หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 14 จดหมายเชิญจากจวนอ๋อง
หญิงชุดม่วงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ตอนที่ตระกูลกู้นั้นยังไม่เกิดเรื่องขึ้น ร้านเล็กๆ ของข้าแห่งนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน คุณหนูตระกูลกู้เคยมาซื้อเครื่องหอมอยู่ครั้งหนึ่ง แล้วยังมอบเครื่องหอมให้ข้า แต่น่าเสียดาย…ที่ข้าไม่มีฝีมือ หลายปีผ่านมาก็ยังไม่สามารถปรุงแต่งให้เหมือนกลิ่นหอมของคุณหนูตระกูลกู้ที่ทำขึ้นมาในครั้งนั้นได้”
มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เถ้าแก่ก็พูดเล่นไป ร้านเหลิ่งเซียงทุกวันนี้ ชื่อเสียงของเถ้าแก่ดังไปทั่วทั้งเมืองหลวงตั้งนานแล้ว”
หญิงชุดม่วงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วอย่างไรเล่า คนพวกนั้นจะเข้าใจว่าอะไรคือที่สุดของเครื่องหอมที่ไหนกัน ช่างเถิด…สตรีที่มีทักษะเช่นนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบเจอในโลกมนุษย์ แต่ไม่ยักรู้ว่าคุณหนูตระกูลมู่…คุณหนูตระกูลมู่กับคุณหนูตระกูลกู้เป็นญาติทางสายเลือดกัน น่าจะมีทักษะที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน?”
มู่ชิงอีตอบ “ในด้านนี้ชิงอีไม่เชี่ยวชาญนัก เพียงแค่เล่นสนุกในยามว่างเท่านั้น ทำให้เถ้าแก่ผิดหวังเสียแล้ว” ความผิดหวังปรากฏขึ้นในแววตาของหญิงชุดม่วง แต่มันก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว มู่ชิงอีเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ทุกวันนี้ การที่จะเอ่ยถึงตระกูลกู้ต่อคนของจวนซู่เฉิงโหวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เถ้าแก่กลับไม่หลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงแม้แต่น้อย?”
หญิงชุดม่วงปิดปากหัวเราะ เลิกคิ้วมองมู่ชิงอีแล้วยิ้มขึ้น “คุณหนูตระกูลมู่จะไปแจ้งความลับนี้กับทางการหรือไม่เจ้าคะ”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างที่จะอบอุ่น หญิงชุดม่วงหยิบเครื่องหอมตระเตรียมทุกอย่างที่มู่ชิงอีต้องการออกมาจากตู้เรียบร้อย ไม่นานก็บรรจุของทั้งหมดลงหีบห่อแล้วยื่นส่งให้นางกับมือ มู่ชิงอียกเครื่องหอมขึ้นมาแนบกาย พูดด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่ ท่านยังไม่ทันได้แนะนำชื่อแซ่ของท่านเลย” หญิงชุดม่วงยิ้มแล้วพูด “ข้าแซ่เหลิ่ง หากคุณหนูตระกูลมู่ไม่ถือสา เรียกข้าอวี้เหนียงก็ได้เจ้าค่ะ”
มู่ชิงอีพยักหน้ารับรู้ “ข้ามีนามว่าชิงอี”
เมื่อมาส่งมู่ชิงอีที่หน้าประตูด้วยตัวเองแล้ว หญิงสาวชุดม่วงก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เดิมทีห้องนี้ไม่ควรมีผู้ใดอยู่ ทว่ากลับมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ สีหน้าของหญิงชุดม่วงค่อยๆ เปลี่ยนไป เร่งรุดเข้าไปในห้องเพื่อทำความเคารพผู้มาใหม่ “อวี้เหนียงถวายบังคมองค์ชายเก้าเพคะ”
ภายในห้อง ชายชุดดำนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ บนเสื้อแพรปักด้วยไหมสีดำเข้มและลวดลายที่สลับซับซ้อน ทำให้คนรู้สึกดุดันอย่างน่าแปลกใจ ได้ยินเสียงของหญิงชุดม่วง เขาก็หันกลับมาด้วยสายตาเย็นชาว่างเปล่า หญิงชุดม่วงที่เผลอสบตาคู่นั้นของเขาอดที่จะรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ชายชุดดำมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลางดงาม ดวงตาและคิ้วคู่งามนั้นราวกับถูกแกะสลักมาเป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบเท่านี้มาก่อน ใบหน้าที่งดงามและละเอียดอ่อนเช่นนี้ดูคล้ายคลึงสตรีอยู่เล็กน้อย แต่คิ้วและดวงตาของเขากลับมีพลังสะกดผู้คน ทำให้รู้สึกราวกับว่า หากไม่ทันระวังก็อาจจะถูกเขาโจมตีทำให้บาดเจ็บเอาได้
“แค่กแค่ก…” ชายหยุ่มยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด กลับไอขึ้นมาเสียก่อน
“องค์ชายเก้า…” หญิงชุดม่วงมองดูชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าด้วยความกังวล แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า
ชายหนุ่มชุดดำโบกมือ เอ่ยด้วยเสียงนุ่มลึก “ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่นี้คือลูกพี่ลูกน้องของกู้อวิ๋นเกอ?”
หญิงชุดม่วงชะงักงัน นึกไม่ถึงว่าองค์ชายจะสนใจหญิงสาวที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่ขุ่นเคืองของชายหนุ่มชุดดำ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ทูลองค์ชาย ฮูหยินจวนซู่เฉิงโหวที่เสียชีวิตไปกับฮูหยินของตระกูลกู้คนนั้น เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันเพคะ”
ชายหนุ่มชุดดำขมวดคิ้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เช่นนั้นนาง…ควรปรุงเครื่องหอมโยวหันได้?”
หญิงชุดม่วงขมวดคิ้วสงสัย “อวี้เหนียงได้ถามนางไปแล้วเมื่อครู่ แต่คุณหนูสี่ตระกูลกู้บอกว่าในเรื่องเครื่องหอมนั้นนางไม่ค่อยเชี่ยวชาญนัก และสิ่งที่นางซื้อไปก็เป็นเพียงเครื่องหอมธรรมดา ไม่ได้มีของที่ใช้ปรุงเครื่องหอมโยวหันเลยเพคะ”
ชายหนุ่มชุดดำขมวดคิ้วสงสัย “กู้อวิ๋นเกอนางก็ตายจากไปแล้ว…นอกจากนาง บนโลกนี้จะยังมีใครที่สามารถอีก…”
“อวี้เหนียงสมควรตาย!” หญิงชุดม่วงคุกเข่าลงกับพื้น “อวี้เหนียงไม่สามารถ…องค์ชายโปรดลงโทษด้วยเพคะ!”
ชายหนุ่มชุดดำสะบัดแขนเสื้อ พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ช่างเถิด อำนาจพวกเราในแคว้นหวานั้น แค่อยากจะช่วยกู้อวิ๋นเกอออกมาก็ยังไม่สามารถทำได้ เรื่องนี้โทษแค่เจ้าไม่ได้”
“ว่าแต่ พระวรกายขององค์ชาย…”
“แค่กแค่ก…ไม่เป็นไร…” ชายหนุ่มชุดดำขมวดคิ้วเอ่ย พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงไอก็ดังสะท้านขึ้น แต่กลับถูกเขากดมันเอาไว้เสียก่อน รอยเลือดสีแดงเข้มไหลออกมาตามหว่างนิ้วของเขา “ข้าไม่ตายง่ายดายขนาดนั้นหรอก!”
“หม่อมฉันจะพยายามตีสนิทชิดใกล้กับคุณหนูสี่ตระกูลมู่ให้ได้เพคะ หากในโลกนี้ยังมีผู้ที่สามารถปรุงเครื่องหอมโยวหันได้ ก็คงจะมีแต่นางเท่านั้นแล้ว!” มองไปยังชายหนุ่มที่หว่างนิ้วมีรอยเลือดติดอยู่ ดวงตาของหญิงชุดม่วงก็ฉายความกังวล พูดขึ้นอย่างหมายมั่น
ทันทีที่มู่ชิงอีออกมาจากร้านเหลิ่งเซียง มู่เชินก็รีบเดินเข้ามาหา เดิมทีเขานั่งรออยู่ในโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม พระชายากงพาคนมาเดินตามปกติไม่มีใครไม่รู้ จึงรีบเอ่ยถามขึ้น “น้องหญิงสี่ เจ้าพบกับพระชายากงแล้ว?”
“พบแล้วเจ้าค่ะ” มู่ชิงอียิ้มแล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจ
มู่เชินขมวดคิ้ว “พระชายากงไม่พูดอะไรเลยหรือ”
มู่ชิงอีกล่าวด้วยรอยยิ้มที่งดงามเต็มไปด้วยเสน่ห์ “พระชายากงเชิญข้าไปงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในอีกห้าวันข้างหน้าเจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่ามู่ชิงอีจะเป็นบุตรสาวภรรยาเอกแห่งจวนซู่เฉิงโหว แต่ว่าตลอดปีมานี้ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มู่ชิงอีแทบจะไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ ในเมืองหลวงเลย พวกนายหญิงแต่ละตระกูลก็แทบลืมไปแล้วว่าจวนซู่เฉิงโหวยังมีบุตรสาวของภรรยาเอกผู้นี้อยู่ทั้งคน
สีหน้าของมู่เชินค่อยๆ นิ่งขึ้น อีกไม่นานมู่อวิ๋นหรงก็จะได้เป็นพระชายาหนิงแล้ว หนิงอ๋องกับกงอ๋องก็เป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์ทั้งสองมีความสนิทชิดเชื้อ หนิงอ๋องก็จะยิ่งทำตามคำสั่งของกงอ๋องอย่างไม่รีรอเป็นแน่ หากเขาต้องการที่จะชิงตำแหน่งผู้ดูแลจวนซู่เฉิงโหวกับมู่หลิง จวนกงอ๋องอาจเป็นสิ่งที่คอยขัดขวาง ซึ่งตนนั้นไม่มีกำลังและอำนาจมากพออย่างจวนกงอ๋อง อีกทั้งตัวเขาเองนั้นก็เป็นแค่บุตรชายอนุภรรยาในจวนซู่เฉิงโหว หากเขาได้ครอบครองตำแหน่งผู้ดูแลจวนซู่เฉิงโหวจริงๆ แล้วล่ะก็ เรื่องราวในวันนี้ อาจจะทำให้กงอ๋องไม่พอใจได้
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา มู่ชิงอีก็ก้าวเดินช้าๆ ไปด้านข้าง ยกยิ้มและพูดเสียงเบา “พี่ชายใหญ่ เหตุใดท่านถึงต้องกังวลเช่นนี้ด้วยเล่า พระชายากงไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ไม่โดดเด่นเช่นข้าหรอกกระมัง ยิ่งไปกว่านั้น…ในเมืองหลวงก็มีท่านอ๋องและพระชายาอื่นอีก รวมก็สิบกว่าคนแล้ว” มู่ชิงอีพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่เช่นนั้น มู่เชินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็อาจจะฟังไม่ชัดเจน มู่เชินนั้นเข้าใจคำพูดของนางอย่างแจ่มชัดและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเยือกเย็นที่พุ่งพวยเข้ามา ในขณะเดียวกัน หัวใจพลันเต้นแรงขึ้นอีกจังหวะ คำพูดของมู่ชิงอีคล้ายกับว่าเขาได้เปิดประตูบานใหญ่ที่แตกต่างไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาจวนซู่เฉิงโหวได้รับการสนับสนุนทั้งหมดจากกงอ๋อง แต่ว่า…ถ้าหากการสนับสนุนจากกงอ๋องไม่ได้มีประโยชน์ต่อตัวเขา แล้วเหตุใดเขาจะต้องสนับสนุนกงอ๋องด้วยเล่า
รู้ดีถึงความอันตรายของความคิดนี้ ดังนั้นจึงได้ปล่อยความคิดนี้ผ่านไป ไม่นานนักสติของมู่เชินก็กลับคืนมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน จ้องมองไปยังมู่ชิงอี กลับเห็นเพียงแค่ดวงตาคู่หนึ่งที่เงียบสงบเย็นยะเยือกที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า กำลังส่งยิ้มจางๆ มองมาที่ตัวเขา คล้ายกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงที่ตัวเองสร้างขึ้น “พี่ชายใหญ่ ข้ายังอยากไปซื้อเครื่องประดับอีกนิดหน่อย อีกไม่กี่วันก็จะได้ไปร่วมงานเลี้ยงของพระชายากงแล้ว คงไม่ดีถ้าจะทำตัวซอมซ่อเจ้าค่ะ”
มู่เชินพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “ได้สิ พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปเอง”
ทันทีที่มู่ชิงอีและมู่เชินกลับไปถึงจวน ก็ถูกคนของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าที่ดักรออยู่ก่อนแล้วเชิญไปที่เรือนของนาง ระหว่างที่เดินไปยังเรือนเต๋ออาน มู่เชินก็ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นเสียงกระซิบ “น้องหญิงสี่รู้เรื่องที่ท่านย่าเชิญพวกเราไปยังเรือนเต๋ออานหรือไม่”