หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 25 ความช่วยเหลือจากเลี่ยอ๋อง
มู่หรงซีรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ เงียบงันไปสักพัก ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “เจ้าบอกมาเถิด ต้องการให้ข้าช่วยสิ่งใด”
มู่ชิงอีก้มหน้า เอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้หม่อมฉันขาดคน คนของจวนซู่เฉิงโหวไว้ใจไม่ได้ แม้จะมีคนที่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่หม่อมฉันก็ไม่มีเวลาไปจัดการเสาะหา” รวบรวมกำลังคนที่ภักดีต้องใช้เวลาและความพยายาม ทว่าตอนนี้ มู่ชิงอียังไม่คิดจะจัดการเรื่องทุกอย่างนี้ในจวนซู่เฉิงโหว
มู่หรงซีเงียบอยู่นาน มองมู่ชิงอีแล้วเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด…แต่เมื่อเห็นเจ้าแล้วก็รู้สึกเชื่อใจอย่างไร้เหตุผล คิดว่าการตัดสินใจของข้าจะไม่ผิดพลาด”
มู่หรงซีดึงหยกแขวนจากเอวออกมาวางไว้บนโต๊ะ บอกเสียงเรียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าควรใช้มันอย่างไร”
มู่ชิงอีลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้า แผ่นหยกชิ้นนี้ภายนอกอาจจะไม่ได้ดูพิเศษ ดูแล้วเหมือนหยกที่ขายอยู่ในตลาดทั่วไป แม้แต่คุณภาพของหยกก็ไม่ได้ถือว่าดีที่สุด มือของมู่ชิงอีสั่นเล็กน้อย แผ่นหยกชิ้นนี้เคยวางอยู่บนโต๊ะในห้องหนังสือของท่านปู่ เมื่อนางยังเด็ก ท่านปู่อุ้มนางนั่งบนตัก มองนางเล่นแผ่นหยกและพร่ำสอนถึงประโยชน์ของหยกชิ้นนี้
แววตาของมู่หรงซีนั้นมีความแปลกใจแทรกเข้ามาชั่วครู่ ก่อนที่มันจะจางหายไป ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพียงพยักหน้า “ไปที่วัดเป้ากั๋ว”
มู่ชิงอีพยักหน้า “ขอบพระทัยพี่ชายอย่างยิ่งเพคะ”
ในศาลาค่อยๆ เงียบลง ทั้งสองราวกับไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่ออีก มู่หรงซีก้มมองถ้วยน้ำชาตรงหน้าที่กำลังแผ่ไออุ่นอยู่เงียบๆ มู่ชิงอีเล่นแผ่นหยกในมือด้วยท่าทางเหม่อลอย “พี่ชาย…ชิงอียังมีสิ่งที่อยากจะขอความช่วยเหลือเพคะ”
มู่หรงซีเงยหน้ามองนาง มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉัน…ท่านแม่ของหม่อมฉันเหตุใดถึง…”
เหตุใดท่านน้าถึงฆ่าตัวตาย นางไม่เข้าใจ ท่านน้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอ ซ้ำยังมีลูกพี่ลูกน้องหญิงอยู่ที่จวนซู่เฉิงโหวด้วยกัน ท่านน้าจะทิ้งน้องสาวไว้ผู้เดียวได้อย่างไร จะฆ่าตัวตายง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
นางลอบสอบถามผู้คนรอบข้างแต่ก็ไม่ได้ความอะไรมากมาย หลังจากที่ท่านน้าฆ่าตัวตาย บ่าวในเรือนก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด คนเก่าคนแก่ที่ยังอยู่ก็เป็นคนสนิทของมู่ฉังหมิง มู่ฮูหยินผู้เฒ่าและสะใภ้ซุน ซึ่งคนเหล่านี้ปกติจะไม่กล้ากล่าวถึงเรื่องของฮูหยินใหญ่ เห็นได้ชัดว่าถูกสั่งห้ามอย่างเข้มงวด
มู่หรงซีถอนหายใจ ส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่รู้ รู้เพียงว่า หลังจากตระกูลกู้ล่มสลาย เสด็จพ่อก็เรียกฉินกั๋วฮูหยินเข้าวัง หลังจากที่ฉินกั๋วฮูหยินกลับออกมาจากวังได้เพียงหนึ่งเดือนก็ฆ่าตัวตายแล้ว แต่ว่า…หลังจากที่ฉินกั๋วฮูหยินจากไปแล้วก็มีข่าวลือบางอย่างขึ้น” มู่หรงซีมองมู่ชิงอี เอ่ยเสียงเบา “ตอนนั้นมีข่าวลือว่า…ตระกูลกู้มีสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น หากมีสมบัติชิ้นนี้จะสามารถรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวได้ และสมบัติพวกนี้…ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้ได้มอบมันให้กับฉินกั๋วฮูหยิน”
“สมบัติหรือเพคะ” มู่ชิงอีคิดว่ามันไร้สาระ นางเกิดมาในตระกูลกู้สิบกว่าปี ไม่เคยได้ยินว่าตระกูลกู้มีสมบัติเช่นนี้ อีกทั้ง…ข่าวนี้ไม่มีอยู่ในตระกูลกู้ มันถูกปล่อยออกมาหลังจากที่ท่านน้าตายไป ยิ่งทำให้น่าสงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก
“ดังนั้น…ชิงอี เจ้าต้องระวังตัวด้วย” มู่หรงซีเอ่ยบอก
“ระวัง?”
“ราษฎรไม่มีความผิด แต่เพราะครอบครองหยกจึงมีความผิด สมบัติที่สามารถรวมแผ่นดินได้…ใครกันไม่อยากได้” รอยยิ้มของมู่หรงซีแฝงไปด้วยการเย้ยหยัน มู่ชิงอีขมวดคิ้วถาม “พี่ชายเชื่อหรือไม่ว่าตระกูลกู้มีสมบัติเช่นนั้น”
มู่หรงซียังคงยิ้ม “ตระกูลกู้มีหรือไม่ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
หากตระกูลกู้มีสมบัติ เหตุใดคนเป็นหลานอย่างกู้ซิ่วถิงจะไม่รู้ คนเป็นหลานสาวอย่างกู้อวิ๋นเกอจะไม่รู้ และฉินกั๋วฮูหยินสะใภ้จังนั้นจะไม่รู้
ไม่นานมู่หรงซีก็จากไป ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ไม่ควรออกมาคุยนานเกินไป เพื่อไม่ให้กฏเกณฑ์ในวังต้องมาเป็นข้อห้ามในการพูดคุยกับพี่น้อง มู่ชิงอีมองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินจากไป ดวงตามีแววเศร้าสร้อย
พี่ชายเป็นคนฉลาด เขาเคยมีผลงานด้านการปกครองมากมาย เดิมควรเป็นองค์รัชทายาทที่ดี แต่อาจจะเพราะเหตุนี้จึงทำให้ฮ่องเต้แห่งแคว้นหวาผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ต้องหวาดกลัว เดิมทีบัลลังก์นี้ก็ได้มาเพราะฆ่าชิงกับพี่น้องของตัวเอง แน่นอนว่าเมื่อยามที่ตนแก่เฒ่าก็ไม่ต้องการให้องค์รัชทายาทมาจับจ้องบัลลังก์ของตัวเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนเฉลียวฉลาดเฉกเช่นพี่ชาย ที่ตระกูลทางมารดาเป็นถึงตระกูลที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่น กอบกุมอำนาจไว้ทั้งหมด
ดังนั้น เมื่อมีหลักฐานบ่งชี้ว่ากู้เซียงคิดก่อกบฏ จึงตัดสินโดยไม่มีการไตร่ตรองเลยแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ถูกปลดจากตำแหน่งองค์รัชทายาท นี่เป็นดั่งคำตัดสินจากความระแวงส่วนตัวของฝ่าบาทเพียงเท่านั้น ในความระแวงนี้ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดบ้างที่ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน แน่นอนว่าคงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะคาดถึง
เป็นตระกูลกู้ที่ทำร้ายพี่ชาย และตระกูลกู้เองก็จบลงเพราะพี่ชายเช่นกัน ความเกี่ยวข้องนี้ใครก็อธิบายไม่ได้ เพราะตั้งแต่แรก องค์รัชทายาทนั้นมีความสัมพันธ์กับตระกูลกู้ในแบบที่ตัดอย่างไรก็ตัดไม่ขาด
“นี่เจ้า หนิงอ๋องไม่ต้องการเจ้าแล้ว แต่ยังล่อลวงผิงอ๋องได้เร็วเช่นนี้เลยหรือ” เสียงแหลมเสียดหูของมู่อวิ๋นหรงดังอยู่ด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็มองเห็นมู่อวิ๋นหรง มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนกำลังยืนอยู่นอกศาลามองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน แม้แต่มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยังมีท่าทางริษยา
มู่ชิงอีเหลือบมองเพียงนางอย่างเกียจคร้าน รู้สึกหมดความอดทนต่อมู่อวิ๋นหรงผู้นี้แล้ว กวาดตามองหญิงงามแห่งเมืองหลวงแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงสาม อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด หากท่านยังไม่รู้ก็ไปให้ท่านย่าสั่งสอนเสียบ้าง อย่าไปฟังวาจาเหลวไหลของอนุซุนมากจนเกินไป ต่อไปท่านต้องไปเป็นพระชายาเอกของหนิงอ๋อง ไม่ใช่ไปเป็นสนม”
“มู่ชิงอี ข้าจะฉีกปากเจ้าทิ้งซะ” มู่อวิ๋นหรงเกรี้ยวกราด แม้มู่ชิงอีพูดถึงสะใภ้ซุนไม่ใช่นาง แต่ในเมืองหลวงนี้ไม่มีใครไม่รู้ฐานะของสะใภ้ซุน นี่ไม่ได้ต่างจากการเย้ยหยันชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของนางไปด้วย สิ่งที่ทำให้มู่อวิ๋นหรงโกรธที่สุดคือการที่ผู้อื่นเอ่ยถึงต้นกำเนิดของนางที่มาจากเชื้อสายรองที่ต้อยต่ำ สิ่งที่ทำให้นางภาคภูมิใจก็คือการได้เป็นพระชายาของหนิงอ๋อง ตอนนี้ถูกมู่ชิงอีเหยียดหยามต่อหน้าทุกคน พลันรู้สึกว่าทุกคนมองมาที่นางด้วยสายตาดูถูก แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นเพราะตนต่างหากที่เข้ามาหาเรื่องและต่อว่าอีกฝ่ายก่อน
มู่อวิ๋นหรงพุ่งเข้าหามู่ชิงอี มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนแน่นอนว่าควรห้ามปราม ทั้งสองทำท่าทีเข้าไปห้ามทว่ากลับไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย ร้องตะโกนเพียงเล็กน้อย ทำเป็นดึงรั้งพวกนางเอาไว้ไม่อยู่ ซ้ำยังดึงสายตาผู้คนให้มองมาทางนี้
“พี่หญิงสาม พี่หญิงสามอย่าทำเช่นนี้ น้องหญิงสี่…เจ้ารีบขอโทษพี่หญิงสามเถิด…พี่หญิงสามเจ้าคะ…” มู่สุ่ยเหลียนรีบบอกท่าทางร้อนใจ ทว่าในใจกลับเป็นสุขยิ่ง พวกนางทั้งสองล้วนมาจากเชื้อสายรองที่เป็นอนุอุ่นเตียง ไม่เหมือนสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นเชื้อสายหลัก ส่วนอีกคนนั้นยิ่งต้องถูกเอาอกเอาใจมากกว่าเชื้อสายหลักเพราะคืออนาคตพระชายาหนิง
ตีกันตายยิ่งดี!