก้มหัวคำนับขึ้นลงติดต่อกัน
มู่หรงอวี้ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “ข้าเพียงแวะมาไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร แค่อยากจะมาคุยกับจวนซู่เฉิงโหวเท่านั้น บาดแผลบนร่างกายหนิงอ๋องต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดีขึ้น ข้าจึงได้ทูลขอเสด็จพ่อให้ทรงอนุญาตเปลี่ยนวันสมรสเป็นหลังจากวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จพ่อ จวนซู่เฉิงโหวมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
เจ้าได้ทูลกับฮ่องเต้ไปแล้ว ข้ายังสามารถมีความเห็นอื่นได้ด้วยหรือ มู่ฉังหมิงได้แต่พูดตำหนิติเตียนอยู่ในใจเงียบๆ ใบหน้ากลับไม่กล้าแม้แต่แสดงความเฉยเมย ตอบกลับอย่างเคารพ” ทั้งหมดตามแต่ท่านอ๋องจัดการเห็นควรพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ห่างจากวันคล้ายวันพระราชสมภพไป ยังเหลืออีกครึ่งเดือน แต่ว่าเดือนหกเดือนเจ็ดไม่ใช่ฤกษ์งามยามดีนักในการจัดพิธีสมรส ความหมายของสำนักหอดูดาวหลวงคือให้เลือกแต่งในเดือนแปด ภายในไม่กี่เดือนนี้ คุณหนูสามก็เตรียมตัวให้ดี”
“เพคะ ท่านอ๋อง” แม้ว่ามู่อวิ๋นหรงจะไม่มีความสุขที่พิธีแต่งงานเลื่อนออกไปหลายเดือน แต่นางเป็นกุลสตรีบุตรสาวของตระกูล โดยธรรมชาติจึงไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีร้อนอกร้อนใจอยากออกเรือนแบบนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นมู่หรงอวี้เพิ่งจะเห็นตนหยิบแจกันดอกไม้ทุบมู่ชิงอีย่างนั้นอีก ในใจก็ยิ่งรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง จึงจำเป็นต้องเชื่อฟังแต่โดยดี
มู่ฉังหมิงที่เห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้ สีหน้าบนใบหน้าจึงค่อยๆ สงบลง เอียงตัวเชิญให้มู่หรงอวี้ไปที่ห้องโถงพร้อมกัน
มู่ฉังหมิงและมู่หรงอวี้ได้จากไป ภายในห้องหนังสือก็กลับมาเหลือเพียงมู่ชิงอีและมู่อวิ๋นหรงอีกครั้ง มู่อวิ๋นหรงจ้องเขม็งไปที่มู่ชิงอีด้วยความเกลียดชัง กัดฟันเอ่ยขึ้น “นังสารเลว ต้องมีวันที่ชีวิตเจ้ายากลำบากเข้าสักวัน!”
จากที่เพิ่งได้พบกับมู่หรงอวี้ ทำให้จิตใจของมู่ชิงอีไม่สงบ จึงไม่มีความอดทนที่จะมาอ้อมค้อมกับมู่อวิ๋นหรงมากนัก “อย่าว่ากล่าวตัวเองเช่นนั้นสิ มันทำให้คนนอกฟังแล้วคิดว่านี่เป็นการอบรมสั่งสอนของจวนซู่เฉิงโหว มีเพียง…สาวรับใช้…ฐานะเดิมของอนุซุน ถึงจะเหมาะสมกับคำพวกนี้”
“มู่ชิงอี ฝากไว้ก่อนเถิด!” เมื่อรู้ว่าฝีปากของตนนั้น ไม่สามารถเหนือกว่ามู่ชิงอีได้ มู่อวิ๋นหรงได้แต่กระทืบเท้าหมุนตัวเดินออกไป
“คุณหนู ท่านพูดกับคุณหนูสามขนาดนั้น คงไม่ใช่ว่า…” จูเอ๋อร์เอ่ยอย่างเป็นกังวล แม้ว่าคุณหนูสามที่ถูกยั่วโมโหจนหน้าเปลี่ยนสีจะไม่ได้ลงมือทำอะไร แต่ถ้าเกิดว่าคุณหนูสามไปฟ้องนายท่านและฮูหยินผู้เฒ่า ไหนจะอนุซุนอีก คุณหนูได้แย่แน่ๆ
มู่ชิงอีหลุบตาลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นเบาๆ “ถึงนางฟ้องก็อาจจะมีคนเชื่อ คนที่เชื่อนั้น…แต่จวนไหนบ้างที่ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น ท่านย่าเองก็คงไม่สนใจ”
ถ้ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าอยากจะให้ความสามัคคีในจวนนั้นจริงใจ หรือดีต่อนางอย่างจริงใจแล้วล่ะก็ วันนั้นคงไม่ต่อว่าสะใภ้ซุนต่อหน้าตน แบบนั้นยิ่งทำให้สะใภ้ซุนเกลียดชังนางยิ่งขึ้นไปอีก ในขณะเดียวกันที่มู่ฮูหยินผู้เฒ่าวางแผนให้ตนย้ายกลับไปยังเรือนหลานจื่อ นั่นก็หมายความว่า ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างตนกับสะใภ้ซุน หลายปีมานี้อำนาจของสะใภ้ซุนในจวนแห่งนี้นับวันยิ่งเฟื่องฟู และถึงแม้ว่ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นต้นตระกูลผู้มีเกียรติสูงศักดิ์ที่สุดในจวนหลังนี้ แต่นางอายุมากแล้ว อีกทั้งกำลังวังชาก็ไม่ดี ยากที่จะหลบหลีกสะใภ้ซุนที่อาจจะฉวยโอกาสจากความแก่ชรานี้ได้ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจึงชอบที่จะดูตนกับสะใภ้ซุนเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย และในตอนนี้นางก็ไม่มีกำลังจะตีเสมอสะใภ้ซุนได้ ดังนั้นถ้ามู่อวิ๋นหรงจะไปฟ้องนางถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่ามู่ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของตนแน่นอน
จูเอ๋อร์เอ่ยด้วยเสียงเบาๆ “คุณหนูควรระวังไว้หน่อยก็ดีนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าคุณหนูสามจะ…แต่ว่าซุนฮูหยินก็อาจจะไม่ใช่เล่นๆ นี่เจ้าคะ” ปีนี้ซุนฮูหยินอายุก็ใกล้จะสี่สิบปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาก็ยังไม่แก่โทรมสักเท่าไร อีกทั้งถึงแม้หลายปีมานี้ในจวนจะมีอนุหลายคน ทว่านางกลับได้รับความรักใคร่ไม่เสื่อมลง แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่มีคุณหนูใหญ่อยู่ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นกลอุบายที่แยบยลของสะใภ้ซุน