หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 22 เสียหน้า
“เด็กดี ข้าชอบเจ้าเสียจริง มา…เจ้ามานั่งกับข้าเถิด” ถึงแม้ว่าฝูอ๋องจะเป็นพระโอรสองค์โตแต่เขากลับไม่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้ ตำแหน่งพระชายาฝูจึงไม่ได้สูงส่งมากมายถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะต่อหน้าพระชายากงที่เดิมทีมีตำแหน่งเป็นถึงจวิ้นจู่อยู่แล้ว นางจึงยิ่งถูกพระชายากงกดขี่เข้าไปอีก ตอนนี้จึงประทับใจมู่ชิงอีเป็นธรรมดา
“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ แต่ชิงอีมิบังอาจ” มู่ชิงอีรีบเอ่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อพี่สะใภ้ชอบเจ้า คุณหนูสี่ก็ไปนั่งพูดคุยเป็นเพื่อนพี่สะใภ้เถิด” พระชายากงพูด ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยไว้หน้าพระชายาฝูมากนัก แต่ว่าพระชายาฝูเป็นถึงพี่สะใภ้คนโตของบรรดาพระชายา จึงยังต้องให้เกียรติอยู่บ้าง แล้วอีกอย่าง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอมู่ชิงอี พระชายากงก็รู้สึกไม่ชอบหน้านางเสียแล้ว จึงยินยอมที่จะให้มู่ชิงอีไปนั่งกับพระชายาฝู แท้จริงแล้วตนเองก็แปลกใจไม่น้อย ตอนเด็กๆ ก็เคยเจอกับมู่ชิงอีอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจอะไรนาง ตอนนี้เพียงแค่เห็นมู่ชิงอีกลับรู้สึกไม่สบายใจ สุดท้าย พระชายากงจึงคิดว่าเป็นเพราะดวงตาของมู่ชิงอีนั้นเหมือนกับดวงตาของกู้อวิ๋นเกอมากเกินไป
“ชิงอีทราบแล้ว ขอบพระทัยพระชายากงเพคะ” มู่ชิงอีย่อเข่าคำนับ สถานะตอนนี้ของนาง การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับบรรดาพระชายาเหล่านี้ทำให้นางอึดอัดไม่เป็นตัวเอง ในเมื่อพระชายากงแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบตน และไม่ว่าพระชายาฝูกำลังคิดสิ่งใดอยู่นั้นถึงยังเชิญให้ตนนั่งด้วย อย่างน้อยเช่นนี้ก็ช่วยให้นางรอดออกมาได้
มู่ชิงอีเดินเข้ามานั่งข้างพระชายาฝูด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ ราวกับว่าท่าทีเมื่อครู่ของพระชายากงไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อนางเลยแม้แต่น้อย บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในงานต่างพากันชื่นชมนางในใจ
สมแล้วที่เป็นคุณหนูภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหว เมื่อเทียบกับท่าทีที่เย่อหยิ่ง ไม่รู้จักฟ้าไม่รู้จักดินของมู่อวิ๋นหรงที่ยังไม่ได้เป็นพระชายาหนิง มู่ชิงอีมีกิริยามารยาทดีกว่าเป็นไหนๆ หากตอนนั้นไม่มีเรื่องของตระกูลกู้ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็คงจะเป็นหญิงสาวที่สตรีทุกคนในเมืองหลวงต้องอิจฉา ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋อง แม้แต่ตำแหน่งพระชายาของรัชทายาทนางก็เป็นได้ แต่ช่างน่าเสียดาย โชคชะตาดันมาเป็นเช่นนี้ คงไม่มีใครทำอะไรได้
พระชายาฝูมองมู่ชิงอีที่มีท่าทีนิ่งสงบ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดเบาๆ “ไม่ต้องตื่นเต้น น้องหญิงสองไม่ค่อยสบาย วันนี้ไม่ได้มาด้วย จึงให้ข้าช่วยดูแลเจ้า”
มู่ชิงอีตกใจ น้องหญิงสองที่พระชายาฝูพูดถึงก็คือพระชายาของอดีตองค์รัชทายาท พระชายาผิงในปัจจุบันมีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ของนาง
แต่ว่านางนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยดูแลมู่ชิงอี เพราะเหตุใดถึงบอกให้พระชายาฝูมาดูแลตนตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของฝูอ๋องกับลูกพี่ลูกน้องชายของนางดีถึงขนาดนี้เลยหรือ
ความคิดนี้วาบขึ้นมา มู่ชิงอีก็เข้าใจขึ้นมาทันที ฝูอ๋องเป็นพระโอรสคนโตของฮ่องเต้ ลูกพี่ลูกน้องชายของนางเป็นพระโอรสของพระมเหสีเอกขององค์ฮ่องเต้ ต่อไปไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดจะได้ครอบครองบัลลังก์ ผู้นั้นก็ต้องระแวงและพยายามกำจัดคนอื่นทิ้ง แต่ว่าลูกพี่ลูกน้องของนางถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว และไม่มีความหวังที่จะได้ตำแหน่งกลับคืนมาอีกต่อไป และมารดาแท้ๆ ของฝูอ๋องนั้นสถานะต่ำต้อย ไร้ซึ่งความหวังที่จะมาแย่งชิงตำแหน่ง ตำแหน่งขององค์ชายสองคนนี้เป็นตำแหน่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุดในราชวงค์ ทั้งสองตระกูลก็คงจะเห็นอกเห็นใจกันเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อเห็นว่านางเข้าใจแล้ว พระชายาฝูก็ยิ้มออกมา คุณหนูสี่ของตระกูลมู่ไม่ได้ธรรมดาและไร้ความสามารถอย่างที่คนนอกพูดกัน ไม่แปลกที่ผิงอ๋องที่ไม่สนใจเรื่องอื่นใดมาตลอดถึงบอกให้นางคอยดูแลมู่ชิงอี
“องค์หญิงห้าเสด็จ! องค์หญิงหกแห่งแคว้นเย่ว์เสด็จ! หย่งจยาจวิ้นจู่แห่งเป่ยฮั่นเสด็จ!” เสียงแหลมสูงดังออกมาจากด้านนอก พระชายากงยังไม่ทันพูดอะไรก็เห็นสตรีที่แต่งกายสวยสดงดงามสามคนเดินเข้ามาพร้อมกัน บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่เดิมทีกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่ก็เงียบลงทันที มองไปยังหญิงสามคนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างสนอกสนใจ
สีหน้าของพระชายากงเปลี่ยนไป แต่เมื่อนางเห็นหญิงที่สวมชุดสีเหลืองเดินเข้ามา ก็รีบแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหญิงห้ามาช้าเสียจริง สองท่านนี้คงเป็นองค์หญิงไหวหยางแห่งแคว้นเย่ว์และหย่งจยาจวิ้นจู่แห่งเป่ยฮั่นกระมัง”
หญิงที่สวมชุดสีเหลืองก็คือองค์หญิงหมิงฮุ่ยพระธิดาคนที่ห้าของฮ่องเต้แคว้นหวา องค์หญิงหมิงฮุ่ยเป็นบุตรสาวของหวงกุ้ยเฟย[1] ได้รับความรักและความเอ็นดูจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ นางมีอายุสิบแปดปีแล้วแต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่ประทานงานอภิเษกสมรส อีกทั้งยังไม่กล่าวถึงมันอีกด้วย เพียงแค่มองสีหน้าขององค์หญิงหมิงฮุ่ยกับพระชายากง ก็รู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกนางไม่ค่อยดีสักเท่าไร
หญิงสองคนที่อยู่ข้างหลังองค์หญิงหมิงฮุ่ยล้วนหน้าตาไม่ธรรมดา หญิงที่สวมชุดสีฟ้าดูท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนที่ทำให้คนที่เห็นรู้สึกรักใคร่เอ็นดู ผู้นี้คือองค์หญิงไหวหยางแห่งแคว้นเย่ว์ ส่วนอีกคนหนึ่งที่สวมชุดสีม่วง สีหน้าเย่อหยิ่ง หน้าตางดงามหมดจด นางก็คือหย่งจยาจวิ้นจู่ หญิงงามอันดับหนึ่งของเป่ยฮั่น
แคว้นเย่ว์และเป่ยฮั่นล้วนแต่เป็นแคว้นที่มีอำนาจในตอนนี้ แน่นอนว่าพระชายากงต้องต้อนรับพวกนางเป็นอย่างดี องค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่ต่างก็รู้ในสถานะของตัวเองอย่างดี จึงไม่ได้เกรงใจอะไรพระชายากงมากนัก แม้แต่องค์หญิงไหวหยางที่อ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ได้แสดงมันต่อหน้าพระชายากงเลยแม้แต่น้อย จู่ๆ สตรีสูงศักดิ์สามคนที่บุคลิกแตกต่างกันปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้พระชายากงที่เดิมทีมีท่าทางเย่อหยิ่งบ้างก็สงบเสงี่ยมลงอยู่ไม่น้อย แต่ที่พระชายากงจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นก็เพื่อเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงและจวิ้นจู่เหล่านี้อยู่แล้ว แน่นอนว่าจะทำให้พวกนางไม่พอใจไม่ได้ จึงต้องกัดฟันเอาไว้
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะดูไม่ออก แต่ชิงอีที่รู้จักจูหมิงเยียนอย่างน้อยเจ็ดแปดปีแล้วนั้น จะมองอารมณ์ของนางไม่ออกได้เช่นไร
องค์หญิงหมิงฮุ่ยไม่สนใจความคิดของพระชายากง นางโบกมือแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้หกไม่ต้องเกรงใจ เสด็จพ่อเพียงบอกให้ข้าพาองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่มาที่นี่ แต่ข้าไม่ได้อยากจะมาร่วมงานเลี้ยงใดๆ ทั้งสิ้น ประเดี๋ยวก็จะไปแล้ว”
หย่งจยาจวิ้นจู่ชำเลืองมองผู้คนที่อยู่ในงานแล้วพูดขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “นั่งกินๆ ดื่มๆ ไม่เห็นจะมีสิ่งใดสนุก องค์หญิงห้า ข้าออกไปกับเจ้าดีกว่า” ท่าทีเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นแขกคนสำคัญที่มาจากต่างแดน แต่ก็ไร้มารยาทเกินไปแล้ว แต่ว่าเป่ยฮั่นคือแคว้นที่มีกองทัพทหารแข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ แน่นอนว่าหย่งจยาจวิ้นจู่จึงหยิ่งยโสเป็นธรรมดา
“ขอบพระทัยสำหรับน้ำใจของพระชายากง ข้าเพิ่งจะมาถึงแคว้นหวาจึงไม่ค่อยสบายสักเท่าไรนัก…” องค์หญิงไหวหยางพูดอย่างอ้อมๆ แต่ความหมายก็ชัดเจนว่านางไม่อยากร่วมงานเลี้ยงนี้
หญิงสาวหน้าตาสวยงามที่นั่งตรงข้ามกับพระชายาฝูปิดปากหัวเราะขึ้นมา สายตาเหลือบมองพระชายากงที่นั่งอยู่ข้างบน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงและจวิ้นจู่มาจากแดนไกล นั่งรถม้ามาเหนื่อยๆ ควรที่จะพักผ่อนก่อนสักสองสามวัน น้องหญิงหกคงคิดไม่รอบคอบเอง” สตรีผู้นี้คือพระชายาของมู่หรงเสียจื้ออ๋องหรือองค์ชายสี่ นางถูกจวนกงอ๋องแย่งการจัดงานเลี้ยงต้อนรับองค์หญิงและจวิ้นจู่ของต่างแคว้นในครั้งนี้ไป แน่นอนว่าองค์ชายและพระชายาคนอื่นๆ ก็ไม่พอใจ เมื่อเห็นท่าทีของหย่งจยาจวิ้นจู่และองค์หญิงไหวหยางเช่นนี้ บรรดาพระชายาจึงพากันลอบมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เพียงแต่พระชายาจื้อเอ่ยปากพูดออกมาเร็วกว่าคนอื่นก็แค่นั้น
จูหมิงเยียนกัดฟัน แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม “เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบเองจริงๆ องค์หญิงหกและหย่งจยาจวิ้นจู่โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
หย่งจยาจวิ้นจู่พูดพลางโบกมือ “ช่างเถิด ข้าขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็ไม่สนใจสีหน้าของคนที่อยู่ในงาน หมุนตัวหันหลังเดินออกไปทันที หย่งจยาจวิ้นจู่เดินออกไปแล้ว แน่นอนว่าองค์หญิงหมิงฮุ่ยและองค์หญิงไหวหยางก็ไม่อยู่ต่อ พวกนางพยักหน้าให้จูหมิงเยียนแล้วเดินตามออกไป
ถึงแม้ว่าคนที่มาจะไม่ได้มีแค่แคว้นเป่ยฮั่นและแคว้นเย่ว์เพียงแค่สองแคว้น แต่ว่าสองแคว้นนี้คือแคว้นที่สำคัญที่สุด ครอบครองดินแดนเยอะที่สุด แคว้นเป่ยฮั่นมีกองทัพทหารที่แข็งแกร่ง ส่วนแคว้นเย่ว์ร่ำรวยล้นฟ้า องค์หญิงของสองแคว้นนี้จากไปแล้ว คนอื่นก็ไม่มีความหมายอะไร ดูเหมือนว่างานเลี้ยงนี้คงจะจัดต่อไปไม่ได้แล้ว ใบหน้าที่สวยงามของจูหมิงเยียนพลันหม่นหมองลง
———————————————
[1] หวงกุ้ยเฟย พระมเหสีรองซึ่งมีอำนาจในการปกครองวังหลังรองจากฮองเฮา